เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 3: จอมเวท

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 3: จอมเวท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 3 – จอมเวท

 

ถ้าจะถามว่าเป็นยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ที่นี่คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้… ในห้องเรียนพิเศษ..

ห้องเรียนพิเศษคืออะไร? ในโรงเรียนลิเบอร์แต่ละชั้นปีจะมีห้องเรียนพิเศษอยู่ชั้นปีละสองห้อง.. ห้องเรียนพิเศษคือห้องเรียนที่รวบรวมเด็กที่แตกต่างจากคนอื่นเอาไว้

โดยในชั้นปีจะแบ่งห้องออกเป็น A, B, C, D, F แต่ละห้องจะมีนักเรียนอยู่ประมาณ 30 กว่าคนเห็นจะได้

ก็ไม่แปลกแม้โรงเรียนลิเบอร์จะเป็นโรงเรียนระดับทวีปขนาดใหญ่ แต่การเข้าโรงเรียนค่อนข้างเข้มงวด แถมปีนี้การสมัครเข้าโรงเรียนอื่นนอกจากโรงเรียนลิเบอร์จะดีกว่า เพราะโรงเรียนลิเบอร์อยู่ในช่วงขาลง

ทำให้โรงเรียนลิเบอร์ในตอนนี้จึงมีนักเรียกใหม่ในชั้นปีหนึ่งเพียงร้อยกว่าเท่านั้นนั่นเอง.. ส่วนห้องพิเศษนั้นแตกต่างออกไป

ห้องพิเศษเหมือนห้องที่รวบรวมเอาคนประหลาดมาไว้ จะว่าเก่งก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะบางคนเข้าห้องพิเศษได้ด้วยของอย่างอื่น

แต่แน่นอนว่า.. เลทิเซียที่อยู่ในห้องนี้ได้นั้นเป็นเพราะเธอมีความสามารถมากพอ เลทิเซียเท้าคางในมือถืออุปกรณ์ที่คล้ายกับปากกาเขียนบางอย่างลงกระดาษด้วยความเรื่อยเปื่อย

ตอนนี้อาจารย์ที่สอนวิชาเวทศึกษากำลังทบทวนบทเรียนให้พวกเราฟังอยู่ เพราะใกล้จะถึงการสอบกลางภาคแล้วน่ะสิ

ซึ่งการทบทวนบทเรียนเพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยเรียนมันเป็นเหมือนการกระตุ้นความทรงจำอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การทบทวนถูกบันทึกไว้ในสมองอย่างแม่นยำมากขึ้น

พอเป็นแบบนั้นจะทำให้พอถึงเวลาสอบจะสามารถทำข้อสอบออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา แน่นอนว่าเป็นแนวทางของ โรงเรียนนี้ล่ะนะ

แถมโรงเรียนนี้ถึงจะบอกว่าเป็นโรงเรียนระดับทวีปแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่คนฉลาดเข้ามาเรียนได้ ยังสามารถใช้อำนาจทางบ้านเข้ามา

แน่นอนว่าในทางตรงกันข้ามโรงเรียนเวทมนตร์ต่อให้คุณไม่ใช่คนที่เป็นขุนนางก็สามารถเข้ามาเรียนได้หากมีความสามารถมากพอ

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นแม้จะบอกว่าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ แต่จริงๆ โรงเรียนไม่ได้สอนแค่เรื่องเวทมนตร์เป็นหลักหรอก

เพราะยังมีวิชาอาวุธระยะประชิดอยู่ สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า ‘โรงเรียนเวทมนตร์’ เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นถึงจอมเวทระดับพาลาดินนั่นแหละนะ..

ส่วนหัวข้อที่อาจารย์กำลังบรรยายก็เป็นหัวข้อเกี่ยวกับระดับของจอมเวทอยู่พอดีเลย..

จอมเวทระดับพาลาดินคืออะไร?

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องจอมเวทระดับพาลาดินก็ขอพูดถึงเรื่องเวทมนตร์บนโลกใบนี้ก่อนว่าโลกนี้มีเวทมนตร์แบบไหนและยังไง…

โดยทั่วไปแล้วในโลกนี้จะมีเวทมนตร์อยู่หลักๆ ถึงสี่รูปแบบด้วยกัน.. ซึ่งประกอบไปด้วยเวทมนตร์ปีศาจ เวทมนตร์มนุษย์ เวทมนตร์กึ่งมนุษย์

และเวทมนตร์แฟร์รี่

เวทมนตร์แฟร์รี่นั้นห่างไกลตัวเกินไปงั้นจะขอพูดถึงเวทมนตร์สามแบบข้างต้นก่อน ก็อย่างที่บอกเลยว่าเวทมนตร์นั้นมีสามแบบซึ่งแบ่งออกตามเผ่าพันธุ์

เวทมนตร์ปีศาจคือการ ‘สรรค์สร้าง’ องค์ประกอบบางอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดายเพื่อทำให้กลายเป็นเวทมนตร์

เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ กฎของโลกใบนี้ด้วยหลักการหรือทฤษฎีเวทมนตร์บางอย่าง

เวทมนตร์กึ่งมนุษย์คือการ ‘หยิบยืม’ พลังจากธรรมชาติ ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือการยืมพลังจากรอบด้านมาใช้เพื่อตนเองนั่นแหละ

เผ่าปีศาจนั้นมีพลังเวทภายในตัวค่อนข้างเยอะจึงทำให้สามารถสรรค์สร้างออกมาได้โดยตรง ต่างกับมนุษย์ที่มีพลังเวทน้อยจึงไม่สามารถสร้างออกมาได้แบบปีศาจ

จึงเลือกที่จะแทรกแซงปรากฏการณ์ด้วยเวทมนตร์ของตนเอง.. ในขณะที่กึ่งมนุษย์นั้นมีเวทมนตร์ระดับกลางๆ แต่เพราะเวทมนตร์ในตัวพวกเขาค่อนข้างจะหลอมผสานกับธรรมชาติรอบๆ ตัวทำให้พวกเขาสามารถหยิบยืมพลังจากธรรมชาติมาช่วย

หากให้เปรียบเทียบง่ายๆ พลังเวทในตัวก็เปรียบเหมือนน้ำในแก้ว เผ่าปีศาจนั้นมีน้ำเต็มแก้วจนล้นพร้อมที่จะดึงออกมาจากปากแก้วเพื่อสร้างเวทมนตร์

แต่มนุษย์นั้นมีน้ำในแก้วน้อยจึงเลือกที่จะ ‘แทรกแซง’ แก้วออกมาเพื่อสร้างเป็นเวทมนตร์โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าหลักการ

ส่วนกึ่งมนุษย์นั้นจะไม่มีแก้วมาตั้งแต่แรก พวกเขาต่างจากสองเผ่าด้านบนโดยสิ้นเชิง.. หากเทียบพลังเวทเป็นน้ำ สำหรับพวกกึ่งมนุษย์พลังเวทของพวกเขาก็ลอยอยู่อย่างนั้น

ไม่มีอะไรมาปิดกั้นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาตินั่นเอง…

ซึ่งตัวของจอมเวทมีแบ่งระดับ และระดับเหล่านี้ไม่แบ่งแยกรูปแบบเวทมนตร์.. ว่าง่ายๆ คือทุกเวทมนตร์ล้วนมีระดับแบบนี้นั่นแหละ โดยจะแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ

หนึ่ง..นักเรียนฝึกหัด

นักเรียนฝึกหัดคือตามชื่อยังไม่ใช่จอมเวท อันที่จริงนักเรียนชั้นปีหนึ่งทุกคนล้วนจัดอยู่ในระดับนี้

สอง..จอมเวทเริ่มต้น

พอเรียนไปถึงครึ่งหลังของปีหนึ่งจะมีการสอบเลื่อนระดับขั้นมาเป็นจอมเวทเริ่มต้นซึ่งจะทำให้ถูกยอมรับและสามารถมีห้องวิจัยส่วนตัวของตัวเองได้

สาม..จอมเวทระดับล่าง แบ่งออกเป็นสามชั้น

พอขึ้นปีสองแล้วจะสามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทระดับนี้ได้ และเมื่ออยู่ในขั้นนี้จะสามารถรับภารกิจที่บอร์ดภารกิจของโรงเรียนได้

สี่..จอมเวทระดับกลาง แบ่งออกเป็นสามชั้น

เมื่อมาถึงระดับนี้จะแตกต่างจากระดับก่อนๆ โดยสิ้นเชิงคือ.. หากอยากจะขึ้นมาระดับนี้ได้ไม่ใช่ผ่านการสอบแต่เป็นการที่สามารถสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาได้

อักษรรูนคืออะไร อักษรรูนคือการสร้างภาพ บางอย่างและแปรเปลี่ยนมันมาในรูปแบบของตัวอักษร..

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเวทมนตร์นั้นแตกต่างกันอย่างไร แต่เมื่อมาถึงระดับนี้จอมเวทต้องสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาจากมโนภาพของตนเอง

ให้รูนกลายเป็น ‘องค์ประกอบหลัก’ ของโลกใบนี้.. เช่นมีคนหนึ่งใช้เวทมนตร์ไฟให้กลายเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

และหากใช้อักษรรูน ‘ไฟ’ ปะทะกับเวทมนตร์ไฟแบบที่สร้างเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาจะเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’ จะแผดเผาแม้แต่เวทมนตร์ ‘ไฟ’ ด้วยกันเองเพราะอักษรรูนนั้นจะถูกนับว่าเป็นกฎของส่วนหนึ่งในโลกใบนี้แล้วนั่นเอง

เพราะงั้นการสร้างอักษรรูนนั้นจึงค่อนข้างยาก คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะมาถึงขั้นนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

ห้า…จอมเวทระดับสูง แบ่งออกเป็นสามชั้น

ระดับนี้คือต้องครอบครองบทสวดแห่งรูนมากกว่าหนึ่งบท.. บทสวดแห่งรูนคืออะไร? คือการควบแน่นเวทมนตร์ให้กลายเป็นอักษร

และเอาอักษรเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นบทสวดที่มีความหมายในตัวของมันเอง ฟังดูเหมือนง่ายการที่จะสร้างเวทมนตร์บางอย่างและทำเป็นอักษรรูน

เพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นบทสวดหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด.. ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ในระดับนี้ล้วนถูกต้อนรับเหมือนเป็นบุคคลทางการทูตเลย

หก..มหานักเวท

คือระดับที่นำเอาบทสวดแห่งรูน.. รวบรวมเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม! พูดให้ถูกคือคัมภีร์เวทมนตร์.. ซึ่งการทำแบบนั้นได้มันมีน้อยมาก

น้อยในระดับที่ว่าหากมีมหานักเวทปรากฏตัวขึ้นพวกเขาถูกปฏิบัติราวกับราชาของอาณาจักรไหนสักอาณาจักรเลยก็ว่าได้

พูดบางระดับแม้แต่ราชาของประเทศระดับกลางๆ ยังต้องมีมารยาทต่อคนที่ยืนอยู่ระดับนี้เลย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งพวกเขานั้น.. แทบจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ได้เลย!

สุดท้าย.. ระดับเจ็ด พาลาดิน

ผู้ที่ปกครอง ‘ห้องสมุดแห่งรูน’ ก็ตามชื่อต้องมีคัมภีร์มากกว่าร้อย มากกว่าพันเล่มในการครอบครอง.. ซึ่งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้มาตลอดหลายร้อยหลายพันปีนั้น..

คนที่มาถึงระดับนี้ได้มีแค่.. 5 คน! และทุกคนต่างก็มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้าอยู่นั่นเอง

…..

พออาจารย์พูดถึงเรื่อง ‘คัมภีร์เวทมนตร์’ เลทิเซียก็ก้มหน้าลง.. ในมือเธอยกคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมา… ‘คัมภีร์แห่งสัจจะ’

นั่นคือสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้าปกนั้น แน่นอนว่านี่คือคัมภีร์แห่งรูน.. ซึ่งน่าเสียดายที่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ของเลทิเซียน่ะนะ

แต่เป็นของสำคัญของเพื่อนคนหนึ่งของเธอ

ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาอีกครั้ง… ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสของเธอคนนั้น ..

“สเตฟานี่…..”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ 3: จอมเวท

Now you are reading เลทิเซียกับชีวิต(ไม่)ธรรมดาในโรงเรียนเวทมนตร์ Chapter 3: จอมเวท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี 1

บทที่ 3 – จอมเวท

 

ถ้าจะถามว่าเป็นยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ที่นี่คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้… ในห้องเรียนพิเศษ..

ห้องเรียนพิเศษคืออะไร? ในโรงเรียนลิเบอร์แต่ละชั้นปีจะมีห้องเรียนพิเศษอยู่ชั้นปีละสองห้อง.. ห้องเรียนพิเศษคือห้องเรียนที่รวบรวมเด็กที่แตกต่างจากคนอื่นเอาไว้

โดยในชั้นปีจะแบ่งห้องออกเป็น A, B, C, D, F แต่ละห้องจะมีนักเรียนอยู่ประมาณ 30 กว่าคนเห็นจะได้

ก็ไม่แปลกแม้โรงเรียนลิเบอร์จะเป็นโรงเรียนระดับทวีปขนาดใหญ่ แต่การเข้าโรงเรียนค่อนข้างเข้มงวด แถมปีนี้การสมัครเข้าโรงเรียนอื่นนอกจากโรงเรียนลิเบอร์จะดีกว่า เพราะโรงเรียนลิเบอร์อยู่ในช่วงขาลง

ทำให้โรงเรียนลิเบอร์ในตอนนี้จึงมีนักเรียกใหม่ในชั้นปีหนึ่งเพียงร้อยกว่าเท่านั้นนั่นเอง.. ส่วนห้องพิเศษนั้นแตกต่างออกไป

ห้องพิเศษเหมือนห้องที่รวบรวมเอาคนประหลาดมาไว้ จะว่าเก่งก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะบางคนเข้าห้องพิเศษได้ด้วยของอย่างอื่น

แต่แน่นอนว่า.. เลทิเซียที่อยู่ในห้องนี้ได้นั้นเป็นเพราะเธอมีความสามารถมากพอ เลทิเซียเท้าคางในมือถืออุปกรณ์ที่คล้ายกับปากกาเขียนบางอย่างลงกระดาษด้วยความเรื่อยเปื่อย

ตอนนี้อาจารย์ที่สอนวิชาเวทศึกษากำลังทบทวนบทเรียนให้พวกเราฟังอยู่ เพราะใกล้จะถึงการสอบกลางภาคแล้วน่ะสิ

ซึ่งการทบทวนบทเรียนเพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยเรียนมันเป็นเหมือนการกระตุ้นความทรงจำอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การทบทวนถูกบันทึกไว้ในสมองอย่างแม่นยำมากขึ้น

พอเป็นแบบนั้นจะทำให้พอถึงเวลาสอบจะสามารถทำข้อสอบออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา แน่นอนว่าเป็นแนวทางของ โรงเรียนนี้ล่ะนะ

แถมโรงเรียนนี้ถึงจะบอกว่าเป็นโรงเรียนระดับทวีปแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่คนฉลาดเข้ามาเรียนได้ ยังสามารถใช้อำนาจทางบ้านเข้ามา

แน่นอนว่าในทางตรงกันข้ามโรงเรียนเวทมนตร์ต่อให้คุณไม่ใช่คนที่เป็นขุนนางก็สามารถเข้ามาเรียนได้หากมีความสามารถมากพอ

โรงเรียนเวทมนตร์นั้นแม้จะบอกว่าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ แต่จริงๆ โรงเรียนไม่ได้สอนแค่เรื่องเวทมนตร์เป็นหลักหรอก

เพราะยังมีวิชาอาวุธระยะประชิดอยู่ สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า ‘โรงเรียนเวทมนตร์’ เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นถึงจอมเวทระดับพาลาดินนั่นแหละนะ..

ส่วนหัวข้อที่อาจารย์กำลังบรรยายก็เป็นหัวข้อเกี่ยวกับระดับของจอมเวทอยู่พอดีเลย..

จอมเวทระดับพาลาดินคืออะไร?

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องจอมเวทระดับพาลาดินก็ขอพูดถึงเรื่องเวทมนตร์บนโลกใบนี้ก่อนว่าโลกนี้มีเวทมนตร์แบบไหนและยังไง…

โดยทั่วไปแล้วในโลกนี้จะมีเวทมนตร์อยู่หลักๆ ถึงสี่รูปแบบด้วยกัน.. ซึ่งประกอบไปด้วยเวทมนตร์ปีศาจ เวทมนตร์มนุษย์ เวทมนตร์กึ่งมนุษย์

และเวทมนตร์แฟร์รี่

เวทมนตร์แฟร์รี่นั้นห่างไกลตัวเกินไปงั้นจะขอพูดถึงเวทมนตร์สามแบบข้างต้นก่อน ก็อย่างที่บอกเลยว่าเวทมนตร์นั้นมีสามแบบซึ่งแบ่งออกตามเผ่าพันธุ์

เวทมนตร์ปีศาจคือการ ‘สรรค์สร้าง’ องค์ประกอบบางอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดายเพื่อทำให้กลายเป็นเวทมนตร์

เวทมนตร์มนุษย์คือการ ‘แทรกแซง’ กฎของโลกใบนี้ด้วยหลักการหรือทฤษฎีเวทมนตร์บางอย่าง

เวทมนตร์กึ่งมนุษย์คือการ ‘หยิบยืม’ พลังจากธรรมชาติ ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือการยืมพลังจากรอบด้านมาใช้เพื่อตนเองนั่นแหละ

เผ่าปีศาจนั้นมีพลังเวทภายในตัวค่อนข้างเยอะจึงทำให้สามารถสรรค์สร้างออกมาได้โดยตรง ต่างกับมนุษย์ที่มีพลังเวทน้อยจึงไม่สามารถสร้างออกมาได้แบบปีศาจ

จึงเลือกที่จะแทรกแซงปรากฏการณ์ด้วยเวทมนตร์ของตนเอง.. ในขณะที่กึ่งมนุษย์นั้นมีเวทมนตร์ระดับกลางๆ แต่เพราะเวทมนตร์ในตัวพวกเขาค่อนข้างจะหลอมผสานกับธรรมชาติรอบๆ ตัวทำให้พวกเขาสามารถหยิบยืมพลังจากธรรมชาติมาช่วย

หากให้เปรียบเทียบง่ายๆ พลังเวทในตัวก็เปรียบเหมือนน้ำในแก้ว เผ่าปีศาจนั้นมีน้ำเต็มแก้วจนล้นพร้อมที่จะดึงออกมาจากปากแก้วเพื่อสร้างเวทมนตร์

แต่มนุษย์นั้นมีน้ำในแก้วน้อยจึงเลือกที่จะ ‘แทรกแซง’ แก้วออกมาเพื่อสร้างเป็นเวทมนตร์โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าหลักการ

ส่วนกึ่งมนุษย์นั้นจะไม่มีแก้วมาตั้งแต่แรก พวกเขาต่างจากสองเผ่าด้านบนโดยสิ้นเชิง.. หากเทียบพลังเวทเป็นน้ำ สำหรับพวกกึ่งมนุษย์พลังเวทของพวกเขาก็ลอยอยู่อย่างนั้น

ไม่มีอะไรมาปิดกั้นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาตินั่นเอง…

ซึ่งตัวของจอมเวทมีแบ่งระดับ และระดับเหล่านี้ไม่แบ่งแยกรูปแบบเวทมนตร์.. ว่าง่ายๆ คือทุกเวทมนตร์ล้วนมีระดับแบบนี้นั่นแหละ โดยจะแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ

หนึ่ง..นักเรียนฝึกหัด

นักเรียนฝึกหัดคือตามชื่อยังไม่ใช่จอมเวท อันที่จริงนักเรียนชั้นปีหนึ่งทุกคนล้วนจัดอยู่ในระดับนี้

สอง..จอมเวทเริ่มต้น

พอเรียนไปถึงครึ่งหลังของปีหนึ่งจะมีการสอบเลื่อนระดับขั้นมาเป็นจอมเวทเริ่มต้นซึ่งจะทำให้ถูกยอมรับและสามารถมีห้องวิจัยส่วนตัวของตัวเองได้

สาม..จอมเวทระดับล่าง แบ่งออกเป็นสามชั้น

พอขึ้นปีสองแล้วจะสามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทระดับนี้ได้ และเมื่ออยู่ในขั้นนี้จะสามารถรับภารกิจที่บอร์ดภารกิจของโรงเรียนได้

สี่..จอมเวทระดับกลาง แบ่งออกเป็นสามชั้น

เมื่อมาถึงระดับนี้จะแตกต่างจากระดับก่อนๆ โดยสิ้นเชิงคือ.. หากอยากจะขึ้นมาระดับนี้ได้ไม่ใช่ผ่านการสอบแต่เป็นการที่สามารถสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาได้

อักษรรูนคืออะไร อักษรรูนคือการสร้างภาพ บางอย่างและแปรเปลี่ยนมันมาในรูปแบบของตัวอักษร..

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเวทมนตร์นั้นแตกต่างกันอย่างไร แต่เมื่อมาถึงระดับนี้จอมเวทต้องสร้าง ‘อักษรรูน’ ขึ้นมาจากมโนภาพของตนเอง

ให้รูนกลายเป็น ‘องค์ประกอบหลัก’ ของโลกใบนี้.. เช่นมีคนหนึ่งใช้เวทมนตร์ไฟให้กลายเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

และหากใช้อักษรรูน ‘ไฟ’ ปะทะกับเวทมนตร์ไฟแบบที่สร้างเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’

ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาจะเป็นอักษรรูน ‘ไฟ’ จะแผดเผาแม้แต่เวทมนตร์ ‘ไฟ’ ด้วยกันเองเพราะอักษรรูนนั้นจะถูกนับว่าเป็นกฎของส่วนหนึ่งในโลกใบนี้แล้วนั่นเอง

เพราะงั้นการสร้างอักษรรูนนั้นจึงค่อนข้างยาก คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะมาถึงขั้นนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

ห้า…จอมเวทระดับสูง แบ่งออกเป็นสามชั้น

ระดับนี้คือต้องครอบครองบทสวดแห่งรูนมากกว่าหนึ่งบท.. บทสวดแห่งรูนคืออะไร? คือการควบแน่นเวทมนตร์ให้กลายเป็นอักษร

และเอาอักษรเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นบทสวดที่มีความหมายในตัวของมันเอง ฟังดูเหมือนง่ายการที่จะสร้างเวทมนตร์บางอย่างและทำเป็นอักษรรูน

เพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นบทสวดหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด.. ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ในระดับนี้ล้วนถูกต้อนรับเหมือนเป็นบุคคลทางการทูตเลย

หก..มหานักเวท

คือระดับที่นำเอาบทสวดแห่งรูน.. รวบรวมเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม! พูดให้ถูกคือคัมภีร์เวทมนตร์.. ซึ่งการทำแบบนั้นได้มันมีน้อยมาก

น้อยในระดับที่ว่าหากมีมหานักเวทปรากฏตัวขึ้นพวกเขาถูกปฏิบัติราวกับราชาของอาณาจักรไหนสักอาณาจักรเลยก็ว่าได้

พูดบางระดับแม้แต่ราชาของประเทศระดับกลางๆ ยังต้องมีมารยาทต่อคนที่ยืนอยู่ระดับนี้เลย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งพวกเขานั้น.. แทบจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ได้เลย!

สุดท้าย.. ระดับเจ็ด พาลาดิน

ผู้ที่ปกครอง ‘ห้องสมุดแห่งรูน’ ก็ตามชื่อต้องมีคัมภีร์มากกว่าร้อย มากกว่าพันเล่มในการครอบครอง.. ซึ่งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้มาตลอดหลายร้อยหลายพันปีนั้น..

คนที่มาถึงระดับนี้ได้มีแค่.. 5 คน! และทุกคนต่างก็มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้าอยู่นั่นเอง

…..

พออาจารย์พูดถึงเรื่อง ‘คัมภีร์เวทมนตร์’ เลทิเซียก็ก้มหน้าลง.. ในมือเธอยกคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมา… ‘คัมภีร์แห่งสัจจะ’

นั่นคือสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้าปกนั้น แน่นอนว่านี่คือคัมภีร์แห่งรูน.. ซึ่งน่าเสียดายที่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ของเลทิเซียน่ะนะ

แต่เป็นของสำคัญของเพื่อนคนหนึ่งของเธอ

ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาอีกครั้ง… ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสของเธอคนนั้น ..

“สเตฟานี่…..”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+