1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ 4-2 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ

Now you are reading 1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ Chapter 4-2 หลักประกันพิสูจน์ความเชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ดื่มอะไรก่อนไหม”

“เออ ต้องสั่งอะไรเย็นๆ สักแก้วแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไรยังอากาศเย็นๆ อยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นหน้าร้อนอย่างสมบูรณ์แบบไปซะงั้น”

“เดี๋ยวฉันไปสั่งให้เอง จะเอาอะไรล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะไปสั่งเอง เธอนั่งอยู่นี่แหละ”

หลังสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ดาฮยอนก็ยืนพิงเคาน์เตอร์รอ ไม่นานก็ถือน้ำหวานที่ใส่น้ำแข็งจนเต็มกลับมา เมื่อดูดน้ำหวานเข้าไปเกินครึ่งภายในครั้งเดียว อีกคนก็อุทานออกมา

“ฮ้า เหมือนเกิดใหม่เลย”

“แค่นั้นพอเหรอ สั่งข้าวเที่ยงมากินด้วยสิ”

“ช่างมันเถอะ กินของแบบนี้เข้าไป ไม่มีอารมณ์จะกินอย่างอื่นแล้วล่ะ”

“งั้นเหรอ”

แล้วพอเธอดื่มน้ำหวานเข้าไปอีกอึก น้ำหวานก็เหลือเพียงก้นแก้วทันทีจนมีเสียงหลอดดูดอากาศว่างเปล่าดังขึ้น

ดาฮยอนจึงเปิดฝาแก้วพลาสติกแล้วคาบน้ำแข็งก้อนหนึ่งมาเคี้ยวจนละเอียด จากนั้นเธอก็มองแก้วชาของฉันนิ่งๆ พลางถามขึ้น

“นั่นกินหมดแล้วใช่ไหม”

“อ๊ะ อื้อ”

พอฉันพยักหน้า ดาฮยอนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพยักหน้ากลับ

“ถ้างั้นไปกันเถอะ”

“ไปไหน”

“ไปกินข้าว”

พอฉันนั่งมองอยู่อย่างมึนงง ดาฮยอนก็อธิบายต่อราวกับอึดอัดใจ

“ไปที่ไหนสักที่แล้วกินข้าวกันก่อนเถอะ เธอก็ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหมล่ะ”

“อือ ยังเลย”

“รีบไปกัน ฉันต้องรีบกินรีบกลับเข้าไปแล้ว”

หลังจากพูดจบแล้วก็พาฉันเข้าไปในร้านข้าวห่อสาหร่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคาเฟ่

ดาฮยอนนั่งลงกับที่แล้วสั่งอะไรง่ายๆ จากนั้นก็ไปกดน้ำจากเครื่องกรองน้ำแล้ววางแก้วหนึ่งลงตรงฝั่งฉันก่อนจะพูดขึ้น

“จะว่าไปแล้ว ครอบครัวคงต้องโกลาหลวุ่นวายไปหมดแน่ๆ”

“หื้ม?”

“หรือท่านประธานยังไม่รู้เรื่องคราวนี้เหรอ”

“อ๋อ รู้สิ ก่อนหน้านี้ฉันก็ไปทักทายพวกท่านที่บ้านมา โมโหกันยกใหญ่เลย”

ฉันอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไปทักทายพ่อแม่สามีให้เพื่อนฟังสั้นๆ พอฟังจบ ดาฮยอนก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นราวกับพอใจ

“มันต้องแบบนี้สิ! ฝากฝังคนแบบนั้นกับเธอแล้ว ถ้าจะรู้สึกขอโทษอยู่บ้างสักหน่อย ก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ”

“ถึงอย่างนั้นพวกท่านทั้งสองคนก็เป็นคนดีนะ”

“ถ้าเป็นคนที่ดีกับเธอแล้วนึกถึงเธอจริงๆ ถึงเธอจะห้าม พอได้โอกาสก็ต้องหักขายัยนั่นทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นลูกชาย ท่านก็เลยแค่แกล้งๆ โกรธ แล้วพอเธอห้าม ก็เลยได้ทีทำปล่อยผ่านไปไม่ใช่หรือไงล่ะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า”

“เธอไม่รู้ล่ะสิ กับเธอที่เพิ่งจะมารู้จักกันก่อนหน้านี้ไม่นาน ส่วนหัวหน้าฝ่ายน่ะ เป็นลูกชายเลยนะ แล้วท่านจะอยู่ข้างใครล่ะยะ”

นั่นเป็นความจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย ทำไมฉันถึงรู้เรื่องที่คนอื่นเขารู้กันทั่วไปช้าแบบนี้นะ ความคิดที่ว่าฉันโหยหาความรักมากถึงขนาดนั้นประดังขึ้นมาพร้อมกับความอนาถใจ

พอฉันพูดอะไรไม่ออก ดาฮยอนก็หยุดพูดราวกับรับรู้ถึงจิตใจอันว้าวุ่นของฉัน ฉันจึงพยายามยิ้มพลางพูดขึ้น

“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”

“ก็มันดูเหมือนจะเป็นอะไรยังไงล่ะ”

“ถ้าลองทำให้เขาสบายใจ แล้วรอดู สักวันก็น่าจะมีใจให้ฉันกลับมาบ้างไม่ใช่เหรอ”

“นั่นคือวิธีของเธอเหรอ แล้วระหว่างนั้นเธอก็จะไม่ทำอะไรกับยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์นั่นเลยเนี่ยนะ”

“คู่สามีภรรยาธรรมดาๆ ที่คบหาแล้วแต่งงานกันปกติ พอเวลาผ่านไปก็มักจะมีปัญหาเกิดขึ้นสักอย่างสองอย่างเหมือนกันล่ะน่า สามีที่นอกใจภรรยาตัวเองก็มีอยู่เยอะเลย ไม่ใช่มีแค่ฉันคนเดียวสักหน่อย”

“เธอ…”

ดาฮยอนขมวดคิ้วเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากคำพูดของฉัน

“ไม่ได้หมายความว่าให้คอยดูสถานการณ์เฉยๆ หรอกใช่ไหม”

“…”

“เธอโง่หรือเปล่าเนี่ย ปัญญาอ่อนหรือเปล่า สองคนนั้นใช้เธอเป็นเกราะกำบังนะ แล้วยังจะมาบอกว่าให้คอยดูพวกนั้นหัวร่อต่อกระซิกอยู่เฉยๆ เนี่ยเหรอ เธอไม่น่าอยู่เฉยๆ ตอนที่คุณแม่สามีของเธอเข้ามายุ่งเลย ไม่ว่ายัยเจ้าเล่ห์จะถูกไล่ออกจากงานหรือครอบครัวจะแตกแยก ก็กำจัดยัยนั่นไปให้ไกลๆ เลย เธอบอกฉันว่าเธอชอบเขาด้วยนี่”

“บอกว่าชอบ…”

ฉันทวนคำพูดของดาฮยอนด้วยปากของตัวเอง

ไม่รู้ทำไมถึงยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ก็เลยพูดทวนว่า ‘ชอบ’ อีกครั้ง ท่าทางของฉันน่าจะประหลาด ดาฮยอนจึงทำหน้าเคร่งเครียด

“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ”

คงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดของพวกเรา คุณป้าเลยพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงระมัดระวังพร้อมกับวางทงคัตสึลงตรงหน้าดาฮยอน และข้าวยำเกาหลีตรงหน้าฉัน

“อ๊ะ ขอบคุณนะคะ จะทานให้อร่อยเลยค่ะ”

ฉันยิ้มหวานราวกับที่จมดิ่งอยู่เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องโกหกแล้วพยักหน้าขอบคุณคุณป้า จากนั้นก็หยิบมีดกับส้อมออกมาจากกล่องใส่อุปกรณ์แล้วยื่นให้ดาฮยอนพลางพูดชักชวน

“น่าอร่อยดีนะ รีบกินเร็ว”

เริ่มใช้ช้อนตะเกียบคลุกข้าว จนกระทั่งตอนนั้นดาฮยอนก็ยังคงปิดปากเงียบและทำหน้าเครียดอยู่

ฉันกำลังจะใช้ช้อนกับตะเกียบตักข้าวกิน แต่ก็ต้องล้มเลิกแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ เพราะรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ดาฮยอนก็เหมือนจะไม่เข้าใจ และถ้าไม่เข้าใจ เธอก็จะไม่กินอะไรเลยสักคำเดียวจนกว่าจะได้รับคำตอบจากฉัน ยังไงก็ปล่อยเพื่อนที่ต้องใช้แรงจากการกินข้าวกลับไปบริษัททั้งที่ท้องว่างไม่ได้อยู่แล้วนี่

“ไม่ได้ชอบขนาดนั้น เขาก็แค่หล่อดี ถ้าเป็นคนนี้ก็น่าจะมีคุณสมบัติความเป็นสามีครบ แค่รู้สึกเหมือนว่าถ้าเป็นการแต่งงานทางการเมือง แล้วได้สามีระดับนี้ก็ถือว่าโชคดีมากเลยล่ะ”

“โกหก รู้ไหมว่าตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอพูดผู้ชายแล้วตัวสั่นระริกระรี้น่ะ”

“ฉันเป็นแบบนั้นเหรอ”

“แบบนั้นเลยล่ะ”

ฉันเลยเว้นช่วงเงียบราวกับหยุดคิดตามคำพูดของดาฮยอนสักพัก ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“เหมือนจะไม่ใช่ความรักน่ะสิ ถ้าฉันเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันจะกินข้าวแบบเป็นปกติอยู่ที่นี่ตอนนี้เหรอ ถึงตอนฮันนีมูนไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่ดี”

“…ไม่ได้รักเขาจริงๆ น่ะเหรอ”

“อื้อ เขาจะนอกใจหรือไม่นอกใจ ถ้าฉันไม่รู้เรื่อง มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นแหละน่า ฉันก็แค่อยากใช้เวลาสงบๆ กับตัวเองเท่านั้นแหละ”

ดวงตาของดาฮยอนผ่อนคลายหลังจากจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้หยิบส้อมกับมีดขึ้นมาเริ่มหั่นทงคัตสึ

ดาฮยอนจิ้มทงคัตสึหนึ่งชิ้นเข้าปากแล้วเคี้ยว จากนั้นจึงพูดขึ้น

“ยังไงก็เถอะ ฉันน่ะ หงุดหงิดยัยหมาป่าเจ้าเล่ห์กับเพื่อนหมาป่าของยัยนั่นมาก กระหยิ่มยิ้มย่องทำตัวกร่าง รู้ทั้งรู่ว่าฉันเป็นเพื่อนเธอ ก็ยังพูดคุยกันไม่เห็นหัวเลย คุยโม้ไปทั่ว กระทั่งเรื่องล่อลวงสามีเธอให้มานอนค้างนอกบ้าน คราวหน้าฉันต้องฟังข้อมูลการทำผิดศีลธรรมของสามีเพื่อนแบบไลฟ์สดเลยไหม”

ฉันยักไหล่ให้กับท่าทางของดาฮยอนข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“บางทีคงไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกมั้ง”

* * *

คืนวันที่กลับมาบ้านหลังจากไปทักทายถึงบ้านพ่อแม่สามี

คังทงอูรับโทรศัพท์สายที่โทรมาตอนค่ำๆ ก่อนจะหยิบเสื้อมาใส่ ฉันมองท่าทางราวกับกำลังจะออกไปข้างนอกอย่างสงสัยพร้อมกับถามขึ้น

“ไปไหนเหรอคะ”

“…”

แต่แค่ท่าทางของเหมือนกระอักกระอ่วนใจอย่างไม่มีสาเหตุของเขา ฉันก็เหมือนได้ฟังคำตอบแล้ว จะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงก็ได้ จะไปเจอผู้หญิงคนนั้นสินะ…

“มีธุระนิดหน่อยน่ะ”

“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องด่วนนะคะ หรือว่าที่บริษัทมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วย้อนถาม ส่วนเขาก็ขมวดคิ้วจนหน้ายู่

“ผมต้องรายงานอย่างละเอียด แม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

ฉันกัดริมฝีปากแน่นเพราะคำพูดของเขา บรรยากาศนุ่มนวลก่อนหน้านี้กลายเป็นน้ำแข็งเย็นเยียบปกคลุมภายในใจของฉันอย่างน่าสมเพชทันที

นึกว่าพอพูดความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาแล้วเขาจะยอมรับเรื่องนั้นเสียอีก…

“เปล่าค่ะ”

ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่หัวข้อที่ฉันพอจะถามได้เลยนะคะ ในความคิดของคุณ”

“…”

“ฉันบอกจุดยืนของตัวเองไปแล้วนะคะ ว่าถึงจะไม่ใช่การแต่งงานที่เกิดจากความต้องการ แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง”

ที่เคยคิดว่าเขายอมรับในตัวฉัน ก็ดูเหมือนฉันจะคิดไปเองคนเดียว กำแพงที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พังลงและดำรงอยู่อย่างทนทานในความสัมพันธ์ของพวกเรา

‘ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจคุณเหมือนกัน’

ความคิดร้ายกาจหลั่งไหลออกมา ทว่าระหว่างที่ฉันกำลังเหยียดยิ้มเขาก็พูดขึ้น

“…แต่ผมก็รายงานคุณละเอียดยิบทุกเรื่องไม่ได้เหมือนกันนะ”

น้ำเสียงที่พูดออกมาไม่เต็มเสียงราวกับลังเล ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตัดสินเกินเหตุ ผู้ชายคนนี้เพียงแค่จับจุดไม่ถูกว่าจะต้องพูดอะไรกับฉันในเวลาเพียงชั่วครู่นั้น

พอฉันมีท่าทีราวกับโกรธเคือง เขาก็เลยสับสนสินะ ความคิดชั่วร้ายที่พลุ่งพล่านเมื่อครู่นี้ก็สลายหายไปหมด

“ฉันเข้าใจค่ะ”

“ก่อนหน้านั้นเป็นความผิดของผมเอง ขอโทษนะ”

“ฉันเองก็ขอโทษที่โมโหใส่เหมือนกันค่ะ”

“ผมต้องไปแล้ว อาจจะกลับดึก เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอ คุณนอนก่อนได้เลย”

เขาเดินผ่านฉันไปทางประตูบ้าน แต่แล้วกลับหยุดยืนนิ่งเพราะคำหนึ่งคำที่ฉันพูดเสริมอย่างเฉยชา

“ถึงจะดีใจที่ได้เจอกันในช่วงสองสามวันมานี้ แต่ก็อย่าค้างนอกบ้านเลยนะคะ”

“อะไรนะ”

“อย่างน้อยก็ต้องแสดงภาพลักษณ์ที่ดีสักสองสามเดือน ให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจนี่คะ”

รู้สึกเหมือนกำลังชี้นำคู่รักที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้คบหากันในทางที่เหมาะสมดีงาม ฉันเลยอดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้

“คุณพ่อท่านบอกว่าจะคอยจับตาดูนะคะ”

“…”

“อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันจะไม่บอกอะไรคุณพ่อแน่นอนค่ะ”

“รู้แล้วล่ะ”

“ถ้างั้นอย่าทำหน้าเคร่งขรึมได้ไหมคะ เวลาคุณมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ใจฉันเต้นตึกตักด้วยความกลัวทุกทีเลย”

เขาจึงยกมือขึ้นลูบตรงขอบตาตัวเองเพราะคำพูดของฉัน ทำท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

“ถ้าคุณพ่อจับได้ ก็คงสงสัยฉันก่อนเป็นคนแรกเลยสินะคะ”

เขาทำท่าสงสัยกับคำพูดที่ฉันพึมพำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“หมายถึงคุณนั่นล่ะค่ะ ถ้าคุณพ่อจับได้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคน เธอคนนั้นก็น่าจะสงสัยฉันเป็นคนแรกแล้วกระหน่ำต่อว่าแน่ๆ เลยค่ะ”

“ไม่หรอก เพราะตามที่คุณพูดมา คุณก็เป็นผู้เสียหายนี่”

“…แต่คุณก็ยังไม่ยอมพูดว่าเชื่อใจฉันอยู่ดีสินะคะ”

“ผมคิดแค่ว่าในเมื่อยังไม่รู้จักคุณดีพอ ก็มั่นใจไม่ได้หรอก”

“จริงๆ เลย มาบอกว่าคนอื่นไม่มีความน่าเชื่อถือเนี่ย…”

ฉันยิ้มอย่างอ่อนแรงพร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“คนที่ทำธุรกิจมีชื่อเสียง จะเป็นคนไม่น่าเชื่อถือได้ด้วยเหรอคะ พอมองจุดนั้นก็น่าไว้ใจออกนี่นา อย่างน้อยก็คงไม่โกหก”

เขาก็หัวเราะออกมาแล้วโต้กลับ

“งานก็คืองาน เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว งานน่ะ แค่เคลื่อนไหวตามการคำนวณกำไรขาดทุนก็ได้แล้ว ผมคิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเป็นพิเศษนะ”

สุดท้ายแล้วอัจฉริยะก็คืออัจฉริยะ จากการพูดออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว ก็ดูจะเป็นความทะนงตัวเพราะไม่เคยดำเนินงานอะไรผิดพลาดมาก่อนเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด