1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ 1-3 ช่วงเวลาพักผ่อนตัวคนเดียว

Now you are reading 1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ Chapter 1-3 ช่วงเวลาพักผ่อนตัวคนเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ตอนแรกฉันเรียกเธอว่าผู้หญิงชั่วร้ายแล้วกัดฟันกรอด เกลียดชังมราเธอยั่วยวนชายหนุ่มที่แต่งงานกับฉันไปแล้ว ฉันประณามเธออย่างรุนแรงว่าทำเรื่องผิดศีลธรรมแล้วดูถูกเธอว่าเป็นโสเภณีกระหายผู้ชายพร้อมกับต้อนเธอให้จนมุม

แต่ก็มารับรู้ทีหลังว่าฝ่ายที่ขัดขวางก็คือฉันเอง

คนที่เข้าไปแทรกกลางระหว่างความรักของคนสองคนคือตัวฉันเอง ฉันคือตัวร้ายของเขาทั้งสองคนมาตั้งแต่แรก เขาไม่ใช่ของของฉันมาตั้งแต่แรก

ใช่แล้ว ทิ้งเยื่อใยไปซะ โอกาสที่สามารถส่งคืนได้ยังมีอยู่เหลือเฟือ เพราะฉะนั้นคืนเขาให้เธอไปเถอะ

“ถ้าหากครอบครัวของเขารู้เรื่องลูก คงจะไม่มาแย่งลูกไปหรอกนะ…”

เพราะพวกเขาเป็นคนที่ต่อกรด้วยยาก ถ้ารู้ถึงการมีอยู่ของลูกก็อาจจะพรากเขาไปไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม ฉันอยากเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นลูกของฉันเพียงคนเดียวโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเขา

ฉันไม่คิดว่าเขาจะรักเด็กคนนี้ หากเด็กเกิดมาแล้วไปอยู่กับเขา แม้จะลองสมมุติว่าถ้าหากเขาแต่งงานกับเธอแล้วเลี้ยงลูกของฉัน ฉันก็ไม่มั่นใจเลยว่าลูกจะมีความสุข ฉันคาดการณ์ว่าลูกคงจะถูกทอดทิ้งเอาไว้ตรงกลางระหว่างสามีที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอกับลูกของเธอ ทำเพื่อพวกเขาเท่านั้น

ถ้าฉันบอกความจริงกับลูกว่าพ่อของลูกคือเขา มีความเป็นไปได้สูงว่ายิ่งโตลูกก็จะยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกับความจริงที่ว่าพ่อไม่รักตัวเอง พร้อมกับตั้งคำถามว่าทำไมพ่อถึงไม่อยู่กับพวกเรา ฉันไม่ต้องการให้ลูกต้องมีบาดแผลเหมือนเหมือนฉันที่ไม่เคยได้รับความรักของพ่อ ถึงจะกระหายและต้องการมันมากแค่ไหนก็ตาม

แม้ว่าตัวเลือกของฉันจะบอกไม่ได้ว่าเป็นการทำเพื่อลูกเพียงคนเดียวก็เถอะ…

“ลูกจะเข้าใจใช่ไหม”

ลูกจะให้อภัยแม่ได้ไหม แม่เชื่อว่าลูกจะให้อภัยแม่นะ เพราะลูกเป็นเด็กดีที่กลับมาอีกครั้งเพื่อแม่

“เอาล่ะ จะทำยังไงกันดี ต้องทำยังไงพวกเขาถึงจะไม่อยากได้ตัวลูกไปกันนะ”

ตอนนี้ลูกของฉันยังไม่ได้เกิดขึ้นมาภายในร่างกายของฉัน แต่มือของฉันก็ลูบไล้อยู่ตรงหน้าท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไม ฉันถึงมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ทำเป็นนิสัยมันจะไม่แย่ขนาดนั้น

ฉันเบนสายตาไปมองผ้าปูเตียงที่เปื้อนคราบเลือดของสาวพรหมจรรย์ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่คนในครอบครัวของสามีสามารถยื่นมือเข้ามายุ่งได้มากกว่าที่ไหนๆ เรื่องนี้จะต้องถึงหูพวกผู้ใหญ่ผ่านคนดูแลบ้านแน่ๆ

หากเป็นเช่นนั้น สู้ทำให้ความเกี่ยวข้องกับการตั้งท้องและการร่วมหลับนอนในครั้งนี้หายไปก่อนก็น่าจะดีกว่า

พอกดเรียกหาด้วยโทรศัพท์ภายในบ้านที่ถูกเตรียมไว้ในห้อง ก็โทรติดไปยังผู้ดูแลบ้านพักตากอากาศหลังจากเสียงรอสายดังขึ้นไม่กี่ครั้ง

-ครับ ต้องการอะไรหรือเปล่าครับ

เป็นเสียงของผู้ดูแลวัยกลางคนที่เจอเมื่อวาน ถึงฉันจะตั้งใจไว้แล้ว แต่ก็ลังเลไปชั่วขณะหนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องน่าอายในการพูดกับผู้ชาย

“คือ ขอโทษนะคะ แต่ช่วยหาผ้าอนามัยให้หน่อยได้ไหมคะ ครั้งนี้ประจำเดือนมาไม่ตรงก็เลยไม่ทันได้เตรียมไว้น่ะค่ะ”

-อ้อ แน่นอนสิครับ แต่ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ไกลนิดหน่อย น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนะครับ…

“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ อ้อ แล้วก็…

-พูดมาเลยครับ

“ดูเหมือนจะต้องเปลี่ยนผ้าปูเตียงด้วยค่ะ”

-ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมส่งภรรยาผมขึ้นไปนะครับ

“ขอบคุณค่ะ”

หลังจากวางสายถึงคลายความกังวลลงได้แล้วถอนหายใจยาวออกมา โชคดีที่ผู้ดูแลตอบกลับมาโดยไม่มีท่าทีประหม่าอะไร ฉันเลยไม่ค่อยเขินเท่าไรนัก

เวลาผ่านไปไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณเล็กๆ ที่บ่งบอกว่ามีใครบางคนมาถึงหน้าประตูห้อง ฉันจึงตอบกลับเสียงเคาะประตูที่ลอดเข้ามาพร้อมกันว่า ‘ค่ะ เข้ามาเลยค่ะ’

“รอนานเลยสินะคะ”

พอคุณป้าที่เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกดีพับผ้าห่มขึ้น ภาพผ้าปูเตียงที่ทิ้งรอยเลือดไว้ก็ปรากฏให้เห็น

ไม่รู้ทำไมฉันรู้สึกเขินอายเลยพูดขึ้นราวกับเป็นการแก้ตัว

“ขอโทษด้วยนะคะ หนูคำนวณวันที่ประจำเดือนผิดไปก็เลย…”

“โธ่ มันก็เกิดขึ้นได้ค่ะ มันก็แล้วแต่สภาพร่างกายของเราอยู่แล้ว คงใส่ใจกับมันมากเกินไปเพราะงานแต่งงานล่ะสิคะ”

“คงจะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”

คุณป้าคงมีนิสัยชอบคุยกับคนอื่นๆ เป็นปกติ เธอจึงพูดคุยกับฉันเรื่อยๆ ในระหว่างดึงผ้าปูเตียงไปด้วย

“ว่าแต่เป็นแบบนี้จะทำยังไงล่ะคะ ช่วงฮันนีมูน ความสัมพันธ์จะได้แสดงความรักอย่างเปิดเผยแท้ๆ แต่ เจ้าสาวเป็นแบบนี้ เจ้าบ่าวคงจะผิดหวังไม่ใช่น้อยเลยนะคะเนี่ย”

“ฮ่าๆๆ อย่างนั้นเหรอคะ”

ฉันเองก็รู้สิ่งที่ควรจะรู้ทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่าชั่วโมงบินของฉันคงยังไม่พอต่อการพูดคุยเรื่องเพศอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเหมือนคุณป้า

“คงจะเขินสินะ ไม่มีอะไรจะต้องอายหรอกค่ะ ผู้หญิงด้วยกันเอง แต่ก็ยังเป็นเจ้าสาวป้ายแดงอยู่ล่ะเนอะ”

ฉันพยายามซ่อนความไม่สะดวกใจไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าการจัดการสีหน้าท่าทางจะไม่เป็นเหมือนที่คิด คุณป้าจึงยิ้มกว้างพลางพูดขึ้นหลังจากสังเกตสีหน้าของฉัน

พอดึงผ้าปูเตียงออกแล้วเอาผ้าปูผืนใหม่ที่ใส่ไว้ในตะกร้าออกมา จนเห็นสิ่งที่ถูกผ้าปูเตียงปิดอยู่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“จริงด้วย ตั้งสติหน่อยสิฉัน ลืมว่าจะให้เจ้านี่ไปเลย อายุยิ่งมากขึ้นก็ยิ่งลืมบ่อย ลำบากจริงๆ เลย”

“นี่…”

ฉันรับสิ่งที่คุณป้ายื่นให้อย่างไม่ทันตั้งตัว มันคือผ้าอนามัยนั่นเอง

“ผ้าอนามัยที่ป้าเคยใช้แล้วยังไม่หมดน่ะ รีบใช้ก่อนเถอะค่ะ”

คุณป้าปูผ้าปูที่นอนภายในเวลาชั่วพริบตาด้วยความคล่องแคล่ว ก่อนจะยืดเอวขึ้นพลางหันมองดูภายในห้องราวกับว่าเพิ่งได้มีเวลามองมัน

“อยู่แล้วมีอะไรที่ไม่สะดวกสบายไหมคะ”

“ไม่ค่ะ ไม่มีเลย คงจะดูแลบ้านพักตากอากาศอย่างดีเลยนะคะ”

“ถึงบอกว่าเป็นผู้ดูแลบ้านพักตากอากาศ แต่ในหนึ่งปีมีครอบครัวของท่านประธานหรือแขกของครอบครัวท่านมาเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นแหละค่ะ แค่ทำความสะอาดบ้างเป็นบางครั้ง ไม่มีงานอะไรยุ่งเลยด้วยซ้ำ แต่กลับให้บ้านอยู่ แถมยังให้เงินเดือนอีก พวกเราน่ะรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ เพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่มาก็เลยอยากจะทำให้ทุกคนได้ใช้เวลาพักผ่อนอย่างสดชื่น สบายใจมากที่สุด ขอบคุณที่สนใจแล้วบอกความต้องการกับพวกเรานะคะ”

“อย่างนั้นเองสินะคะ”

“ว่าแต่ปล่อยให้เจ้าสาวป้ายแดงแสนสวยอยู่คนเดียวแล้วคุณชายไปไหนซะแล้วล่ะคะ ไปเดินล่งเดินเล่นแถวนี้หรือเปล่า”

คุณชายงั้นเหรอ ฉันยิ้มเล็กน้อยเพราะไม่รู้ทำไมถึงคิดว่ามันเป็นคำเรียกที่ไม่เข้ากับผู้ชายที่เย็นชาและบึ้งตึงคนนั้นเลย

“เปล่าหรอกค่ะ เขากลับโซลไปกลางดึกเมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ”

“คะ? เมื่อคืนเหรอคะ”

“เหมือนจะมีงานที่จะต้องจัดการด่วนที่บริษัทมั้งคะ”

“โธ่ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่มันมากเกินไปจริงๆ ฮันนีมูนแท้ๆ แต่ปล่อยเจ้าสาวไว้คนเดียวได้ยังไงกัน”

คุณป้าจึ๊ปากราวกับรู้สึกเห็นใจ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดิมทีเขาก็เป็นคนยุ่งๆ อยู่แล้ว คงตั้งใจให้ที่นี่เป็นสถานที่ฮันนีมูนเพราะถ้ามีงานด่วนเกิดขึ้นที่บริษัทก็จะไปสะสางได้ทันทีน่ะค่ะ”

“ถ้าแบบนั้น ก็คงไม่ได้ใช้เวลาในคืนแรกด้วยสินะคะ สำหรับคู่สามีภรรยาแล้ว เรื่องที่สำคัญมากกว่าเรื่องนั้นมีที่ไหนกัน แถมยังอยู่ไม่ครบหนึ่งวันดีก็ไปเสียแล้ว อยู่ตำแหน่งสูงๆ ก็ไม่ได้ดีไปซะทุกอย่างนะเนี่ย”

“นั่นสิคะ”

การอ้างว่าผู้ต้องสงสัยไม่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุสำเร็จลุล่วง อย่างแรกเลยเหมือนจะปล่อยวางความกังวลอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าสาวจะทำยังไงล่ะคะ”

“คะ?”

“วันนี้จะกลับไปเลยหรือเปล่าคะ”

“ไม่ค่ะ หนูตั้งใจจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย ไม่ได้มาเที่ยวเล่นในสถานที่แบบนี้มานานแล้ว ถึงแม้จะแค่คนเดียว แต่อย่างน้อยก็อยากจะพักผ่อนอย่างเพลิดเพลินต่อสักนิดค่ะ”

ในอดีตทันทีเมื่อยามเช้ามาถึง ฉันเองก็เดินทางกลับโซลด้วยเหมือนกัน

เพราะฉันไม่อยากพักผ่อนในสถานที่ที่ตัวเองถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวในคืนแรกของการแต่งงานเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะไม่มีเขา การฮันนีมูนก็เลยไม่ต่างอะไรกับสิ่งไร้ความหมาย ฉันจึงไม่ได้รู้สึกมีเยื่อใยเป็นพิเศษ

แล้วก็ถ้าลองมองย้อนกลับไปตอนเด็กๆ พ่อฉันยุ่งมากก็เลยไม่มีผู้ใหญ่คนไหนพาฉันไปเที่ยว พอโตขึ้นมาก็มัวแต่เรียนหนังสือจนไม่มีเวลาว่างจะไปเที่ยวเล่นเลย และถึงแม้จะโตพอที่จะสามารถไปทุกที่ด้วยตัวเองได้แล้ว ฉันก็ไม่คิดอยากไปเที่ยวที่ไหนแม้แต่น้อย

ตอนนี้ก็ไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะไปเที่ยวมากขนาดนั้น แต่ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ฉันเองก็อยากจะลองใช้เวลาเพลิดเพลินอย่างไม่รีบร้อนดูบ้าง

“อยู่คนเดียวแล้วจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่าอยู่ในบ้านพักตากอากาศแล้วจะรู้สึกปลอดโปร่งก็เถอะ แต่ภูเขารอบๆ ก็ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ตกกลางคืนก็น่ากลัวอยู่นะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ข้างๆ มีบ้านคุณป้าอยู่นี่คะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะมาหาหนูอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถ้ามีอะไรแปลกๆ ก็เรียกได้เลยนะคะ ป้าจะรีบวิ่งมาหาเลยค่ะ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

“แต่ระหว่างอยู่ที่นี่ เป็นผู้หญิงไปไหนมาไหนตัวคนเดียวก็น่าจะอันตราย ให้ป้าโทรหาคุณนายแล้วขอให้ส่งคนมาหน่อยดีไหมคะ หรือถ้าจะทำอะไรก็เรียกใช้สามีป้าแทนคนขับรถก็ได้ค่ะ ไม่ก็เดี๋ยวป้าตามไปด้วยดีไหมคะ”

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”

ฉันสะดุ้งแล้วพูดออกมาอย่างเฉียบขาดเพราะคำว่าคุณนายของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แค่เป็นห่วงก็รู้สึกขอบคุณแล้วค่ะ”

“ถ้าคุณเจ้าสาวว่าอย่างนั้น ป้าก็ทำอะไรไม่ได้ล่ะนะคะ”

“ถ้าจะออกไปข้างนอก หนูจะไปขอความช่วยเหลือจากคุณลุงแน่นอนค่ะ”

“ได้เลยค่ะ ถ้างั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ”

พอก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวแล้วพูดขึ้น คุณป้าถึงได้คลายสีหน้าเคร่งเครียดลงได้ ฉันทำอะไรไม่ถูกเพราะความเป็นกังวลเกินกว่าความจำเป็น แต่สัมผัสได้ว่าคุณป้าเป็นห่วงจริงๆ ฉันจึงไม่ได้ไม่พอใจอะไร กลับรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นฉันจึงลงไปส่งคุณป้าที่กำชับด้วยความเป็นห่วงจนถึงที่สุดด้วยรอยยิ้ม

* * *

การพักผ่อนคนเดียวก็ไม่ได้แย่

ระหว่างที่เดินตามเส้นทางเดินบนเขาที่ถูกเกลี่ยเป็นเส้นถนนไว้อย่างดี เสียงนกที่ดังลอดเข้ามาก็ทำให้ฉันเพลิดเพลิน บางครั้งก็มองเห็นกระรอกแดงด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีกระทั่งสุนัขตัวหนึ่งที่เดินตามฉันมาตลอดเส้นทางด้วยความเชื่อง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ตัวคนเดียว แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันเหงาหรือน่ากลัวเลย

ฉันนั่งแช่เท้าลงในลำธารเย็นสดชื่น หลังจากนั้นก็กลับมาทานข้าวเที่ยงหน้าตาน่าทานที่ถูกเตรียมไว้ให้ คงเพราะฝีมือการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของคุณป้า มันจึงเป็นมื้อที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว

เมื่อทานเสร็จฉันเลยออกไปนั่งเล่นตรงระเบียงชั้นหนึ่ง ถือเป็นการย่อยอาหารไปด้วย แล้วใช้เวลามองดูสุนัขที่วิ่งเล่นไปมาตรงลานบ้านอยู่พักหนึ่ง

ฉันไม่เคยมองดูสัตว์ใกล้ๆ มาก่อนและไม่เคยสัมผัสมันมาก่อนด้วย เพราะอย่างนั้นเพียงแค่การมองดูสุนัขที่วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้มันกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าพึงพอใจแล้ว

ไม่ใช่สุนัขตัวเล็กๆ ด้วย แต่กลับเป็นสุนัขตัวใหญ่พันธุ์เกรทไพรีนีส เพราะอย่างนั้นตอนแรกฉันเลยลังเลอยู่เหมือนกัน แต่รูปลักษณ์ภายนอกของมันดูอ่อนโยน แล้วก็ให้ความรู้สึกว่าท่าทางร่าเริงนั้นน่ารักน่าเอ็นดูดีด้วย จากนั้นเจ้าสุนัขคงเล่นจนเหนื่อย มันจึงหาวปากกว้างหนึ่งครั้งแล้วฟุบหมอบนอนหลับไป

ฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือบริเวณชั้นหนึ่งถือกลับห้องมานอนอ่านบนเตียง ทว่าพลิกไปพลิกมาได้ไม่กี่หน้าฉันก็ผล็อยหลับไป

หลับไปแบบนั้นนานแค่ไหนนะ

ปี๊นๆ!

เสียงแตรรถยนต์ปลุกฉันให้ตื่นจากฝันหวาน ฉันสะดุ้งมองไปทางหน้าต่างแล้วก็เห็นว่าท้องฟ้ากำลังถูกย้อมเป็นสีแดง

‘คุณลุงคนดูแลบ้านหรือเปล่านะ แต่ไม่น่าจะมีเรื่องที่น่าจะต้องถึงกับบีบแตรนี่’

เสียงแตรไม่ได้เงียบไปหลังจากดังแค่ครั้งสองครั้ง แต่กลับดังอย่างต่อเนื่อง ฉันจึงขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วลุกจากเตียง

พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นรถตู้ของคุณลุงคนดูแลและรถยนต์ของคนอื่นแน่ๆ จอดอยู่ตรงลานบ้าน คนที่ยืนอยู่ข้างรถแล้วสอดแค่แขนเข้าไปบีบแตรเสียงดังคงจะมองเห็นฉัน เขาเลยเริ่มโบกไม้โบกมืออย่างใหญ่โต

รู้สึกเหมือนเป็นคนรู้จัก ฉันจึงหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองแล้วก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก่อนจะส่งเสียงอุทานว่าอ๋อสั้นๆ และขมวดคิ้วไปพร้อมๆ กัน

ทำเป็นไม่สนใจไปเลยดีไหมนะ ฉันไม่คิดอะไรไปมากกว่านั้นเพราะมันเป็นตัวเลือกที่ดึงดูดใจมากๆ จากนั้นเลยปิดผ้าม่านลงทันที

ปี๊นๆ! ปี๊นๆ!

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงแต่ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เงียบลงไป แล้วเสียงกริ๊งของโทรศัพท์ภายในห้องก็ดังขึ้นแทน

“ฮัลโหล”

-คุณเจ้าสาว ป้าเองนะคะ

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ เมื่อกี้เสียงดังวุ่นวายมากเลย…”

ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วถามอย่างหน้าตาเฉย คุณป้าจึงเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนลำบากใจ ก่อนจะเริ่มอธิบาย

-จริงๆ แล้วเมื่อกี้นี้มีแขกจากโซลมาพบคุณเจ้าสาวค่ะ

“แขกเหรอคะ”

-เพื่อนของคุณชายน่ะค่ะ ดูเหมือนว่าคุณชายคงจะเป็นห่วงเลยขอให้เพื่อนขับรถมาหาคุณเจ้าสาวที่นี่ เห็นบอกว่ารู้จักกับคุณเจ้าสาวดีด้วยนะคะ…

“เขาก็จริงๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นห่วงแค่ไหนก็เถอะ ขอโทษ…”

ฉันปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไปแล้วแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ

เท่าที่ฉันรู้ ตอนนี้สามีของฉันคงกำลังใช้เวลาหวานซึ้งถึงขีดสุดกับผู้หญิงคนนั้นอยู่แน่นอน อย่าว่าแต่ความรู้สึกดีเลย ฉันรู้ดีว่าเขาไม่ใจดีพอจะใส่ใจฉันคนที่เขาไม่สนใจหรอก

บางทีพัคอินฮยอก คงจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองมากกว่า

ช่วงเวลาที่ฉันนั่งรอเก้ออยู่ในสถานที่นัดดูตัวกับสามีครั้งแรก เขาก็นั่งลงข้างๆ ฉันอย่างหน้าด้าน แถมยังตักเตือนว่าให้ล้มเลิกความคิดเพราะสามีฉันมีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว

หลังจากครั้งนั้น ทุกครั้งที่ฉันไปเสียเที่ยวเสียเวลานัดเจอกับสามี เขาก็มักจะออกมาเป็นตัวแทนแล้วทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียทุกครั้ง ฉันไม่ควรต้องมาเจอหน้าอีกฝ่ายบ่อยครั้งกว่าสามีจนกระทั่งถึงงานแต่งงานไม่ใช่หรือไง

แล้วมันก็ต้องมีกาลเทศะด้วยสิ ไม่ใช่มาถึงสถานที่ฮันนีมูนแบบนี้!

-ยังไงดี ให้เขาเข้ามาข้างในเลยไหมคะ

“ค่ะ ช่วยบอกเขาหน่อยนะคะ ว่าให้รออยู่ชั้นหนึ่ง”

ถ้าทำได้ฉันก็อยากจะไล่ให้เขากลับไปอย่างใจร้ายใจดำเหมือนกัน แต่เพราะมีสายตาของคุณป้ากับคุณลุงคนดูแลอยู่ ฉันจึงต้องฝืนให้ตัวเองเอ่ยยินยอมแต่โดยดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด