1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ 4-3 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ

Now you are reading 1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ Chapter 4-3 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉัน ฉันก็จะพูดไว้อย่างหนึ่งนะคะ”

“…”

“ฉันไม่ห้ามเรื่องที่คุณสองคนคบหากัน แต่ช่วยห้ามใจไม่ให้ค้างคืนข้างนอก หรือแอบพบกันให้คนที่ทำงานเห็นสักระยะเถอะค่ะ”

ฉันพูดอย่างเฉียบขาด

“ทำไมล่ะ”

“บอกแล้วไงคะ ว่าฉันไม่อยากให้ครอบครัววุ่นวายน่ะค่ะ”

“โทษทีนะ แต่คงรับปากไม่ได้หรอก ส่วนเรื่องการวางตัวกับคุณ ผมจะทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าหากเซบินต้องการผม ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้เธอมาเป็นอันดับแรกเหมือนกัน”

“คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ไม่ได้โง่เขลา ไม่นานพวกท่านจะต้องจับได้แน่ๆ ค่ะ อย่าพูดว่าไม่สนใจนะคะ เพราะคนที่จะเดือดร้อนไม่ใช่คุณ แต่เป็นคุณเซบินต่างหากล่ะคะ”

“คุณ…”

“ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ ทำตามที่ฉันบอกแค่ปีนี้ ไม่สิ แค่ห้าหกเดือนก็พอแล้วค่ะ เรื่องแค่นั้นคุณได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

เขาจ้องมองฉันครู่หนึ่ง ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้น

“นี่คือวิธีการของคุณงั้นเหรอ”

“คะ?”

ดวงตาของฉันสั่นระริกเพราะคำพูดไม่คาดคิดของเขา ฉันทอดสายตามองคนเป็นสามี

“ทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นหวังดี แล้วหาทางใกล้ชิดผม บีบน้ำตากับคุณพ่อคุณแม่แล้วทำให้พวกท่านโกรธผม ท่านก็จะคอยหนุนหลังคุณ จากนั้นก็ค่อยทำให้ท่านประทับใจทีหลังไม่ใช่หรือไง”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ นั่นมันเรื่อง…”

ฉันมึนงงเพาะคำพูดที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่เมื่อคิดไตร่ตรองความหมายในหัว แล้วก็ต้องตกใจมาก ตอนนี้เขากำลังเข้าใจฉันผิด เขาแต่งเติมความคิดในใจของตัวเองว่าฉันเป็นผู้หญิงจิตใจคับแคบที่ตั้งใจจะไล่ผู้หญิงที่ชื่อว่าซูบินออกไปให้พ้นๆ แล้วครอบครองหัวใจของเขาแทน

“ห้าหกเดือนงั้นเหรอ ที่ผ่านมาคุณใช้พ่อกับแม่ผมเป็นข้ออ้างผูกมัดผมไว้ คงคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการงั้นสิ”

ฉันคาดไม่ถึงและไม่สามารถตอบโต้อะไรไปได้เลย เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ ในดวงตาของเขาก็แฝงไปด้วยความปรามาสแล้ว

“เมื่อกี้ผมบอกว่าในเมื่อไม่รู้จักคุณก็ตัดสินไม่ได้ใช่ไหม แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะรู้ขึ้นมาหน่อยแล้ว ว่าเชื่อใจผู้หญิงแบบคุณไม่ได้เลย”

เขาพูดก่อนจะหันหลังไปอย่างเย็นชา และในที่สุดคืนนั้นเขาก็ออกไปแล้วไม่กลับบ้านมาอีก

* * *

หลังจากแยกกันกับดาฮยอน ฉันก็กลับไปทางรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้

ดาฮยอนถามถึงความหมายของคำพูดอย่างมั่นใจของฉันอย่างไม่ท้อถอย แต่ฉันก็เปลี่ยนเรื่องพูดเลี่ยงจะตอบแทน

เห็นท่าทางตื่นเต้นจนตัวสั่นราวกับอยากรู้จะตายแล้วมันก็ตลกดี แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเรื่องที่สามารถบอกให้ดาฮยอนรู้ได้

ฉันพยักหน้าตามจังหวะเพลงที่เปิดขึ้นภายในรถที่จอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพราะติดไฟแดง ทว่าโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น

“ฮัลโหลค่ะ”

-ฉันเองนะ ลูกสะใภ้

“อ๋อค่ะ คุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

-ได้ข่าวว่าเมื่อวานทงอูไม่กลับบ้านเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ…

“เอ่อ…”

พอฉันทำอะไรไม่ถูกหลังคำถามแล้วปล่อยเงียบไป คุณแม่ก็จึ๊ปาก

-จึ๊ ทำไมมีเรื่องแบบนี้ถึงไม่ยอมบอกพวกเราล่ะจ๊ะ ถ้าพวกเราไม่รู้เอง หนูก็ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับอีกงั้นเหรอ”

“คือว่า คุณแม่คะ…”

-พ่อเขาโกรธมากเลยนะ ครั้งนี้ถึงหนูตั้งใจจะปกป้องเขาก็คงไม่มีประโยชน์หรอก

“หนูไม่ได้ตั้งใจจะปกป้องเขาหรอกค่ะ แค่ไม่รู้ว่าจะต้องบอกอะไรจริงๆ ทำไมคุณพ่อถึงโกรธล่ะคะ แล้วทำไมถึงรู้ว่าคุณทงอูค้างนอกบ้าน…”

-ฉันไม่รู้หรอกจ้ะว่าพ่อเขาทำอะไรบ้าง แต่ถ้าดูตามนิสัยของตาคนนั้นแล้ว ก็คงจะส่งคนตามสืบลูกชายไว้น่ะสิ แต่เพราะอย่างนั้นพวกเราถึงได้รู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ

ดูเหมือนคุณแม่คงคิดว่าฉันน่าจะอารมณ์ไม่ดี ท่านก็เลยพูดอ้อมแอ้ม แต่ฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะ

ตอนวันแรกๆ ของฮันนีมูนในอดีต ครอบครัวสามีติดสินบนคนดูแลของเรือนหอไว้ให้คอยตามสืบว่าสามีกลับบ้านเป็นประจำและซื่อสัตย์กับชีวิตแต่งงานหรือเปล่า ถ้ามีวันที่เขาค้างนอกบ้านเพราะเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับบริษัท ท่านก็จะโกรธมากแล้วก็จะเรียกตัวเขามาต่อว่าด้วยความโมโห เพราะอย่างนั้นฉันจึงบอกพวกเขาทุกอย่าง

-ครั้งนี้อย่าคิดจะเข้าข้างเขาเลยนะจ้ะ

“คือ คุณแม่คะ หรือว่า…

พอคุยโทรศัพท์กับคุณแม่เสร็จ ฉันจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังบริษัทที่บริหารโดยครอบครัวสามีทันที

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ฉันก็เดินผ่านหน้าเลขาที่กำลังจะรั้งตัวฉันไว้เพื่อเปิดประตูห้องประธาน เพราะอย่างนั้น สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องล้วนจับจ้องมาทางฉัน

“บอกว่าอย่าให้ใครเข้า…เดี๋ยวก่อน ลูกสะใภ้! มีเรื่องอะไรที่นี่งั้นเรอะ”

คุณพ่อสามีกำลังจะตะโกนออกมาโดยอัตโนมัติ แต่พอเห็นฉันก็ทำสีหน้าตกใจ รวมถึงสามีกับผู้หญิงที่ชื่อเซบินก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าตึงเครียดของสามีตัวเองกับใบหน้าของหญิงสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาทำให้ฉันกลั้นหัวเราะเอาไว้

‘พวกคุณก็ดูท่าจะโชคดีนะ’

ที่ฉันมาถึงก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยหน่อยที่รีบแล่นมาทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวจากคุณแม่

ฉันสบตากับคังทงอู

แววตาของเขาทำให้ฉันรับรู้ว่าเขายังคงเข้าใจผิดอยู่ บางทีเขาอาจจะคิดว่าฉันรายงานเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟังล่ะมั้ง

ฉันมองเขาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเหยียดยิ้ม จากนั้นจึงหันไปทางคุณพ่อแล้วพูดขึ้น

“คุณพ่อคะ เมื่อกี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ก็เลยรีบมาน่ะค่ะ”

“ฉันบอกว่าไม่ให้บอกเธอแล้ว ทำไมเวลาสั้นๆ แค่นี้ถึงเก็บไว้ไม่ได้กันนะ!”

คุณพ่อคงรู้สึกอึดอัดใจเลยกระแอมออกมาเสียงดัง ‘ฮึ่ม!’ แล้วมองฉันพร้อมกับพูดอย่างเฉียบขาด

“ครั้งนี้ฉันจะต้องดัดนิสัยไอ้ลูกคนนี้ให้ได้ ไม่คิดจะปล่อยไปเฉยๆ หรอกนะ ส่วนยัยผู้หญิงคนนี้ก็ปลดออกจากงานตั้งแต่วันนี้เหมือนกัน กล้าดียังไงถึงได้เที่ยวหลอกคนอื่น แล้วพากันหัวเราะกระซิกกระซี้ไปทั่วบริษัทน่ะฮะ!?”

“คุณพ่อคะ ครั้งนี้ก็ช่วยยกโทษให้เถอะค่ะ อย่างน้อยก็เห็นแก่ฉันเถอะนะคะ”

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ ฉันยกโทษให้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันแบบนี้ยังไงล่ะ! ทงอู แกก็เหมือนกัน ยัยนี่ก็ด้วย ถ้าลูกสะใภ้ไม่ขอให้ฉันยกโทษให้ ฉันก็ทำให้แกไม่มีที่อยู่ที่ไปได้! แต่แกก็ยังไม่รู้จักสำนึก แถมยังไปตัวติดกันกับผู้หญิงคนนี้อีกงั้นเหรอ”

คำพูดของคุณพ่อทำให้หัวของผู้หญิงคนนั้นที่ก้มอยู่แล้วยิ่งก้มต่ำลงไปมากกว่าเดิม เขามองไหล่ที่สั่นเทาเบาๆ แล้วทำสีหน้าเป็นห่วงและสงสาร

“รู้ฐานะของตัวเองอยู่แล้ว แต่ก็ไร้ความยั้งคิด ฐานะของเธอน่ะ!”

“หยุดเถอะครับ! เรื่องฐานะอะไรนั่น! เซบินมีอะไรที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่เหรอครับ พื้นฐานครอบครัวสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ สำคัญมากจนต้องดูถูกดูแคลนคนธรรมดาคนนึงเลยเหรอครับ ในสายตาของผม เซบินเป็นผู้หญิงที่ดีและแข็งแกร่งกว่าใคร เป็นผู้หญิงที่หาเงินเรียนมหาวิทยาลัยเอง หางานทำด้วยพละกำลังของตัวเองคนเดียว เป็นผู้หญิงมีความสามารถ แล้วก็เป็นผู้หญิงที่ผมรักด้วยครับ เอาเรื่องครอบครัวกับบริษัทออกไปให้หมด ถ้าพ่อคิดว่าผมเป็นลูกชายจริงๆ พ่อจะไม่มีทางทำแบบนี้กับผู้หญิงที่ลูกชายรักหรอกครับ!”

“แกกล้าดียังไงถึงพูดจาแบบนี้กับพ่อของแกฮะ!?”

ดูเหมือนสถานการณ์จะกลับไปตึงเครียด ฉันจึงรีบเข้าไปแทรกระหว่างพวกเขาสองคนทันที ฉันจับแขนของคุณพ่อที่อารมณ์เดือดพล่านแล้วขวางไว้ก่อนจะพูดเสียงดัง

“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะคุณพ่อ!”

ระหว่างที่คุณพ่อปิดปากสนิทแล้วปรับลมหายใจอันรุนแรงให้นิ่งลง ฉันก็จ้องเขาแล้วพูดเตือนเช่นกัน

“คุณก็หยุดด้วยนะคะ! ไม่ว่ายังไง ท่านก็เป็นคุณพ่อของคุณ!”

“…”

จากนั้นฉันก็ปล่อยเขาที่ดูไม่สบายใจหลังจากพูดกับคุณพ่อตัวเองไปแบบนั้น แล้วก็หันไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อทอดสายตามองเธอคนนั้นที่กำลังก้มหน้าสะอึกสะอื้น

“คุณเซบินใช่ไหมคะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมามองฉันพร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจที่ฉันเรียก

“ออกไปเถอะค่ะ”

“…คะ?”

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องคุยกันภายในครอบครัวน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคุณเซบินออกไปตอนนี้น่าจะดีกว่านะคะ”

คงไม่ชอบใจกับคำพูดของฉันที่ทำเหมือนเธอเป็นคนอื่น ทั้งที่ตัวเองถูกเข้ามาก้าวก่ายหรือเปล่านะ เธอจึงส่ายหัวแล้วตอบกลับ

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะฉัน ฉันไม่คิดว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องในบทสนทนานี้หรอกนะคะ เพราะฉัน คุณพ่อก็เลยโกรธ…”

คุณพ่อที่กำลังควบคุมอารมณ์ให้อ่อนลงเพราะการห้ามปรามของฉันจึงตวาดออกมาว่า ‘ใครเป็นพ่อเธอ!’ ก่อนที่ฝั่งนั้นจะพูดจบประโยคเสียอีก

“สั่งสอนพนักงานยังไงกันแน่ เพราะอย่างนี้ถึงไม่รู้ฐานะของตัวเองแล้วมายั่วยวนเจ้านายสินะ ผู้หญิงที่มาทำงานบริษัทเพื่อปั่นหัวผู้ชายอย่างเธอน่ะ แค่ตำแหน่งคนทำความสะอาดของบริษัทฉัน ฉันก็เสียดายแล้ว ลาออกไปซะตอนนี้เลย! แต่ตอนนี้ถ้าเธอยอมพูดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทงอูอีก ฉันก็มีทางเลือกให้เหมือนกัน เลือกเอาระหว่างโดนไล่ออกหรือจะเขียนใบลาออกเอง อย่างน้อยถ้าเขียนใบลาออกเอง เวลาไปสัมภาษณ์ใหม่ก็น่าจะไม่ลำบากไม่ใช่เหรอ”

“พ่อ!”

คังทงอูกลับเสียงดังราวกับแยกเขี้ยวเตือนอย่างน่ากลัว ฉันเลยรีบพูดขึ้นเพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะลุกลามไปเป็นการทะเลาะระหว่างพ่อกับลูกชายอีกครั้ง

“คุณพ่อคะ คุณเซบินก็น่าจะสำนึกผิดมากๆ อยู่นะคะ ถึงจะเรียกให้ออกไปตอนดึกๆ แต่คนที่ยอมทำก็คือคุณทงอูเอง เพราะฉะนั้นเขาก็มีความผิดเหมือนกันค่ะ”

“นั่นก็ถูก”

“แล้วก็เท่าที่ฉันได้ฟังมา เห็นบอกว่าครอบครัวเธอลำบาก ก็เลยทำงานพิเศษไปด้วยจนกินข้าวไม่ตรงเวลาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ถ้าสูญเสียตำแหน่งงานทั้งที่อุตส่าห์ตั้งใจเรียนแล้วสมัครเข้ามาอย่างยากลำบาก ต้องเจ็บปวดใจมากแน่เลยค่ะ ไหนจะต้องจะใช้ชีวิตโดยไม่มีงานทำอีก”

ฉันคันค้านพร้อมแสดงออกให้เห็นจิตใจอันเมตตา และพอทำอย่างนั้นก็รู้สึกได้ว่าเธอคนนั้นจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจึงยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ อย่างขมขื่นราวกับเห็นใจมากจริงๆ แต่กลับไม่ได้หลบตาเธอเลย ซึ่งเธอคงรู้สึกได้ว่าฉันกำลังเย้ยหยันอยู่

“คุณเซบิน”

“…”

“ทำอย่างที่ฉันบอกเถอะค่ะ ฉันคิดว่าถ้าคุณยังอยู่ตรงนี้ สถานการณ์ก็มีแต่จะแย่ลง ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยค่ะ คุณพ่อก็คงจะไม่สบอารมณ์ถ้ายังเห็นคุณอยู่ต่อไป ไม่รู้เหรอคะว่า ถ้ายิ่งเป็นแบบนั้น คนที่จะเดือดร้อนก็คือคุณทงอู คุณเซบินหัวดี ฉันเชื่อว่าคุณเข้าใจคำพูดของฉันนะคะ”

เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาอย่างแผ่วเบา

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ทว่าน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือจากการร้องไห้ถูกปรับให้หนักแน่นขึ้นราวกับเป็นหนังสือท้าประลองถึงฉัน

“ฉันจะพูดกับคุณพ่อให้เองค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง คุณเซบินคงจะไม่ต้องออกจากบริษัทเพราะเรื่องคราวนี้หรอกค่ะ”

“ต้อง… ขอบคุณไหมคะ”

“ไม่ต้องค่ะ เพราะถ้าเพื่อบริษัทแล้ว การมีบุคลากรที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นอีกสักหนึ่งคน มันก็คงจะดี ต่อจากนี้ไปก็ด้วย ถ้าคุณช่วยทำงานอย่างขันแข็งเพื่อบริษัทของพวกเรา ฉันคงต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมากกว่าล่ะมั้งคะ”

“…ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เธอลุกขึ้นแล้วก้มหัวเอ่ยขอตัวกับคุณพ่อ

ซึ่งคุณพ่อก็หันหน้าหนีเหมือนไม่รับการบอกขอตัวของเธอด้วยความไม่พอใจ เธอจึงหันกลับไปมองสามีของฉันด้วยแววตาเศร้าสร้อยเพราะตัวเองถูกเมินแล้วเดินออกจากห้องประธานไป

ฉันยิ้มเยาะท่าทางของเธออยู่ในใจก่อนจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามสามี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด