เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 4: เวทศึกษา

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 4: เวทศึกษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 4 – เวทศึกษา

 

ในห้องเรียนพิเศษนี้มีคนอยู่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ… ดวงตาของเลทิเซียกวาดไปทั่วห้องเรียน.. ในห้องนี้มีคนประมาณหกคน

มีเลทิเซีย.. เลวิเนียหรือเลวี่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซีย.. เธอคือน้องสาวของเลทิเซีย ถึงจะไม่ใช่น้องจริงๆ เพราะเลทิเซียถูกพ่อกับแม่เลวี่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ

ตั้งแต่เลวี่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ.. เลวี่เป็นเด็กผู้หญิงผมสีฟ้ายาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของเธอนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เข้าหาคนอื่นเก่ง

และอาจจะเพราะผมยาวขาวสลวยของเธอที่ถูกดูแลมาอย่างดีในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่สอง เลยทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดพอสมควรทั้งสำหรับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน..

แต่มีบางสิ่งที่เธอต่างจากเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เพราะเธอค่อนข้างที่จะคลั่งไคล้พี่สาวตัวเองอย่างเลทิเซียในระดับหนึ่ง

ซึ่งความคลั่งไคล้นั้นมันมากเกินกว่าคำว่าพี่น้องจะอธิบายได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเลวี่ไม่รู้ว่าเลทิเซียไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง..

หากรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กับเลทิเซียจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าเธออาจจะเผลอลงมือกับเลทิเซียเข้าเลยก็ได้… ลงมือที่ว่านี่หมายถึงในหลายๆ ความหมายน่ะนะ

ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงฮิเมะคัตนั่งเรียนอยู่ เธอมีผมสีดำยาวมัดไว้ผมทรงหางม้าดูเรียบร้อย

ผสมกับชุดเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบโรงเรียนที่ออกแบบมาอย่างประณีตมันยิ่งทำให้เธอมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก.. แม้จะยังเทียบกับเจ้าหญิงสองคนอย่างเลทิเซียกับเลวี่ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้

แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง.. เธอมีชื่อว่า โอโฮวริ ทสึรุ เพื่อนคนสำคัญของเลทิเซีย ทสึรุเป็นเด็กดีและเชี่ยวชาญวิชาทวนเป็นอย่างมาก

เธอได้สอนหลายๆ อย่างให้เลทิเซียได้รู้ แถมเธอยังเป็นรูมเมจกับเลวี่น้องสาวเลทิเซียอีกด้วย

ข้างๆ ทสึรุก็มีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองพร้อมทั้งหูสองข้างที่ตั้งชันขึ้นชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่มนุษย์

ไม่สิ หูธรรมดาของเธอก็มี.. หูธรรมดาแบบมนุษย์ของเธอมีหน้าที่ในการฟังเสียงทั่วไปเพื่อพูดคุยกับคนอื่น

แต่หูสองข้างบนหัวที่ตั้งชันเป็นหูของเผ่าครึ่งสัตว์โดยเฉพาะซึ่งมีหน้าที่ฟังเสียงที่หูธรรมดาไม่ได้ยิน

ว่าไงดี.. โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะมีประสาทสัมผัสทั้งห้าซึ่งประกอบไปด้วย การสัมผัส, การรับรส, การได้ยิน, หารรับกลิ่นและการมองเห็น

แต่กึ่งมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สัมผัสที่หก’ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ว่าสัมผัสที่หกของพวกเขาคืออะไร

เช่นเอล์ฟก็จะมีสัมผัสที่หกคือ ‘เนตรวิเศษ’ เป็นการเสริมประสิทธิภาพการมองเห็นให้สามารถมองเห็นจากมุมต่างๆ ของพื้นที่ ที่ระยะสายตาของเอล์ฟไปถึง

ซึ่งผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองนี่ก็ไม่ใช่เผ่าอะไรนอกจาก เผ่าจิ้งจอก. ซึ่งสัมผัสที่หกของเธอคือการ ‘ได้ยินเสียง’

โดยปกติแล้วหูของมนุษย์หรือปีศาจในโลกนี้จะสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ และไม่สูงเกินกว่า 20,000 เฮิรตซ์

แต่หูของเผ่าจิ้งจอกสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำกว่า 20 และมากกว่า 20,000 เฮิรตซ์ได้ประมาณสามถึงสี่เท่าเลย

ซึ่งมันช่วยในการต่อสู้อย่างมาก.. นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เผ่าจิ้งจอกค่อนข้างได้รับความนิยม ซึ่งเธอคนนี้ก็เหมือนจะเป็นที่นิยมไม่เบา

อิซานะ นั่นคือชื่อของเธอ แน่นอนว่าเธอเป็นคนจากเผ่ากึ่งมนุษย์ ซึ่งเลทิเซียได้บังเอิญไปรู้จักกับเธอเพราะเผลอไปช่วยน้องชายของเธอจากพวกคนไม่ดี

ซึ่งอิซานะค่อนข้างจะนับถือเลทิเซียอยู่พอสมควร

ห่างไปอีกฟากของห้องก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอมีผมสีชมพูยาวความงามของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน..

เพียงแต่รอบๆ ตัวของเธอมีกลิ่นอบอวลบางอย่างทำให้เธอไม่เป็นที่ดึงดูดเท่าไหร่ เธอคือ อเล็กเซีย หญิงสาวที่เต็มไปด้วยปริศนาเป็นคนเดียวในห้องที่เลทิเซียแทบไม่ได้คุยด้วย

คนสุดท้ายคือเด็กผู้หญิงที่มีผมสีขาวดวงตาสีดำ.. ผู้ที่เป็นรูมเมจของเลทิเซีย ชาร์ล็อต กอร์แด… อันที่จริงชื่อของเธอยาวกว่านี้

ชื่อเต็มๆ เธอมีชื่อว่า ‘มารี-แอน ชาร์ล็อต เดอ กอร์แด ดาร์มง’ ซึ่งแม้แต่ในโลกนี้ก็ยังเป็นชื่อที่ยาวและแปลกตา

วินาทีแรกที่เลทิเซียได้ยินชื่อนี้เธอก็ถึงกับยืนงงอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากจะยาวแล้วยังเป็นชื่อสไตล์ฝรั่งเศส

แถมเธอยังเป็นเผ่าอสูรที่ลึกลับด้วย

เผ่าอสูรคืออะไร?

เผ่าอสูรคือเผ่าพันธุ์พิเศษที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดว่าพวกเขามาจากไหนมีเพื่ออะไร

เผ่าอสูรจะมีหลายประเภท ซึ่งรวมถึงประเภทมนุษย์เช่นกันและชาร์ล็อตก็เป็นเผ่าอสูรประเภทมนุษย์

แต่นอกจากนี้พวกสัตว์อสูรที่ดุร้ายอย่างพวก มอนสเตอร์ ในโลกนี้ก็เป็นเผ่าอสูรเหมือนกัน.. ซึ่งแตกต่างจากชาร์ล็อตคือชาร์ล็อตมีชีวิตจิตใจแต่พวกมันไม่

เผ่าอสูรมีหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นมังกรพ่นไฟ หรือจอมปีศาจซาตาน

เผ่าอสูรไม่มีแหล่งกำเนิดที่แน่ชัด พวกเขาค่อนข้างจะมีความประหลาดเพราะเมื่อพวกเขารู้สึกตัวขึ้นมาบนโลกนี้ พวกเขาจะอายุสี่ห้าขวบเลย

พวกเขาจะจำความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวไม่ได้เลย และไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกครอบครัวทิ้ง นอกจากนี้เผ่าอสูรยังไม่สามารถมีลูกได้

ไม่สิ มีได้แต่แค่บางคนเท่านั้น

นอกจากนี้เผ่าอสูรยังตายค่อนข้างยากบางทีพวกเขาก็มีพลังฟื้นฟูสุดน่ากลัวในระดับที่โดนตัดหัวก็ยังฟื้นฟูกลับมาได้

แต่บางทีก็ดันถูกฆ่าหรือตายได้แบบง่ายๆ เช่นเมื่อวานถูกตัดคอแต่ฟื้นฟูได้ แร่พอวันนี้ถูกตัดแขนแล้วรักษาไม่ทันกลายเป็นว่าตายซะอย่างนั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าอสูรถึงลึกลับขนาดนี้ … นั่นเพราะในตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถอธิบายความประหลาดของเผ่าอสูรได้

ใช่แล้ว ในห้องเรียนพิเศษนี้นอกจากจะมีคนน้อยไม่พอ ยังมีแต่ผู้หญิง.. เพราะว่าห้องเรียนพิเศษจะถูกแบ่งออกเป็นสองห้องคือห้องชายกับห้องหญิง

สาเหตุที่แบ่งออกเป็นสองห้องแบบนี้เพราะความต่างระหว่างเพศมันมีมากกว่าความต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ซะอีก

คงจะเกิดข้อสงสัยว่าถ้าแยกห้องชายกับหญิง แล้วไม่แยกห้องแต่ละเผ่าบ้างล่ะ ในเมื่อเวทมนตร์แต่ละเผ่าแตกต่างกันแบบนั้น?

แน่นอนว่าห้องเรียนนั้นมีไว้จำแนกเฉยๆ ว่านักเรียนอยู่ส่วนไหน แต่เมื่อถึงเวลาเรียกวิชาเวทมนตร์หลักๆ จริงๆ วิชาจะถูกแบ่งออกเป็นคอร์สให้เข้าเรียน

เช่นวิชาเวทมนตร์มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถไปสมัครได้ แน่นอนว่าเผ่าอื่นก็สมัครได้ เพียงแต่มันไม่ช่วยอะไรน่ะนะ

โรงเรียนเวทมนตร์ค่อนข้างมีการเรียนการสอนที่ค่อนข้างที่จะเปิดกว้างเพื่อให้นักเรียนได้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจจริงๆ

โดยการสอนจะแบ่งออกเป็นช่วงเช้าจะสอนในห้องเรียน เป็นวิชาทั่วไปอย่าง วิชาวิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ

ช่วงบ่ายจะเป็นคาบเรียนเปิดที่นักเรียนสามารถเลือกสมัครเข้าเรียนได้ แน่นอนว่าจะไม่สมัครเลยก็ได้ ก็จะได้มีเวลาว่างทั้งตอนบ่าย

แต่ถ้าหากไม่เข้าเรียนสักห้าวิชาเพื่อเก็บ ‘เกรดเฉลี่ย’ จากวิชาช่วงบ่ายจะไม่สามารถสอบเลื่อนชั้นได้

วิชาช่วงบ่ายส่วนใหญ่จะเป็นวิชาเกี่ยวกับการปฏิบัติจริง เช่นวิชาศาสตร์เวทมนตร์แต่ละเผ่า วิชาปฏิบัติเวทมนตร์ วิชาการต่อสู้ด้วยทวน ฯลฯ

เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะมีหลากหลายเลย..

ส่วนวิชาที่เรียนตอนนี้คือวิชาเวทศึกษา.. เวทศึกษาก็เหมือนกับสังคมศึกษาหรือสุขศึกษา คือการนำเอาหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเวทมนตร์มาพูด

แน่นอนว่าเวทมนตร์ที่ว่าคือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘โครงสร้าง’ ของมันมากกว่า ดังนั้นเลยสามารถมาเป็นวิชาคาบเช้าได้

อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาเป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมของเขาสีค่อนข้างออกไปทางเทาๆ สวมชุดกาวน์สีขาว

เขาหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมาขีดเขียนไปยังหน้ากระดาน พร้อมกับกล่าว.

“เพราะแบบนั้นเองเวทมนตร์ถึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างลึกลับ คนต่างเผ่าไม่สามารถใช้เวทมนตร์อีกเผ่าได้ แต่กลับกันเวทมนตร์ที่ ‘แสดง’ ออกมาเพื่อเป็นรูปร่างกลับไม่ต่างกัน”

“ถ้าหากให้ยกตัวอย่างว่า.. เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ ให้มีผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ไฟ’ และเวทมนตร์ปีศาจเองก็สามารถ ‘สร้าง’ ผลลัพธ์ที่เป็น ‘ไฟ’ ได้เหมือนกัน”

“ทั้งที่ต้นเหตุของทั้งสองต่างกันสุดขั้วนี่ ทำไมไฟที่ถูกสร้างมาแล้วถึงถูกนับว่าเป็นเวทมนตร์ไฟเหมือนกัน?”

“พวกเธออาจจะคิดว่า ‘เพราะไฟมันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว เวทมนตร์น่ะ แค่สร้างสิ่งที่มีอยู่หรือเลียนแบบ ‘ไฟ’ ให้มันปรากฏขึ้นมาได้ด้วยพลังเวท’ อะไรแบบนี้อยู่”

“แต่คำถามคือ.. คิดว่าไฟเกิดขึ้นมาก่อน ‘เวทมนตร์’ จริงๆ หรือ? ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีหากสามารถเปลี่ยนเวทมนตร์ไฟไปเป็น ‘อักษรรูน’ ได้แล้วไฟที่พวกเธอครอบครองถึงจะต่างจากไฟธรรมดาเพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบโลกได้ถูกหรือเปล่า?”

“ซึ่งอักษรรูนไฟก็จะแผดเผาได้แม้แต่ไฟด้วยกันเอง พูดบางระดับคือไฟมันเลื่อนระดับไปได้ด้วย ‘เวทมนตร์’ แต่ในทางตรงกันข้ามไฟในความจริงที่ไม่อิงเวทมนตร์ ต่อให้เพิ่มความร้อนเป็นกี่องศามันก็ไม่สามารถเผาในสิ่งที่เผาไม่ได้อย่างไฟด้วยกันเอง”

“พูดอีกอย่างคือเวทมนตร์สามารถพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าได้ แต่ ‘ไฟ’ บนโลกนี้กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

“ทีนี้พวกเธอยังจะคิดอยู่อีกไหมว่าเวทมนตร์น่ะแค่ ‘เลียนแบบ’ สิ่งที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเฉยๆ !”

 

………….

[อืดหน่อยนะช่วงนี้… ฮา แต่ไม่ต้องห่วงจะพยายามอัพให้ได้วันละสองตอนครับ – ผู้เขียน]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 4: เวทศึกษา

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 4: เวทศึกษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 4 – เวทศึกษา

 

ในห้องเรียนพิเศษนี้มีคนอยู่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ… ดวงตาของเลทิเซียกวาดไปทั่วห้องเรียน.. ในห้องนี้มีคนประมาณหกคน

มีเลทิเซีย.. เลวิเนียหรือเลวี่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลทิเซีย.. เธอคือน้องสาวของเลทิเซีย ถึงจะไม่ใช่น้องจริงๆ เพราะเลทิเซียถูกพ่อกับแม่เลวี่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ

ตั้งแต่เลวี่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ.. เลวี่เป็นเด็กผู้หญิงผมสีฟ้ายาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของเธอนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เข้าหาคนอื่นเก่ง

และอาจจะเพราะผมยาวขาวสลวยของเธอที่ถูกดูแลมาอย่างดีในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่สอง เลยทำให้เธอเป็นที่ดึงดูดพอสมควรทั้งสำหรับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน..

แต่มีบางสิ่งที่เธอต่างจากเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เพราะเธอค่อนข้างที่จะคลั่งไคล้พี่สาวตัวเองอย่างเลทิเซียในระดับหนึ่ง

ซึ่งความคลั่งไคล้นั้นมันมากเกินกว่าคำว่าพี่น้องจะอธิบายได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเลวี่ไม่รู้ว่าเลทิเซียไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง..

หากรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กับเลทิเซียจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าเธออาจจะเผลอลงมือกับเลทิเซียเข้าเลยก็ได้… ลงมือที่ว่านี่หมายถึงในหลายๆ ความหมายน่ะนะ

ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงฮิเมะคัตนั่งเรียนอยู่ เธอมีผมสีดำยาวมัดไว้ผมทรงหางม้าดูเรียบร้อย

ผสมกับชุดเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบโรงเรียนที่ออกแบบมาอย่างประณีตมันยิ่งทำให้เธอมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก.. แม้จะยังเทียบกับเจ้าหญิงสองคนอย่างเลทิเซียกับเลวี่ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้

แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง.. เธอมีชื่อว่า โอโฮวริ ทสึรุ เพื่อนคนสำคัญของเลทิเซีย ทสึรุเป็นเด็กดีและเชี่ยวชาญวิชาทวนเป็นอย่างมาก

เธอได้สอนหลายๆ อย่างให้เลทิเซียได้รู้ แถมเธอยังเป็นรูมเมจกับเลวี่น้องสาวเลทิเซียอีกด้วย

ข้างๆ ทสึรุก็มีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองพร้อมทั้งหูสองข้างที่ตั้งชันขึ้นชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่มนุษย์

ไม่สิ หูธรรมดาของเธอก็มี.. หูธรรมดาแบบมนุษย์ของเธอมีหน้าที่ในการฟังเสียงทั่วไปเพื่อพูดคุยกับคนอื่น

แต่หูสองข้างบนหัวที่ตั้งชันเป็นหูของเผ่าครึ่งสัตว์โดยเฉพาะซึ่งมีหน้าที่ฟังเสียงที่หูธรรมดาไม่ได้ยิน

ว่าไงดี.. โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะมีประสาทสัมผัสทั้งห้าซึ่งประกอบไปด้วย การสัมผัส, การรับรส, การได้ยิน, หารรับกลิ่นและการมองเห็น

แต่กึ่งมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สัมผัสที่หก’ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ว่าสัมผัสที่หกของพวกเขาคืออะไร

เช่นเอล์ฟก็จะมีสัมผัสที่หกคือ ‘เนตรวิเศษ’ เป็นการเสริมประสิทธิภาพการมองเห็นให้สามารถมองเห็นจากมุมต่างๆ ของพื้นที่ ที่ระยะสายตาของเอล์ฟไปถึง

ซึ่งผู้หญิงผมสีน้ำตาลแกมเหลืองนี่ก็ไม่ใช่เผ่าอะไรนอกจาก เผ่าจิ้งจอก. ซึ่งสัมผัสที่หกของเธอคือการ ‘ได้ยินเสียง’

โดยปกติแล้วหูของมนุษย์หรือปีศาจในโลกนี้จะสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ และไม่สูงเกินกว่า 20,000 เฮิรตซ์

แต่หูของเผ่าจิ้งจอกสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำกว่า 20 และมากกว่า 20,000 เฮิรตซ์ได้ประมาณสามถึงสี่เท่าเลย

ซึ่งมันช่วยในการต่อสู้อย่างมาก.. นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เผ่าจิ้งจอกค่อนข้างได้รับความนิยม ซึ่งเธอคนนี้ก็เหมือนจะเป็นที่นิยมไม่เบา

อิซานะ นั่นคือชื่อของเธอ แน่นอนว่าเธอเป็นคนจากเผ่ากึ่งมนุษย์ ซึ่งเลทิเซียได้บังเอิญไปรู้จักกับเธอเพราะเผลอไปช่วยน้องชายของเธอจากพวกคนไม่ดี

ซึ่งอิซานะค่อนข้างจะนับถือเลทิเซียอยู่พอสมควร

ห่างไปอีกฟากของห้องก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอมีผมสีชมพูยาวความงามของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน..

เพียงแต่รอบๆ ตัวของเธอมีกลิ่นอบอวลบางอย่างทำให้เธอไม่เป็นที่ดึงดูดเท่าไหร่ เธอคือ อเล็กเซีย หญิงสาวที่เต็มไปด้วยปริศนาเป็นคนเดียวในห้องที่เลทิเซียแทบไม่ได้คุยด้วย

คนสุดท้ายคือเด็กผู้หญิงที่มีผมสีขาวดวงตาสีดำ.. ผู้ที่เป็นรูมเมจของเลทิเซีย ชาร์ล็อต กอร์แด… อันที่จริงชื่อของเธอยาวกว่านี้

ชื่อเต็มๆ เธอมีชื่อว่า ‘มารี-แอน ชาร์ล็อต เดอ กอร์แด ดาร์มง’ ซึ่งแม้แต่ในโลกนี้ก็ยังเป็นชื่อที่ยาวและแปลกตา

วินาทีแรกที่เลทิเซียได้ยินชื่อนี้เธอก็ถึงกับยืนงงอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากจะยาวแล้วยังเป็นชื่อสไตล์ฝรั่งเศส

แถมเธอยังเป็นเผ่าอสูรที่ลึกลับด้วย

เผ่าอสูรคืออะไร?

เผ่าอสูรคือเผ่าพันธุ์พิเศษที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดว่าพวกเขามาจากไหนมีเพื่ออะไร

เผ่าอสูรจะมีหลายประเภท ซึ่งรวมถึงประเภทมนุษย์เช่นกันและชาร์ล็อตก็เป็นเผ่าอสูรประเภทมนุษย์

แต่นอกจากนี้พวกสัตว์อสูรที่ดุร้ายอย่างพวก มอนสเตอร์ ในโลกนี้ก็เป็นเผ่าอสูรเหมือนกัน.. ซึ่งแตกต่างจากชาร์ล็อตคือชาร์ล็อตมีชีวิตจิตใจแต่พวกมันไม่

เผ่าอสูรมีหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นมังกรพ่นไฟ หรือจอมปีศาจซาตาน

เผ่าอสูรไม่มีแหล่งกำเนิดที่แน่ชัด พวกเขาค่อนข้างจะมีความประหลาดเพราะเมื่อพวกเขารู้สึกตัวขึ้นมาบนโลกนี้ พวกเขาจะอายุสี่ห้าขวบเลย

พวกเขาจะจำความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวไม่ได้เลย และไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกครอบครัวทิ้ง นอกจากนี้เผ่าอสูรยังไม่สามารถมีลูกได้

ไม่สิ มีได้แต่แค่บางคนเท่านั้น

นอกจากนี้เผ่าอสูรยังตายค่อนข้างยากบางทีพวกเขาก็มีพลังฟื้นฟูสุดน่ากลัวในระดับที่โดนตัดหัวก็ยังฟื้นฟูกลับมาได้

แต่บางทีก็ดันถูกฆ่าหรือตายได้แบบง่ายๆ เช่นเมื่อวานถูกตัดคอแต่ฟื้นฟูได้ แร่พอวันนี้ถูกตัดแขนแล้วรักษาไม่ทันกลายเป็นว่าตายซะอย่างนั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าอสูรถึงลึกลับขนาดนี้ … นั่นเพราะในตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถอธิบายความประหลาดของเผ่าอสูรได้

ใช่แล้ว ในห้องเรียนพิเศษนี้นอกจากจะมีคนน้อยไม่พอ ยังมีแต่ผู้หญิง.. เพราะว่าห้องเรียนพิเศษจะถูกแบ่งออกเป็นสองห้องคือห้องชายกับห้องหญิง

สาเหตุที่แบ่งออกเป็นสองห้องแบบนี้เพราะความต่างระหว่างเพศมันมีมากกว่าความต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ซะอีก

คงจะเกิดข้อสงสัยว่าถ้าแยกห้องชายกับหญิง แล้วไม่แยกห้องแต่ละเผ่าบ้างล่ะ ในเมื่อเวทมนตร์แต่ละเผ่าแตกต่างกันแบบนั้น?

แน่นอนว่าห้องเรียนนั้นมีไว้จำแนกเฉยๆ ว่านักเรียนอยู่ส่วนไหน แต่เมื่อถึงเวลาเรียกวิชาเวทมนตร์หลักๆ จริงๆ วิชาจะถูกแบ่งออกเป็นคอร์สให้เข้าเรียน

เช่นวิชาเวทมนตร์มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถไปสมัครได้ แน่นอนว่าเผ่าอื่นก็สมัครได้ เพียงแต่มันไม่ช่วยอะไรน่ะนะ

โรงเรียนเวทมนตร์ค่อนข้างมีการเรียนการสอนที่ค่อนข้างที่จะเปิดกว้างเพื่อให้นักเรียนได้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจจริงๆ

โดยการสอนจะแบ่งออกเป็นช่วงเช้าจะสอนในห้องเรียน เป็นวิชาทั่วไปอย่าง วิชาวิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ

ช่วงบ่ายจะเป็นคาบเรียนเปิดที่นักเรียนสามารถเลือกสมัครเข้าเรียนได้ แน่นอนว่าจะไม่สมัครเลยก็ได้ ก็จะได้มีเวลาว่างทั้งตอนบ่าย

แต่ถ้าหากไม่เข้าเรียนสักห้าวิชาเพื่อเก็บ ‘เกรดเฉลี่ย’ จากวิชาช่วงบ่ายจะไม่สามารถสอบเลื่อนชั้นได้

วิชาช่วงบ่ายส่วนใหญ่จะเป็นวิชาเกี่ยวกับการปฏิบัติจริง เช่นวิชาศาสตร์เวทมนตร์แต่ละเผ่า วิชาปฏิบัติเวทมนตร์ วิชาการต่อสู้ด้วยทวน ฯลฯ

เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะมีหลากหลายเลย..

ส่วนวิชาที่เรียนตอนนี้คือวิชาเวทศึกษา.. เวทศึกษาก็เหมือนกับสังคมศึกษาหรือสุขศึกษา คือการนำเอาหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเวทมนตร์มาพูด

แน่นอนว่าเวทมนตร์ที่ว่าคือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘โครงสร้าง’ ของมันมากกว่า ดังนั้นเลยสามารถมาเป็นวิชาคาบเช้าได้

อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาเป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมของเขาสีค่อนข้างออกไปทางเทาๆ สวมชุดกาวน์สีขาว

เขาหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมาขีดเขียนไปยังหน้ากระดาน พร้อมกับกล่าว.

“เพราะแบบนั้นเองเวทมนตร์ถึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างลึกลับ คนต่างเผ่าไม่สามารถใช้เวทมนตร์อีกเผ่าได้ แต่กลับกันเวทมนตร์ที่ ‘แสดง’ ออกมาเพื่อเป็นรูปร่างกลับไม่ต่างกัน”

“ถ้าหากให้ยกตัวอย่างว่า.. เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ ให้มีผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ไฟ’ และเวทมนตร์ปีศาจเองก็สามารถ ‘สร้าง’ ผลลัพธ์ที่เป็น ‘ไฟ’ ได้เหมือนกัน”

“ทั้งที่ต้นเหตุของทั้งสองต่างกันสุดขั้วนี่ ทำไมไฟที่ถูกสร้างมาแล้วถึงถูกนับว่าเป็นเวทมนตร์ไฟเหมือนกัน?”

“พวกเธออาจจะคิดว่า ‘เพราะไฟมันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว เวทมนตร์น่ะ แค่สร้างสิ่งที่มีอยู่หรือเลียนแบบ ‘ไฟ’ ให้มันปรากฏขึ้นมาได้ด้วยพลังเวท’ อะไรแบบนี้อยู่”

“แต่คำถามคือ.. คิดว่าไฟเกิดขึ้นมาก่อน ‘เวทมนตร์’ จริงๆ หรือ? ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีหากสามารถเปลี่ยนเวทมนตร์ไฟไปเป็น ‘อักษรรูน’ ได้แล้วไฟที่พวกเธอครอบครองถึงจะต่างจากไฟธรรมดาเพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบโลกได้ถูกหรือเปล่า?”

“ซึ่งอักษรรูนไฟก็จะแผดเผาได้แม้แต่ไฟด้วยกันเอง พูดบางระดับคือไฟมันเลื่อนระดับไปได้ด้วย ‘เวทมนตร์’ แต่ในทางตรงกันข้ามไฟในความจริงที่ไม่อิงเวทมนตร์ ต่อให้เพิ่มความร้อนเป็นกี่องศามันก็ไม่สามารถเผาในสิ่งที่เผาไม่ได้อย่างไฟด้วยกันเอง”

“พูดอีกอย่างคือเวทมนตร์สามารถพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าได้ แต่ ‘ไฟ’ บนโลกนี้กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

“ทีนี้พวกเธอยังจะคิดอยู่อีกไหมว่าเวทมนตร์น่ะแค่ ‘เลียนแบบ’ สิ่งที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเฉยๆ !”

 

………….

[อืดหน่อยนะช่วงนี้… ฮา แต่ไม่ต้องห่วงจะพยายามอัพให้ได้วันละสองตอนครับ – ผู้เขียน]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+