Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 180

Now you are reading Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ Chapter 180 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 180 คืนดี (7)

             “มันจะไม่ไปไหน เป่ยซี มันจะไม่จากไปไหน”

            อี้เป่ยซีพยักหน้า รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง “ลั่วจื่อหาน ฉันเคยบอกนายหรือเปล่าว่าการได้เจอกับนาย คือความโชคดีที่สุดในชีวิตของฉันจริงๆ”

            “ฉันก็เหมือนกัน”

            อี้เป่ยซีนอนอยู่บนเตียงกับลั่วจื่อหานครู่หนึ่ง จนกระทั่งหลังกินข้าวเที่ยงจึงขับรถไปโรงพยาบาล

            ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีไปยังสวนดอกไม้หลังโรงพยาบาลโดยตรง เห็นคุณปู่ที่ผมหงอกทั้งหัวกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อย่างสงบ อมยิ้มมุมปาก ผมที่ถูกลมพัดเผยให้เห็นความมีชีวิตชีวาน้อยๆ ราวกับความอ่อนเยาว์ได้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

            ราวกับสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนเข้ามาใกล้ ชายชราค่อยๆ ลืมตาขึ้น ม่านตาสีน้ำตาลตอนนี้พร่ามัวเล็กน้อยแล้วแต่ก็ยังคงสดใส เมื่อเห็นทั้งคนที่กำลังเข้ามา ชายชรายิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม แสดงอาการต่อหนุ่มสาวทั้งสองคนโดยไร้การเสแสร้ง

            อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหาน เขาตบๆ มือของเธอ อี้เป่ยซีจึงสูดหายใจลึก ยิ้มพร้อมเดินไปข้างหน้า

            ชายชราเบื้องหน้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับคุณปู่ของลั่วจื่อหานเลย คุณปู่ลั่วนั้นชัดเจนและเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าไม่มีวันใช้พลังงานในตัวจนหมด มีความเข้มแข็งทำให้รู้สึกปลอดภัย ส่วนคุณปู่ที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนนักวิชาการที่เงียบสงบและเก็บตัว ท่องกลอนเขียนกวี ฟังเพลงเย้าแหย่นกอยู่ในโลกส่วนตัว เหมือนกับอาจารย์ที่แก่ตัวลง

            ทั้งสองคนจูงมือกันหยุดอยู่ด้านหน้าของเขา จู่ๆ อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ราวกับคำพูดที่ระเบียบมาก่อนหน้านี้หายเข้าไปในสมองอันว่างเปล่า เธอเลียริมฝีปาก…

            “เธอจะตื่นเต้นอะไร ฉันก็ไม่ได้จะกินเธอสักหน่อย” เสียงแก่ๆ ของชายชรามีความขุ่นเคืองเล็กน้อย อี้เป่ยซีลดสายตาลง

            “หนู…อาการออกขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” อี้เป่ยซีส่งสายตาให้กับลั่วจื่อหานที่อยู่ด้านข้าง ลั่วจื่อหานเห็นท่าทีอึดอัดของอี้เป่ยซีจากหางตา หัวเราะเบาๆ แล้วหยุดครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก

            “อาจารย์ นี่แหละครับเป่ยซี”

            “รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันรู้จักเขาตั้งนานแล้ว”

            “เอ่อ คุณรู้จักหนูเหรอคะ?”

            ชายชราหัวเราะ “เธอ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาหรอกเหรอ? ฉันได้ยินเขาพูดถึงเธอบ่อยๆ บอกว่าเธอน่ะ วิชาเลขอ่อนยังกะอะไรดี วันๆ ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไร?”

        ใบหน้าของอี้เป่ยซีแดงก่ำทันใด บ่นพึมพำเสียงเบา “ใครกันคะ ที่เผยข้อบกพร่องของหนูแบบนี้”

        อี้เป่ยซีเงยหน้า เมื่อเห็นความคิดถึงในแววตาของชายชรา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “เป็นคนที่อาจารย์ชอบมากเหรอคะ?”

            “ใช่แล้ว ชอบมาก…” ชายชราเคลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าเล็กน้อย “เธออยู่ด้วยกันกับลั่วจื่อหาน เขาได้กำไรจริงๆ”

            “แค่ก เปล่าเลยค่ะ เปล่าเลย หนูก็ได้กำไรเหมือนกัน”

            ชายชราหันมามองอี้เป่ยซี “ตอนที่ฉันยังไม่รู้จักเขา อารมณ์แปลกประหลาดเป็นที่สุดเลย ขอเพียงแค่เขาต้องการไม่ว่าคนอื่นจะโน้มน้าวยังไงก็รั้งไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นฉันยังคิดอยู่เลย ว่าคุณหนูบ้านไหนกันนะที่ปลงไม่ตกแล้วเลือกที่จะอยู่กับเขา ฉันยังพูดกับเซี่ยเช่อเลยว่าไม่แน่ลั่วจื่อหานอาจจะเป็นโสดตลอดชีวิตก็ได้”

            “หา พวกคุณคิดแบบนี้กับเขาเหรอคะ…” อี้เป่ยซีคิดถึงฉากที่ตัวเองเจอกับลั่วจื่อหานครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ที่จริงตอนที่หนูเจอเขาครั้งแรกก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ใครจะรู้ว่าชะตาฟ้าลิขิตก็ไม่เท่าคนลิขิตเอง ก็เลยจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว”

            “เพราะเจ้าลั่วจื่อหานมันดวงดี” เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์แล้ว อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหาน แสงแดดแสดงเค้าโครงของแสงและเงาบนใบหน้าของเขาซึ่งจับคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นชิ้นงานที่สุดประณีตของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างหรือสีสัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความชื่นชม

            อี้เป่ยซีนึกถึงประโยคนั้นโดยพลัน ‘เธอจะพูดว่าไม่ชอบก็ได้ แต่ห้ามพูดว่าไม่ดีเด็ดขาด’

            เธอคิดว่าคนที่ไม่ชอบมีน้อยมากในโลกใบนี้

            ทั้งสองคนนั่งเป็นเพื่อนอาจารย์อีกเนิ่นนานจึงจะกลับไป ระหว่างทางอี้เป่ยซีมองใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหานตลอดเวลา

            ลั่วจื่อหานหมุนพวงมาลัยฉับพลัน รถจอดอยู่ริมถนน รถขับผ่านด้านข้างไปคันแล้วคันเล่า

            “ทำไมถึงมองฉันแบบนี้?” ลั่วจื่อหานยังคงประคองพวงมาลัย แต่กลับโน้มตัวเข้ามาหาอี้เป่ยซี อี้เป่ยซียังคงจับราวเนื่องจากการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันเมื่อครู่ มองลั่วจื่อหานอย่างตำหนิ

            “หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันมองนายที่ไหนกัน รีบขับรถเถอะ ฉันอยากกลับบ้านไปกินข้าว”

            “วันนี้ก็ทิ้งสามีไว้ในห้องคนเดียวแล้วเหรอ? อี้เป่ยซีต่อไปพวกเราแต่งงานแล้วชีวิตจะทำยังไง?”

            อี้เป่ยซีหน้าแดง มองไปนอกหน้าต่างอย่างอึดอัด พ่นลมออกทางจมูกสองสามที “นายอย่ามัวแต่หน้าด้านได้ไหม”

            ลั่วจื่อหานคว้ามือของอี้เป่ยซี จูบแหวนเพชรบนมือของเธอ “ลืมแล้วเหรอ”

            “อัยยา พอแล้วๆ รีบกลับบ้านเถอะ” อี้เป่ยซีชักมือของตัวเองกลับ มืออีกข้างก็อดไม่ได้ที่จะลูบคลำแหวน

            เธอกระพริบตา อดไม่ได้ที่จะออกแรง

            เจ็บ งั้นก็น่าจะเรื่องจริงสินะ

            เมื่อลั่วจื่อหานออกรถอีกรอบ อี้เป่ยซีก็ไม่มองเขาอีก ก้มหน้ามองแหวนที่ยังคงส่องประกายบนมือของตัวเอง

            ลั่วเยี่ยจิ่งได้ยินรายงานของลูกน้องตัวเอง มือที่ถือแก้วไวน์ยิ่งออกแรงจนมันแตกคามือ เศษแก้วทิ่มแทงลงไปในเนื้อ แต่ลู่เยี่ยจิ่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย

            ดังนั้นทุกคนต่างรู้ความจริงหมดแล้ว มีแต่ตัวเองที่ถูกซ่อนอยู่ในที่มืดงั้นเหรอ?

            ดังนั้นทุกสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงการทำร้ายเด็กสาวที่ไร้ทางสู้คนหนึ่ง

            “นี่คือสิ่งที่เราสืบได้ในตอนนี้ ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน แต่ว่าก็ยืนยันแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว”

            ลู่เยี่ยจิ่งมองเห็นเลือดซึมออกมาจากมือของตัวเอง มันร่วงลงพื้นแล้วแตกกระจายออก เขาหัวเราะเย็นชา “สืบมา ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

            “คุณชาย”

            ลู่เยี่ยจิ่งเงยหน้าไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากลับมีเหงื่อหยดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

            “เกรงว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเยอะนิดหน่อย…คุณ คุณชายกับคุณผู้หญิง คุณผู้หญิงทางนั้นก็ไม่ง่าย…”

            “งั้นฉันเลี้ยงพวกแกมีประโยชน์อะไร” ลู่เยี่ยจิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง “คนที่ฉลาดก็น่าจะรู้ว่าต้องเลือกอะไร”

            คนนั้นพยักหน้า ถอยออกไปด้วยความกังวลเล็กน้อยแล้ว ลู่เยี่ยจิ่งจึงเรียกให้เข้ามา

            อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี…เธอก็ถูกปิดบังจนน่าสมเพศสินะ…

            ลู่เยี่ยจิ่งขมวดคิ้ว อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดบนมือหรืออาจเป็นเพราะความเจ็บปวดในความทรงจำ

            ทรมานกับความทุกข์อันไร้เหตุผลมากมายขนาดนี้…

            จู่ๆ เขาก็นึกถึงฉากที่ตัวเองเจอกับอี้เป่ยซีครั้งแรก เขาเหมือนจะรู้จักเด็กสาวตัวน้อยที่สะอาดสะอ้านและมีชีวิตชีวาคนนี้ก่อนพี่ชายของตัวเองเสียอีก

            ตอนนั้นเขายังอยู่มัธยมปลายล่ะมั้ง ทันใดนั้นคนตัวเล็กๆ อย่างเธอก็เข้ามาในรั้วโรงเรียนมัธยม และทันใดนั้นก็เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา

            ในเวลานั้นเขาก็รู้สึกว่าทำไมถึงได้มีสิ่งของที่เล็กและน่ารักถึงเพียงนี้ ขาวผ่องราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้มาหาเขาแต่มาหาอี้เป่ยเฉิน

            ต่อมาพี่ชายก็พาเธอมาอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมยิ้มเอ่ยกับเขา

        เยี่ยจิ่ง นี่คือพระอาทิตย์ดวงน้อยของฉัน เธอชื่ออี้เป่ยซี

————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด