1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ 2-2 การมาเยือนของแขกไม่ได้รับเชิญ

Now you are reading 1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ Chapter 2-2 การมาเยือนของแขกไม่ได้รับเชิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

หากจะบอกว่าการดูละครโทรทัศน์แบบนี้ไม่เข้ากับอินฮยอกแล้ว กับผู้ชายที่ชอบทำหน้าตาไร้ความรู้สึกและบึ้งตึงเนี่ยกลับยิ่งไม่เข้าท่ากว่า ไม่รู้ทำไมพอวาดภาพนั้นขึ้นมาในหัว ฉันเองก็ทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาเหมือนกัน หลังจากหัวเราะคิกคักอยู่พักหนึ่ง อีกฝ่ายก็หยุดหัวเราะตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้และมองมาทางฉันอย่างเปิดเผย

“ทำไมมองแบบนั้นล่ะคะ”

“รู้ไหมครับว่าคุณหัวเราะเป็นครั้งแรกของวันนี้เลย หลังจากเจอผมน่ะ”

“งั้นเหรอคะ”

“ครับ”

“ถ้างั้นก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ”

พอฉันรีบหุบยิ้มลง เขาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางพูดขึ้น

“รู้อะไรไหมครับ ว่าการที่จะได้เห็นคุณยอนจินหัวเราะเนี่ย ยากพอๆ กับเห็นทงอูหัวเราะเลยนะครับ ไม่สิ กลับกลายเป็นว่าภาพคุณยอนจินหัวเราะยังเห็นได้ยากกว่าอีก”

“ก็ฉันไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไร จนต้องนั่งหัวเราะข้างๆ คุณอินฮยอกนี่คะ”

อีกฝ่ายจึงพูดต่อคำตอบของฉัน

“ถึงจะหัวเราะ แต่ก็ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่มาจากความรู้สึกจริงๆ สินะครับ”

ฉันพูดอะไรไม่ออกเพราะคำพูดของเขา แต่ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกคาใจอะไรสิ เพราะคนอื่นๆ ก็มีวิธีการวางตัวด้วยการยิ้มอย่างหลอกลวงเหมือนกัน

แม้จะคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ง่ายๆ คำพูดของเขาเหมือนมองทะลุเข้าไปภายในจิตใจของฉันตั้งแต่เมื่อครู่นี้ มันปักติดอยู่ราวกับหนามไม่ยอมหายไปไหน ราวกับบอกให้รู้ถึงการมีอยู่แล้วยั่วยุอีกด้านหนึ่งที่อ่อนแอ

* * *

“ละครจบแล้ว เพราะฉะนั้นกลับไปได้แล้วค่ะ”

“ให้ตายเถอะ เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

อินฮยอกบิดขี้เกียจแล้วดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็พูดขึ้นเหมือนตกใจ

ฉันมองเขาที่ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอก่อนจะทำสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมา

“อะไรอีกคะ”

“ดึกมากแล้วนะ…”

ไม่ใช่ใช่ไหม ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็มีผู้หญิงอยู่คนเดียวนะ ไม่ว่ายังไง…

“ช่วยหาห้องสักห้องให้หน่อยได้ไหมครับ”

“คะ? รู้ไหมคะว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”

“แน่นอนสิครับ”

“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว คุณยังจะมาบอกว่าขอนอนที่นี่แล้วค่อยกลับอีกเหรอคะ โทษนะคะ ไม่รู้ว่าคุณลืมไปแล้วหรือเปล่า แต่อย่างแรกเลยคือฉันกำลังอยู่ในช่วงฮันนีมูน”

“ยังไงดี ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณยอนจินไม่มีทางมีซัมติงอะไรอยู่แล้ว คิดซะว่ามีบอดี้การ์ดอยู่ด้วยหนึ่งคนสิครับ ไม่ได้ใช้ห้องเดียวกันอยู่แล้ว คิดว่าเป็นโรงแรมก็ได้ครับ”

“ถึงคุณจะคิดแบบนั้น แต่ก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่ามันคือการฝืนใจฉันน่ะ”

ฉันพูดโดยมีความหมายเป็นนัยว่าถ้ามีจิตสำนึกก็บังคับใจตัวเองซะ แต่เขากลับทำสีหน้าเหมือนบอกว่าถึงจะฝืนใจก็ไม่สน

“แล้วพรุ่งนี้จะออกไปทำงานยังไงล่ะคะ!”

“ไม่มีปัญหาครับ ยังไงก็ลาป่วยได้อยู่แล้ว”

“…”

“ถ้าผมกลับไปอาจจะเกิดอุบัติเหตุก็ได้นะครับ สติเลือนรางแบบนี้ ผมมั่นใจเลยว่าทันทีที่จับพวงมาลัยต้องหลับในแน่ๆ เลยครับ”

เฮ้อ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดแบบโอ้อวดเลยไม่ใช่หรือไง พอฉันขมวดคิ้วด้วยความเหนื่อยหน่าย อีกฝ่ายก็พูดขึ้นเบาๆ

“ถึงเป็นแบบนั้นก็ควรจะกลับไปเหรอครับ”

“คือ…”

พัคอินฮยอกสร้างสถานการณ์ทำให้ฉันกลายเป็นคนใจดำ ถ้าหากไล่ให้เขากลับไป แถมยังบังคับให้ฉันเลือกอีก

ปล่อยไปแบบนี้ฉันเองก็น่าจะนอนไม่หลับและเอาแต่กังวลถึงเขาทั้งคืนแน่ๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบเรื่องแบบนั้นมากกว่า ฉันจึงพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้

“เข้าใจแล้วค่ะ แค่วันนี้นะคะ”

ฉันพูดต่อเพราะเห็นความพออกพอใจปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของอินฮยอก

“แต่ห้ามนอนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนะคะ”

“ครับ?”

“มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้แล้วจะพูดอะไรกันบ้าง ถึงจะไม่ได้สงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรา แต่ก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมนะคะ”

“ถ้างั้น…”

“ก็อาจจะรบกวนบ้านของคุณลุงคนดูแล หรือไม่ก็นอนบนรถก็ได้ แต่ช่วงเวลาประมาณนี้ก็น่าจะถึงเวลาเข้านอนของคุณลุงแล้ว เพราะฉะนั้นฉันแนะนำแบบหลังนะคะ”

ฉันออกปากไล่อีกฝ่ายกลายๆ ในประโยคนั้น

“คุณต้องอาบน้ำ เพราะฉะนั้นฉันจะอนุญาตเรื่องใช้ห้องน้ำแล้วกันค่ะ พูดเอาไว้ก่อน แต่อย่าคิดแอบเข้ามาเชียวนะคะ”

จากนั้นก็มองเขาที่กำลังทำสีหน้าสับสนพลางกลืนเสียงหัวเราะอันสนุกสนานลงไป

ฉันอาบน้ำในห้องน้ำชั้นสองแล้วออกมาเป่าผมที่ห้องนอน ก่อนจะเดินไปตรงหน้าต่างเพราะได้ยินเสียงปิดประตูบ้านตรงชั้นล่างพลางก้มมองออกไปข้างนอก

เห็นพัคอินฮยอกเดินไปที่รถตัวเองจากไฟเซ็นเซอร์อัตโนมัติตรงประตูบ้าน และไฟก็ดับลง

จนกระทั่งเสียงเปิดและปิดประตูรถดังปังขึ้น ขณะเดียวกันฉันก็เลิกสนใจแล้วเดินไปทางเตียงนอน

* * *

“คุณพระคุณเจ้า รู้ไหมว่าป้าตกใจแค่ไหน”

ฉันเพียงแค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มลำบากใจให้คุณป้าที่ตกใจสุดขีดแล้วพูดพร้อมกับเตรียมอาหารเช้าไปด้วยเท่านั้น

“ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเพื่อนของคุณชายนอนอยู่ในรถน่ะสิคะ ถึงป้าจะโล่งใจที่เขาไม่ได้นอนอยู่ในบ้านหลังนี้ก็เถอะค่ะ…”

“ถ้าปล่อยให้คนเหนื่อยๆ กลับไปแบบนั้น หนูว่ามันเป็นวิธีที่ไม่ค่อยเข้าท่าน่ะค่ะ ในสายตาคนอื่นคงคิดว่าไม่ดี แต่ถ้าให้เขาขับรถกลับในสภาพนั้น แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็เรื่องใหญ่เลยใช่ไหมล่ะคะ”

“แน่นอนสิคะ ถึงไม่เป็นแบบนั้น ป้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี เพราะตอนทานมือเย็นก็ค่ำมากแล้ว”

“เขาเป็นเพื่อนของคุณทงอู แล้วก็ไว้ใจได้ด้วย ตอนแรกหนูตั้งใจจะให้เขาใช้ห้องชั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การนอนในบ้านหลังเดียวกันก็อาจจะเป็นต้นเหตุของการเข้าใจผิดได้ หนูก็เลยบอกปฏิเสธไปค่ะ”

“เฮ้อ เข้าใจผิดอะไรกันคะ ดูจากตอนที่ตามคุณชายมาสมัยก่อนแล้ว บุคลิกลักษณะก็โอเคอยู่นะคะ กิริยาท่าทางก็เรียบร้อยอ่อนน้อม เชื่อถือได้ทีเดียวเลยค่ะ ป้าใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ก็มีเพียงดวงตาที่ใช้มองผู้คนเท่านั้น ดูๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณเจ้าสาวหรือคุณคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจไม่รู้ผิดชอบชั่วดีหรอกค่ะ”

คุณป้าโบกไม้โบกมือแล้วพูดขึ้น

“คุณพัคอินฮยอกกลับไปแล้วเพราะเรื่องบริษัทเหรอคะ อย่างน้อยน่าจะทานข้าวก่อนแล้วค่อยไปสิ”

ฉันพูดขึ้นโดยไม่มีความเสียดายแฝงอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย แต่คำตอบที่ได้ยินกลับอยู่ในจุดที่คาดไม่ถึง

“โชคดีที่ยังไม่ไปนะครับ เกือบทำให้คุณยอนจินเจ็บช้ำน้ำใจไปซะแล้วสิ”

จังหวะที่เสียงของเขาดังขึ้น ฉันลืมกระทั่งเก็บสีหน้าของตัวเองแล้วทำหน้ายู่พรวดพราดขึ้นมาทันที พอรู้สึกตัวว่าเผลอไปก็เลยคลายหัวคิ้วออก คุณป้าจึงไม่ทันเห็น

“ยังอยู่เหรอคะ ฉันไม่เห็นก็เลยคิดว่ากลับไปแล้วค่ะ”

“แค่ไปอาบน้ำมาเดี๋ยวเดียวเองครับ”

“ว่าแต่เสื้อผ้า…”

“คุณป้าบอกว่ามีเสื้อผ้าที่เจ้าทงอูทิ้งเอาไว้อยู่ ก็เลยเตรียมไว้ให้น่ะ”

“อ้อ งั้นเหรอคะ”

อินฮยอกนั่งลงตรงหน้าฉันอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันรู้สึกไม่พอใจเขาเลยใช้เล็บนิ้วชี้เคาะโต๊ะดังตึกๆ

“ทานข้าวเช้าเสร็จแล้วจะกลับไปโซลเลยหรือเปล่าคะ”

“อืม ไม่รู้สิครับ ทงอูก็ไม่อยู่ด้วย คุณยอนจินคิดจะทำอะไรบ้างล่ะครับ”

ฉันกำลังคิดว่าเขาเปลี่ยนเรื่องพูดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ

“…ฉันไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้นานแล้ว เลยตั้งใจว่าจะพักผ่อนสักหน่อยแล้วค่อยกลับค่ะ ถึงจะอยู่คนเดียวก็เถอะ”

“แค่ที่บ้านพักตากอากาศงั้นเหรอครับ”

“คิดไว้ว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้สิครับ ใกล้ๆ นี้มีทะเลด้วย ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่นหลายๆ ที่ก็น่าเสียดายออกนะครับ”

“นั่นก็จริงค่ะ แต่ว่า…”

“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เดี๋ยวผมจะพาคุณยอนจินไปเอง”

“อะไรนะคะ”

“สาเหตุเป็นเพราะทงอู เพื่อนอย่างผมก็ต้องชดใช้ให้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็นต้อง…”

ฉันอยากพูดว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะฉะนั้นแค่กลับๆ ไปตอนนี้เลยเถอะค่ะ แต่คุณป้าที่กำลังตักซุปอยู่กลับทำสีหน้ายินดีออกมาก่อนฉันเสียอีก

“ตายจริง นั่นน่ะดีมากเลยนะคะ จริงๆ ถ้าจะไปไหน สามีป้าก็ช่วยขับรถพาไปได้ แต่ยังไงคุณเจ้าสาวก็คงจะไม่สบายใจน่ะค่ะ ถ้าเป็นคนรู้จักกัน คุณเจ้าสาวก็น่าจะเพลิดเพลินสบายใจกว่าไม่ใช่เหรอคะ นานมากแล้วที่ไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ทำแบบที่คุณเขาบอกเถอะค่ะ”

“แต่ว่า…”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่เข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสองคน แล้วก็ไม่ได้คิดจะเล่าให้ท่านประธานฟังด้วย เพราะฉะนั้นไปเที่ยวเล่นให้สนุกแล้วค่อยกลับมาเถอะค่ะ คนหนุ่มสาวก็ต้องไปเที่ยวเล่นที่นู่นที่นี่ให้สนุกสิ ถ้าเอาแต่อยู่ที่บ้านพักตากอากาศเงียบๆ นี้คนเดียวล่ะก็ น่าเบื่อแย่”

แม้กระทั่งคุณป้ายังเห็นดีเห็นชอบ อินฮยอกจึงยิ้มอย่างลำพองใจพลางพูดขึ้น

“เอาล่ะ คุณป้าก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว ทานข้าวเสร็จแล้วออกไปด้วยกันเลยไหมครับ”

“แล้วที่บริษัทไม่เป็นไรเหรอคะ”

รู้ว่าเป็นคำพูดไร้ประโยชน์ แต่ฉันก็พูดพึมพำออกมาด้วยใจจริงที่รู้สึกจนตรอก

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”

หลังจากมองอินฮยอกอมยิ้ม ฉันก็แอบถอนหายใจไม่ให้คนอื่นเห็น

* * *

นั่งรถมาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มองเห็นทะเล เมื่อแตะเท้าจุ่มลงไปบนชายหาด ทรายก็พากันไหลเข้ามาในรองเท้าแตะจนรู้สึกระคายเคืองขึ้นมา

ฉันเดินๆ หยุดๆ ก่อนจะถอดรองเท้าออกแล้วเริ่มเดินด้วยเท้าเปล่า

“โอ๊ะ ระวังนะครับ เดี๋ยวจะเจ็บเท้าเอา”

“คะ?”

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไปๆ มาๆ กันเยอะ ในทรายอาจจะมีเศษแก้วปนอยู่ด้วยก็ได้ ถึงจะไม่สะดวก แต่สวมรองเท้าไว้น่าจะดีกว่านะครับ”

“ฉันไม่เห็นอะไรที่เหมือนเศษแก้วเลย…”

ระหว่างสังเกตผืนทรายใต้เท้า ฉันก็ปล่อยให้ท้ายประโยคเลือนหายไป

เพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเผื่อมันมีล่ะก็เลยรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงค่อยๆ วางรองเท้าแตะที่ถือไว้ลงแล้วสวมเข้าไปใหม่

ใช่แล้ว ถ้าดื้อรั้นไม่ยอมฟังแล้วบาดเจ็บขึ้นมา ก็มีแต่ฉันนี่แหละที่เจ็บตัว

พอเห็นอีกฝ่ายมองการกระทำของฉันแล้วหัวเราะ แต่ฉันก็เลยพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเมินเขา

ทะเลงั้นเหรอ… คิดๆ ดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลย หลังจากเคยมาตอนทัศนศึกษาสมัยเรียนหรือเปล่านะ

ตอนเด็กๆ ฉันรบเร้าบอกว่าอยากลองไปทะเลอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากแม่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิดเรื่องนั้นอีกเลย

“สดชื่นจัง”

ฉันเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของอินฮยอกที่บิดขี้เกียจแล้วเพลิดเพลินไปกับสายลม

เกลียวคลื่นซัดเข้ามาจนก่อนถึงปลายเท้าแล้วถูกดูดกลับไปในทะเลเหมือนจะโดนก็ไม่โดน ฉันมองท้องทะเลที่แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่แล้วก็เผลออุทานขึ้นมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

“อยากลองมาด้วยกันแบบนี้สักครั้ง…”

“…”

“ถึงเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ก็สำเร็จจนได้นะครับ”

คำพูดที่โพล่งขึ้นมาอย่างกะทันหันแต่ฉันก็เข้าใจคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี หลังจากมองออกไปไกลๆ ด้วยแววตาโหยหา อินฮยอกก็หันมาสบตาฉัน แต่ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วหลบตาเขา

“คาใจมาตลอดเลยครับ ว่าเด็กคนนั้นจะใช้ชีวิตยังไง หลังจากเหลือตัวคนเดียว ไม่มีที่ให้พึ่งพิง…”

“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรหรอกค่ะ”

“…”

“ขอโทษนะคะ คุณพัคอินฮยอก ฉันยังไม่เคยพูดเหรอคะ ว่าคุณคิดไปเอง ฉันบอกว่าเพิ่งเคยเจอคุณวันนั้นเป็นวันแรกไงคะ เพราะฉะนั้นเลิกแกล้งทำเป็นรู้จักฉัน เลิกเข้าใจผิดเถอะค่ะ”

“…นั่นสินะครับ”

ฉันมองรอยยิ้มขมขื่นของอีกคน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย

“ฉันจะให้คุณอินฮยอกทำตามใจตัวเองถึงแค่ตรงนี้เท่านั้นค่ะ ถ้าคุณยอมกลับไปตอนนี้ก็จะดีมากเลย”

“ผมจะไปส่งคุณยอนจินที่บ้านพักตากอากาศก่อนครับ”

พอฉันขมวดคิ้ว เขาก็พูดต่อ

“เพราะผมแค่อยากลองมาทะเลกับคุณดูเท่านั้น…ยังไงก็ต้องกลับไปอยู่แล้วสิครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด