1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ 4-4 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ

Now you are reading 1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ Chapter 4-4 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ทำไมถึงไม่เชื่อฉันแล้วทำเรื่องวุ่นวายแบบนี้ล่ะคะ”

ฉันพูดขึ้นทันทีที่ขณะเข้าลิฟต์พร้อมอีกฝ่าย หลังจากออกมาจากห้องประธาน

“ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉันก็ตาม แต่ถ้าช่วยเข้าใจว่าเรื่องในครั้งนี้อาจทำให้เธอคนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็คงจะดีนะคะ”

“เมื่อกี้ทำไมคุณพูดเหมือนยั่วโมโหเซบินแบบนั้นล่ะ เหมือนคุณเข้าข้างคุณพ่อแล้วเยาะเย้ยเซบินเลยนะ”

“แล้วทำไม่ได้เหรอคะ คุณคงไม่ได้คิดจะตำหนิฉันหรอกใช่ไหม”

คุณทนแม้กระทั่งความดื้อดึงอันน้อยนิดของฉันไม่ได้ แถมยังจะมาตำหนิกันอีก ทั้งที่คุณเองก็กำลังทำผิดต่อฉันเหมือนกัน นี่มันไม่โกงกันไปหน่อยเหรอคะ

เขาคงเข้าใจจากแววตาของฉันจึงไม่ได้พูดอะไรต่อเป็นพิเศษ

“เอาจริงๆ ฉันพูดไปแล้วว่าอยากใช้ชีวิตสงบๆ แล้วฉันเองก็ไม่มีหน้าที่ต้องคอยหนุนหลังพวกคุณนะคะ มันเป็นปัญหาที่พวกคุณต้องคอยระวังกันเองไม่ใช่เหรอ ในมุมมองของฉัน คุณเอาตัวรอดไม่ได้เอาซะเลย”

หลังจากมองเลขแสดงหมายเลขชั้นที่ลิฟต์กำลังจะลงไปซึ่งมันใกล้ถึงชั้นที่เขาทำงานแล้ว ฉันเลยกดเลขชั้นนั้นก่อน

“ไม่จำเป็นต้องไปส่งถึงชั้นหนึ่งหรอกค่ะ คุณไปทำงานเถอะ”

เมื่อลิฟต์หยุดแล้วเปิดออก ฉันก็มองสามีที่มีท่าทางลังเลก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร

เขาเดินออกจากลิฟต์แล้วหมุนตัวหันมามองฉัน ฉันจึงพูดขึ้นก่อนประตูลิฟต์จะปิดลง

“ถ้าวันนี้เสร็จงาน ช่วยตรงกลับบ้านเลยนะคะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ”

วันนี้ฉันคิดจะบอกแผนการของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังสักเล็กน้อย อย่างน้อยเขาก็น่าจะเข้าใจว่าคำพูดที่ฉันเคยพูดไว้ว่าจะไม่ขัดขวางพวกเขา มันเป็นความจริง

* * *

เมื่อคาดคะเนว่าใกล้ถึงเวลาเลิกงานของสามีแล้ว ฉันก็ได้แต่กลุ้มใจว่าจะเข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อม หรือว่าจะทานข้าวพูดคุยกันก่อนแล้วค่อยหยิบยกหัวข้อเรื่องออกมาพูดอย่างเป็นธรรมชาติดี จากนั้นก็หยุดคิดแล้วหัวเราะออกมา

‘จะยังไงก็ได้แหละ อ๊ะ! ว่าแต่เขาจะทานข้าวก่อนกลับมาหรือเปล่านะ’

ฉันกังวลกระทั่งว่าจะทำหรือไม่ทำบทบาทของภรรยาดี ก่อนจะกดปุ่มลัดของโทรศัพท์เพื่อโทรออก หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นไม่นานอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์

-อืม

“ฉันเองค่ะ จะโทรมาถามว่าวันนี้คุณจะกลับบ้านตอนไหน พอดีว่าฉันกำลังจะทำมื้อเย็น ถ้าคุณใกล้จะกลับแล้ว ฉันจะได้ทำเผื่อคุณด้วย จะให้ทำยังไงดีคะ”

-เดี๋ยวผมจะกลับไปทาน คุณทำเผื่อให้ด้วยแล้วกัน

“ค่ะ เข้าใจแล้ว กลับบ้านดีๆ นะคะ”

นี่มันเหมือนกับคู่สามีภรรยาทั่วไปมากเลยไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนฉันก็เคยใฝ่ฝันถึงการพูดคุยแสนธรรมดาแบบนี้เหมือนกัน

การทำอาหารก็ด้วย แม่เลี้ยงบอกว่าถ้าเรียนรู้ไว้ก็จะดี ฉันก็เลยตัดสินใจไปเรียนทำอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยทำอาหารให้ครอบครัวแล้วทานด้วยกันเลยสักครั้งเลย

ก็เคยคาดหวังไว้อย่างเลือนรางว่าถ้าสักวันหนึ่งแต่งงานไป ฉันก็จะได้ทำหน้าที่เตรียมอาหารสินะ แต่เมื่อได้ทำขึ้นมาจริงๆ มากกว่าความคิดว่าจะได้ทานอาหารที่ตัวเองเป็นคนทำร่วมกับคนอื่น ฉันกลับอารมณ์ดีจนรู้สึกจั๊กจี๊หัวใจ

แต่ฉันไม่มีทางมองว่ามันเป็นเรื่องสวยงามอยู่แล้วกับการที่เขามีผู้หญิงคนอื่น ถึงบอกว่าจะตัดใจ แต่หัวใจของฉันก็อ่อนแอลงไม่รู้ตัว บางทีอาจจะเพราะอยากลองสัมผัสบรรยากาศอบอุ่นและไม่รีบเร่งแบบนั้นบ้างดูสักครั้ง

***

ฉันตกอยู่ในห้วงอารมณ์ประหลาดขณะมองเขาทานอาหารที่ฉันเตรียมให้ไว้หลังจากกลับถึงบ้านได้ไม่นาน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าฉันจะเตรียมข้าวไว้ให้ยังไง เขาก็จะไม่ทาน แต่ตอนนี้ถึงเขาจะอึดอัดเพราะความเข้าใจผิดในตัวฉัน แต่ก็ไม่หลีกหนี ยังกลับมาเผชิญหน้ากับฉันและทานข้าวพร้อมกันด้วยซ้ำ

เพียงเพราะฉันเปลี่ยน ตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้อย่างง่ายดายแบบนี้แค่จากมุมมองที่แตกต่างกันงั้นเหรอ

ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ก็แค่คิดว่าถ้าใช้ชีวิตอย่างสบายใจแล้วยอมรับมันได้ ก็อาจจะมีความสุขมากขึ้นอีกหน่อย แต่ไม่นานก็ต้องส่ายหน้า

มีโอกาสได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะทำให้มันเปลี่ยนไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพราะยังไงมันก็เป็นโอกาสที่มีเพื่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว

“รอแป๊บนึงนะคะ ฉันมีอะไรจะให้ดู”

หลังจากจัดการเก็บถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินมาพูดสั้นๆ กับสามีที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนจะเข้าห้องตัวเองไปเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดเพื่อหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนออกมา

เขาคงสงสัยว่าฉันถืออะไรออกมาด้วย สายตาของเขาจึงเบนมาที่ซองเอกสาร ฉันเลยหัวเราะสั้นๆ พร้อมกับพอวางซองเอกสารลงบนโต๊ะแล้วดันไปทางสามี

“นี่อะไร…”

เมื่อเปิดซองแล้วหยิบเอาเอกสารด้านในออกมา เขาก็หยุดพูดไป อีกฝ่ายมองกระดาษที่เอาออกมาแค่หนึ่งในสามส่วนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็มองหน้าฉัน

“คุณพ่อให้มาก่อนพิธีแต่งงานน่ะค่ะ ท่านบอกว่าถ้าให้คุณ คุณก็น่าจะคิดฟุ้งซ่าน ท่านเลยมอบให้ฉันดูแลแทนค่ะ”

“…”

ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนฉันจะต้องให้ตั้งแต่วันกลับมาจากฮันนีมูนก็เถอะ…

“ตอนแรกฉันไม่คิดจะให้คุณหรอกนะคะ”

“อะไรนะ”

“ฉันลังเลมากว่าจะพูดหรือไม่พูดดี คิดว่าจะบอกหลังจากนี้อีกหน่อย แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ คุณก็จะไม่เชื่อฉันนี่คะ”

“…”

เมื่อสามีส่งเสียงในลำคอเหมือนพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อยู่ ฉันจึงเริ่มอธิบายต่อเพื่อช่วยให้เขาทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

“มันเป็นความจริงค่ะ ที่ตอนแรกฉันหลงเสน่ห์คุณ เพราะไหนๆ ก็ต้องถูกบังคับแต่งงานแล้ว ถ้าได้แต่งกับผู้ชายมีความสามารถ แถมหน้าตาดี มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอคะ ฉันรู้ค่ะว่าตัวเองประหลาดที่ไม่ยอมปฏิเสธทั้งที่คุณก็บอกว่ามีคนรักอยู่แล้ว แต่นอกเหนือจากความประทับใจในตัวคุณ ฉันเองก็ต้องการตอบแทนครอบครัวเหมือนกันค่ะ”

ฉันเล่าเรื่องราวที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

การตอบแทนครอบครัวก็เหมือนกันเมื่อก่อน ทว่าความหมายที่มีกลับแตกต่างไปจากเดิม ก่อนหน้านี้ฉันอยากเป็นที่ยอมรับและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดี ถ้าหากนี่เป็นความต้องการของพ่อ แต่ในครั้งนี้มันมีความหมายอันยิ่งใหญ่ว่าฉันต้องการตอบแทนครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเป็นอิสระ

“…”

“เพราะฉะนั้นฉันเลยคิดว่า ยังไงฮันนีมูนคืนแรก ถ้ามีอะไรกับคุณ ก็อาจจะได้ใจจากคุณกลับมาบ้าง ก็เลยทำแบบนั้นกับคุณไปน่ะค่ะ แต่ว่า…”

พอกำลังจะนึกถึงเรื่องในวันนั้นสีหน้าของฉันก็ซีดเซียวลงในพริบตา

ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีอะไรเลย ดูเหมือนว่าเขาเองก็รู้ว่าการกระทำของตัวเองในครั้งนั้นเป็นเรื่องผิดพลาด

“ฉันเลยรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ แต่คุณก็ทำลายจิตใจที่อยากใช้ชีวิตด้วยความรักของฉันทิ้งไปแล้ว ถึงจะบอกว่าไม่รักกันสักแค่ไหน แต่ทำกับฉันแบบนั้น มันก็เกินไปนะคะ ฉันกลัว แล้วก็เจ็บปวดมากจนคิดอะไรไม่ออก แต่ก็จำชัดเจนเลยว่าตลอดเวลาที่กอดฉัน สีหน้าของคุณมันเป็นยังไง”

“…”

“คุณมองอย่างกับฉันเป็นสิ่งโสโครกเลยไม่ใช่เหรอคะ แค่สัมผัสตัวฉันก็ทำสีหน้าขยะแขยงแล้วนี่นา”

ตลอดชีวิตแต่งงานครั้งก่อน เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทุกครั้งที่ฉันต้องการมีความสัมพันธ์ทางกาย เขาก็จะขมวดคิ้ว เป็นการร่วมหลับนอนที่ไร้ความเร่าร้อน ไร้ความรู้สึกราวกับจิตใจของตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนี้เลย

มาถึงตอนนี้แล้ว พอลองย้อนกลับไปคิด มันก็เป็นเพียงความทรงจำอันน่าขยะแขยงจนได้แต่คิดว่าเมื่อก่อนตัวเองทนมาได้ยังไง

“หลังจากถูกทำแบบนั้น ฉันก็ก็หมดแรงแล้วค่ะ เพราะรู้ว่าคงใช้ชีวิตกับคุณไปทั้งชีวิตไม่ได้ ตอนที่พวกเราไปทักทายครอบครัวฉัน พี่ชายฉันก็บอกว่าเดิมที่โปรเจกต์ครั้งนี้ ถึงฉันจะไม่แต่งงาน มันก็ต้องดำเนินการต่อไปอยู่ดี แค่มันทำให้อนาคตกับความสัมพันธ์ทางความร่วมมือของทั้งสองบริษัทดีขึ้นเฉยๆ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องดึงดันเสียสละก็ได้ พี่บอกว่าถ้าฉันต้องการ ยังไงก็หย่าไปเลย”

“ถ้างั้น…”

“แต่ห้าหกเดือนนี้…ถ้าเราหย่ากัน ดูเหมือนมันจะเกิดความวุ่นวายจนงานที่ดำเนินการอยู่พังหมดน่ะค่ะ เลยตั้งใจว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปก่อนแล้วค่อยลองแก้ปัญหาใหม่ อย่างน้อยถ้าเป็นตอนนั้น งานก็น่าจะคืบหน้าระดับหนึ่งแล้ว พวกผู้ใหญ่เองก็คงไม่สามารถพังมันลงตามอำเภอใจได้เหมือนกันค่ะ”

“เฮ้อ…”

“แต่รู้ไหมคะ หลังจากคุณออกจากบ้านไปแบบนั้น ฉันก็สับสนไปเหมือนกันว่าคุณเข้าใจผิดขนาดนั้นเลยเหรอ”

เขาดูเหมือนทำอะไรไม่ถูกพลางส่งเสียงในลำคอด้วยความลังเล ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น

“ผมขอโทษ ผมเข้าใจคุณผิดไป”

“มันเป็นสถานการณ์ที่คิดแบบนั้นได้อยู่แล้วนี่ค่ะ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าวันนั้นคุณจะไม่กลับมาจริงๆ”

“ผมยอบรับว่าครั้งนี้ตัวเองรีบร้อนเกินไป”

ฉันเลยพูดต่อเพื่อทำให้ทุกอย่างชัดเจนกว่านี้

“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากพูดวันนี้หรอกนะคะ”

“ถ้างั้น…”

“ฉันกังวลกับคำพูดของคุณพ่อที่บอกว่าจะคอยจับตาดูพวกเราค่ะ ไม่แน่ท่านอาจจะมีวิธีติดตามสถานการณ์ของคุณแบบทันทีก็ได้นะคะ”

“หรือว่าพ่อจะทำถึงขนาดนั้นเลย…”

“มีทั้งกล้องวงจรปิด ทั้งวิธีอื่นอีกหลากหลายรูปแบบเลยค่ะ แค่มีเงินเท่านั้น”

ฉันพูดพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็นโดยไม่รู้ตัว แต่พอเขามองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันจึงโบกไม้โบกมือแล้วพูดต่อ

“ที่ฉันเอาเอกสารนั้นให้คุณดู แล้วก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง ก็เพื่อยื่นข้อเสนอกับคุณค่ะ”

“ข้อเสนอเหรอ”

“อย่างแรก ห้ามเล่าเรื่องที่พวกเราคุยกันตอนนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด แม้แต่ผู้หญิงที่ชื่อเซบิน ยิ่งคนรู้น้อยก็ยิ่งดีค่ะ เท่าที่ฉันได้ยินมา คุณเซบินดูเหมือนจะเล่าทุกอย่างให้เพื่อนตัวเองฟังโดยไม่ปิดบังอะไรเลยค่ะ ถ้าเกิดตื่นเต้นแล้วหลุดเล่าออกไป ทุกอย่างก็อาจจะผิดพลาดก็ได้”

“พอเป็นเพื่อนสนิท บางครั้งก็คงหลุดปากสินะ”

ฉันมองเขาที่พยักหน้ายอมรับก่อนจะพูดเรื่องถัดไป

“อย่างที่สองคือห้ามค้างนอกบ้าน ถึงจะไม่พูด แต่ฉันคิดว่าคุณคงรู้เหตุผลจากเรื่องในวันนี้นะคะ การเจอกันที่บริษัทก็เหมือนกัน ในบริษัทมีสายตาของคนอื่นอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นช่วยบังคับใจตัวเองเท่าที่จะทำได้ด้วยนะคะ ส่วนเวลาอื่นนอกจากนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณไม่ค้างนอกบ้าน ถึงกลับมาช้าหน่อย ก็ไม่เป็นไรเหมือนกันค่ะ”

“ได้ ข้อต่อไปล่ะ”

“อย่างที่สาม ถึงคุณสองคนจะใช้เวลาด้วยกันอยู่ แต่ต้องรับโทรศัพท์ของฉันค่ะ ถ้าหากมีเรื่องด่วนเกิดขึ้นภายในครอบครัว หรือคุณพ่อคุณแม่มาหาที่บ้านอย่างกะทันหัน ฉันก็คงจะต้องติดต่อไปหาคุณ แล้วก็…”

“พูดมาเลย อะไรต่อล่ะ”

“เรื่องที่ฉันพูดกับคุณเป็นเรื่องแรก ที่ขอให้คุณให้เกียรติฉัน เรื่องนั้นน่ะค่ะ ตามที่พูดไป ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างสบายใจในช่วงที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันค่ะ”

เขายิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้า เพราะมันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่เขากลับรักษาไม่ได้ทั้งที่เป็นเพียงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

“ถ้าทุกอย่างจบลงแล้ว ฉันก็อยากลองใช้ชีวิตเพื่อตัวเองดูบ้างค่ะ ส่วนคุณ ถึงจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ถ้าเกลี้ยกล่อมคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็คุณเซบินได้ คุณก็จะได้แต่งงานตามที่ต้องการไงคะ เป็นไงคะ เป็นข้อเสนอที่โอเคเลยไม่ใช่เหรอ”

ฉันยิ้มแล้วมองเขาเอาเอกสารใส่ซองพลางลูบๆ คลำๆ มัน หลังจากนั้นก็พูดต่อ

“อันนั้นคุณเอาไปเลยค่ะ”

“…”

“เป็นหลักประกันสนับสนุนความเชื่อใจระหว่างคุณกับฉันไงคะ ไม่น่าจะมีอะไรแน่นอนเท่าสิ่งนั้นแล้วล่ะมั้ง”

ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้และปล่อยเขาที่ยังคงไม่พูดอะไรและไม่ยอมละสายตาออกจากซองเอกสารจนถึงตอนนี้ เพราะอยากให้เวลาเขาได้เรียบเรียงความคิดของตัวเองคนเดียว

“จะเก็บไว้หรือจะฉีกทิ้งก็แล้วแต่คุณเลยค่ะ ยังไงถ้าเรื่องทุกอย่างจบลง ทะเบียนสมรสนั่นก็ไม่มีความหมายแล้วเหมือนกัน”

ฉันรู้สึกโล่งใจราวกับลบล้างภาระไปได้อย่างหนึ่ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด