Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 169

Now you are reading Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ Chapter 169 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 169 โชคชะตาฟ้าลิขิต (4)

             มู่ลี่ไป๋นั่งลงบนโซฟาอีกรอบ พยักหน้า ทั้งสองนั่งกันอยู่อย่างนี้จนรุ่งสาง เมื่อแสงแรกของวันส่องกระทบใบหน้าของเยี่ยฉิน สีหน้าที่ซีดเซียวก็แจ่มชัดขึ้นมาบ้าง มือของมู่ลี่ไป๋สั่น แก้วร่วงลงแตกกระจายเสียงดัง

            “ขอโทษ” เขาก้มตัวลงเงอะงะต้องการจะเก็บกวาด มือซูบเซียวคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา มือของทั้งคู่สัมผัสกัน มู่ลี่ไป๋รู้สึกว่าปลายนิ้วของเยี่ยฉินราวกับว่ามีหัวใจเต้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองคนหยุดชะงักพร้อมกัน

            เยี่ยฉินปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่า เธอเก็บของทุกอย่างอย่างระมัดระวัง มู่ลี่ไป๋มองดูคราบน้ำชาสีเขียวที่อยู่บนพื้น รู้สึกกังวังใจเล็กน้อย

            “ทำไมถึงยอมแพ้ ไม่แคร์แบบนี้จริงๆ เหรอ?” มู่ลี่ไป๋เจอเสียงของตัวเองแล้ว เอ่ยถาม มือของเยี่ยฉินที่กำลังทำความสะอาดคราบชาหยุดกึก เธอเอาผมที่ปรกหน้าเกี่ยวหู

            “ก็แค่ไม่อยากผิดหวัง ในเมื่อมันอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจด้วย แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรที่อยากทำ แค่รอให้วันนั้นมาถึงอย่างธรรมชาติ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากทำเคมีบำบัดอะไรนั่นด้วย เบื้องบนก็อยากให้ฉันจากไปอย่างสวยงามด้วยล่ะมั้ง”

            ตอนนี้ไม่มีอะไรที่อยากได้งั้นเหรอ? แววตาของมู่ลี่ไป๋มืดมนเล็กน้อย “คุณก็คิดจะทิ้งพ่อแม่คุณแบบนี้เหรอ?”

            ความรู้สึกที่เยี่ยฉินเก็บงำเอาไว้เกือบจะหลุดออกมา เธอสูดจมูก “สภาพร่างกายของฉันเป็นยังไง ฉันรู้ดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องให้พวกเรามาคอยคิดด้วยว่าวันนี้หัวเราะแล้วพรุ่งนี้จะร้องไห้ เงินออมทั้งหมดของพวกเราก็ดี หรือพลังก็ดีมันเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปได้ ต่อให้ฉันไม่อยู่ข้างกายพวกเขาก็แค่เสียใจไม่กี่ปี จากนั้นก็จะใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนได้”

            “ไม่ได้หรอก”

            “ไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้!” เยี่ยฉินตื่นเต้นจนข้าวของในมือหล่นอยู่ที่พื้น หน้าอกก็กระเพื่อมเพราะหายใจถี่เร็ว จ้องมองมู่ลี่ไป๋ด้วยดวงตาแดงก่ำ ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยๆ สงบสติลง แล้วทำความสะอาดของบนพื้น “อย่าบอกพ่อแม่ฉันว่าฉันอยู่ที่นี่ คุณแค่บอกว่าเจอศพฉันแล้ว ให้พวกเขายอมแพ้ซะ”

            มู่ลี่ไป๋ดึงเยี่ยฉินพรวดขึ้นมาจากพื้น กดลงบนโต๊ะ “คิดว่าตัวเองคับข้องใจมาก ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นมากสินะ?”

            “เยี่ยฉิน คุณน่ะมันแค่คนปอดแหกยังไม่ยอมรับอีก เอาข้ออ้างสวยหรูมากมายมาหลอกตัวเอง ทำให้หัวใจของตัวเองสงบแล้วมีความหมายอะไร? พวกเขาต้องการอะไรไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคุณ!”

            “พ่ายแพ้? ยังไม่ทันเริ่มพยายามก็คิดถึงความพ่ายแพ้แล้วเหรอ? เยี่ยฉิน คุณทำให้ผมตาสว่างจริงๆ”     “คุณนึกว่าตัวเองโล่งอกแล้ว ที่ช่วยเลือกให้คนอื่น คุณเคยถามความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม คุณเคยคิดบ้างไหมเพราะคุณไม่กล้าลอง หลังจากวันที่คุณตายไปแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ของคุณคิดไม่ใช่แค่ลูกของฉันน่าสงสารจังเลย แต่คิดว่าเป็นเพราะเขาเอง ลูกสาวของเขาถึงได้ยอมแพ้ เพราะพวกเขาเองที่ทำร้ายลูกจนตาย”

            “คุณคิดว่าคุณได้เก็บวัตถุมากมายไว้สำหรับพวกเขา แต่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ทุกวันในความล้มเหลวที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลยและความรู้สึกผิดกับความตายของลูกสาว เยี่ยฉิน ที่ผ่านมาคุณก็แค่นึกถึงแต่ตัวเอง คุณนึกถึงความรู้สึกของตัวเอง ส่วนคนอื่นก็เป็นแค่วัตถุที่วางไว้อยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ แต่เคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นก็ไม่น้อยไปกว่าคุณ?”

            มู่ลี่ไป๋พูดยืดยาวในลมหายใจเดียว น้ำเสียงค่อยๆ ต่ำลงและมีเสียงสะอื้น เยี่ยฉินดวงมู่ลี่ไป๋ด้วยความเหม่อลอยเล็กน้อย เขาเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าที่งดงามของเยี่ยฉิน พูดอย่างประนีประนอม “เยี่ยฉินไปโรงพยาบาลเถอะ ผมรับปากคุณว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณอากับคุณน้าฟัง คุณจะยอมแพ้ต่อตัวเองแบบนี้ไม่ได้ ต่อให้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ คุณก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป”

            เยี่ยฉินผลักมู่ลี่ไป๋ออกไป “ไม่จำเป็น คุณชายมู่ คุณกลับไปเถอะ”

            “เยี่ยฉิน”

            มู่ลี่ไป๋เห็นหยดน้ำตาที่เยือกเย็นบนใบหน้าของเธอ “ใช่ ฉันมันเห็นแก่ตัว นั่นก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณชายมู่เลย เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาก้าวก่าย”

            “ผมเปล่า ผมก็แค่อยาก…” ‘ผมก็แค่อยากให้คุณสบายดี อยากให้คุณมีร่างกายแข็งแรง แค่คิดว่า เด็กสาวที่งดงามเช่นคุณ ควรจะมีชีวิตที่สวยงาม ผมไม่เคยคิดที่จะควบคุมคุณ ผมไม่เคยคิดไปล้ำเส้น ผมแค่อยากเห็นคุณ เห็นรอยยิ้มของคุณ เห็นคุณมีความสุข’

        “มู่ลี่ไป๋ คุณรู้จักวันที่สิ้นหวังไหม?” เยี่ยฉินเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองด้วยรอยยิ้มโดดเดี่ยว ราวกับมีความเศร้าโศกหลังผ่านมรสุมชีวิต “นี่คือเรื่องสุดท้ายที่ฉันอยากทำ คือการจบชีวิตตอนที่ฉันต้องการจะจบชีวิตของตัวเอง”

            “เยี่ยฉิน” มู่ลี่ไป๋สวมกอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า “ผมไม่อนุญาต”

            “คุณมีสิทธิ์อะไรบอกว่าไม่อนุญาต” น้ำตาร้อนๆ ร่วงอยู่บนหลังมือของมู่ลี่ไป๋ ราวกับว่าต้องการจะแผดเผาเขา เขายังคงกอดเธอแน่น

            “เยี่ยฉิน เรื่องของพวกเรายังไม่จบ คุณจะหนีไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ แม้ตะเป็นความตายคุณก็หนีไปไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นที่คุณจากไป เรื่องทั้งหมดของคุณก็ไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไปแล้ว” ลมหายใจอุ่นๆ ของมู่ลี่ไป๋ห้อมล้อมใบหูของเยี่ยฉิน เธออดไม่ได้ที่จะสั่นไหว

            “มีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเรามาสะสางเรื่องในอดีตกัน”

            “มู่ลี่ไป๋ คุณเป็นแขกที่แย่จริงๆ” เยี่ยฉินหัวเราะ จู่ๆ ก็หมดสติไปและล้มลงบนตัวของมู่ลี่ไป๋ช้าๆ ในขณะที่สติกำลังเลื่อนลอยนั้น เธอราวกับว่าได้ยินใครตะโกนเรียกชื่อเธอปานหัวใจกำลังแตกสลาย ราวกับว่าเธอเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับเขา

            จะเป็นไปได้ยังไง เธอได้กำจัดความรักใคร่ชอบพอที่ทุกคนมีต่อเธอไปหมดแล้ว จะมีคนตะโกนเรียกชื่อเธอแบบนี้ได้อย่างไรกัน

            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าช่วงนี้ตาข้างขวาของตัวเองกระตุกบ่อยมาก ตัวเองก็งงงวยไร้เรี่ยวแรง ทำเอาลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างกายตกใจยังกะอะไรดี ปกติก็ตัวติดเธอตลอดเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่ห่างแม้แต่คืบเดียว ต่อให้ไม่มีอะไรก็ทำให้พ่อแม่ของตัวเองสงสัยว่ามีอะไรแล้ว

            “เป่ยซี นี่ลูก…?” เมื่อเห็นลูกเขยรักลูกสาวของตัวเอง คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่ว่าท่าทางที่ระมัดระวังมากแบบนี้ มันยากที่จะไม่ทำให้มีความคิดเป็นอื่น

            “เปล่าค่ะ เปล่าค่ะ” อี้เป่ยซีย่นจมูก เล่นหมากรุกกับพ่อของตัวเองต่อ ในใจแอบคิดว่าจะต้องบอกให้ลั่วจื่อหานระวังตัวสักหน่อย ครั้งนี้พ่อของเธอก็ดูออกแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่าง

            “พ่อรู้ว่าลูกชอบพ่อหนุ่มลั่วจื่อหานนั่น แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องดูแลงานของตัวเอง ต่อให้เขาติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นเรื่องงาน ลูกก็ต้องใจกว้างหน่อย เข้าใจไหม?”

            “หา?”

            “ลูกก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่ามัวแต่เอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย พ่อดูออกว่าในใจของลั่วจื่อหานมีแค่ลูกคนเดียว”

            อี้เป่ยซีหัวร่องอหาย เข้าใจว่าพ่อของตัวเองเข้าใจผิดว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน จึงได้ง้อเธออย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้ “พ่อ นี่พ่อพูดเรื่องอะไรกันคะ”

            จนกระทั่งลั่วจื่อหานกลับมาตอนกลางคืน อี้เป่ยซีเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขากอดเธอด้วยความอ่อนโยนมาก ถามอย่างจริงจัง “เธอจะใจกว้างเหรอ?”

        อี้เป่ยซีครุ่นคิด เอามือของเขามาวางไว้ที่ท้องของตัวเอง ส่งสายตา ‘นายก็ลองดูสิ’ ให้เขา ลั่วจื่อหานหัวเราะแล้วกอดเธอแน่นกว่าเดิม

————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด