Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1437

Now you are reading Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา Chapter 1437 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
อยากตัดอย่างไร้ร่องรอย

ซูหมิงอุ้มสวี่ฮุ่ยที่เมาจนล้มเอาไว้ มองนางที่แก้มสองข้างแดงเรื่อ ลมหายใจดั่งกล้วยไม้ในตอนแรกกลายเป็นกลิ่นสุรา ตอนนี้ล้มลงในอกซูหมิง ส่งเสียงกรนเบาๆ

เสียงนั้นทำให้ในใจซูหมิงเกิดระลอกคลื่นแห่งความทรงจำ เขายืนอยู่บนยอดเขาเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา หมุนตัวอุ้มสวี่ฮุ่ยไปยังทางใต้

สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวบินขึ้นทันที อู่ไป๋คาบหัวคนไว้กลายเป็นแสงสีขาวห้าสายตามซูหมิง ที่นี่ห่างจากสำนักเสาะหาเมฆาเจ็ดวัน นั่นคือด้วยความเร็วของสวี่ฮุ่ย แต่สำหรับซูหมิง เพียงครู่เดียวก็ไปถึง

ทว่าสำนักเสาะหาเมฆาไม่ใช่หนึ่งในสำนักใหญ่ แต่เป็นสำนักเล็กภายใต้เจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นกู่จั้ง สำนักเล็กแบบนี้มีอยู่ในแคว้นกู่จั้งไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ไม่มีชื่อเสียงอะไร อย่างเช่นในสำนักเสาะหาเมฆาตอนนี้มีเต๋าสูงศักดิ์คอยดูแลอยู่คนเดียว ซึ่งมากพอทำให้สำนักนี้มีอำนาจอยู่บ้างในแถบใกล้ๆ

เพียงสองก้านธูปซูหมิงก็เห็นสำนักเสาะหาเมฆาอยู่ไกลๆ สำนักนี้สร้างบนภูเขา ดูมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ประตูสำนักสร้างขึ้นด้วยไม้สน มีบันไดหินคดเคี้ยวลงมา เมฆหมอกอบอวล เห็นรางๆ ว่ามีวิหารใหญ่บนยอดเขา และยังเห็นว่าตรงประตูสำนักมีหินใหญ่ตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง แกะสลักคำไว้ว่าเสาะหาเมฆา!

ที่นี่คือสำนักเสาะหาเมฆา

ซูหมิงละสายตากลับมาก้มหน้ามองสวี่ฮุ่ยในอ้อมกอด ยามที่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววเฉยชา เขาไม่มีความแค้นกับสำนักนี้ แต่ว่า…หากเขาปล่อยสำนักนี้ไป เช่นนั้นสวี่ฮุ่ยจะต้องถูกสำนักเสาะหาเมฆาออกตามล่าอย่างสุดกำลังเพราะชายหนุ่มรวมถึงผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนตายแน่

อีกทั้งซูหมิงไม่มีทางพานางไปด้วยได้ นางไม่ใช่คนในความทรงจำจึงไม่มีทางผูกสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ความสัมพันธ์แบบนี้จะทำให้เขาพัวพันกับโลกนี้มากกว่าเดิม และทำให้เขาหลงทางไปทีละน้อย

ซูหมิงในอดีตเคยคิดว่าการคงสติไว้ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอเพียงตนยึดมั่นในเจตตาเดิมก็พอ แต่ว่า…จนกระทั่งถึงตอนก่อนหน้านี้ที่พบสวี่ฮุ่ย เขาพบแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ร่างเงาที่เหมือนกันทุกประการ แม้แต่เสียงยังคุ้นหูอย่างยิ่งในความทรงจำ แต่ตอนนี้…ทำได้เพียงมองกัน มีเยื่อแปลกตากั้นอยู่

โดยเฉพาะตอนที่คนเหล่านี้ในความทรงจำตายจากไป ความรู้สึกเมื่อได้พบอีกครั้งทำให้ซูหมิงหวาดกลัวที่ต้องบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่านี่คือของปลอม มิใช่ของจริง

นี่เพียงแค่สวี่ฮุ่ย หากพบฟางชางหลัน พบอวี่เซวียน พบศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อเป็นต้นล่ะก็…เขาไม่รู้ว่าตนจะแข็งใจตัดความสัมพันธ์กับคนในโลกนี้ได้หรือไม่

ดังนั้น ตอนที่เผชิญหน้ากับหลันหลันแห่งสำนักเจ็ดจันทราหรือหญิงที่ซูหมิงสัมผัสร่องรอยของฟางชางหลันได้เสี้ยวหนึ่งนั้น เขาจึงหลีกหนีไปไกล ทว่า…เขาไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะยังยึดมั่นในเจตนาเดิมได้หรือไม่

จะกลายเป็น…คนน่าสงสารที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นของปลอม แต่กลับยอมเชื่อ ยอมคิดว่าทุกอย่างที่นี่เป็นของจริงหรือไม่

ซูหมิงรู้นิสัยตัวเองดี และเพราะแบบนี้เขาถึงพยายามเลี่ยงอย่างถึงที่สุด เพราะเขาเข้าใจว่า…เขาเป็นคนแบบนี้!

ซูหมิงถอนหายใจเบา เมื่อนัยน์ตาเป็นประกายเย็นชาขึ้นดั่งได้ตัดสินโชคชะตาของสำนักเสาะหาเมฆาแล้ว สำนักนี้…คงอยู่ต่อไปไม่ได้ มีแต่ให้สำนักนี้หมดกำลังในการล่าสังหารสวี่ฮุ่ยเท่านั้น เขาถึงปล่อยสตรีคนนี้ไป ถึงตัดการความสัมพันธ์กับนางได้

แต่ความจริงเขาก็เข้าใจว่าตอนที่ทำลายสำนักนี้ ตัวเขา…ได้เกิดความสัมพันธ์กับสวี่ฮุ่ยแล้ว

เขาต้องปล่อยสวี่ฮุ่ยไป จากนี้จะไม่สนใจความเป็นตายของนางอีก เหมือนกับหมอกควันผ่านดวงตา เพียงแต่ว่า…เขาทำไม่ได้

ขณะเงียบอยู่นี้ซูหมิงยกมือขวาชี้สำนักเสาะหาเมฆา สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังต่างมีดวงตาดุร้าย ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวห้าสายพุ่งไปยังสำนักเสาะหาเมฆา

“สังหารเพียงผู้เหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าวกับสายตรงสำนัก” ชั่วขณะที่ซูหมิงกล่าวเรียบๆ สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวพุ่งเข้าไปในสำนักเสาะหาเมฆาแล้ว ครู่ต่อมาเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังแว่ว ภายในสำนักเสาะหาเมฆาเกิดสงครามขึ้น

ผู้ฝึกฌานเหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าวทั้งหมด ศิษย์สายตรงของสำนักนี้ทั้งหมด แม้แต่เจ้าสำนัก ผู้อาวุโส ทุกคนในคืนนี้ล้วนถูกโลหิตย้อมผืนฟ้าของพวกเขา

จนกระทั่งเกือบครึ่งชั่วยามผ่านไป สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวกลับมา สำนักเสาะหาเมฆารวมถึงเจ้าสำนักผู้อาวุโสและศิษย์สายตรงรวมทั้งหมดหลายสิบคนวิญญาณสลายไป

สำหรับสำนักที่มีศิษย์เกือบหมื่นคนแล้ว การตายของหลายสิบคนไม่ถือว่าเท่าไร แต่คนเหล่านี้คือส่วนน้อยที่อยู่สุดยอด นั่นหมายความว่าสำนักนี้…ตกต่ำลงนับจากนี้

ซูหมิงก้มหน้ามองสวี่ฮุ่ยอีกครั้ง ก่อนก้าวเดินไปวางนางบนยอดเขาแห่งหนึ่งไกลๆ มองเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ มีแสงผลึกมุดเข้าไปในตัวนาง จากนั้นซูหมิงถึงจากไป

คล้อยหลังซูหมิง แพขนตานางสั่นไหว ช่วงที่ลืมตาขึ้นช้าๆ นางมีสีหน้าสับสน แต่ไม่นานนักก็นึกอะไรออกจึงมองไปรอบๆ แต่นอกจากคืนมืดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย

นางจำได้รางๆ เหมือนว่าตนดื่มสุรากับใครคนหนึ่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็ถามว่าสำนักเสาะหาเมฆาอยู่ที่ใด ต่อมาตนหมดสติไป ตอนนี้ตื่นขึ้นแล้วถึงพบว่าไม่ว่าจะพยายามนึกอย่างไรก็นึกใบหน้าที่ตนดื่มสุราด้วยไม่ออก

สวี่ฮุ่ยขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะแรงๆ แล้วเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป

ซูหมิงไปแล้ว ออกจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ไปไกล มุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดจันทรา เขาห้อทะยานบนฟ้าตลอดทางไม่มีหยุดพัก เหมือนอยากจะออกห่างจากสวี่ฮุ่ยให้ไกล ออกจากความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด

เขาพบว่าตนดำดิ่งลงไปในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่อาจคงสติเอาไว้ได้เล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามยึดมั่นในเจตนาเดิม จนเมื่อถึงยามรุ่งอรุณ เขาเห็นสำนักเจ็ดจันทราอยู่ไกลๆ

“ข้ากลับมาแล้ว…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ขณะก้าวเดินพลันหายวับมาปรากฏอยู่กลางฟ้าสำนักเจ็ดจันทรา แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงกลับมา วงแหวนอาคมทั้งสำนักเจ็ดจันทราเปิดออก ร่างเงานับไม่ถ้วนปรากฏกายขึ้น จิตสัมผัสแต่ละสายล้อมรอบตัวเขา

เห็นได้ชัดว่าสำนักเจ็ดจันทราในตอนนี้มีอาการกลัวเกินกว่าเหตุ เมื่อจิตสัมผัสเหล่านั้นลากผ่านตัวซูหมิงแล้วก็ไม่คลายออกแม้แต่น้อย จิตสังหารเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีก แต่ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะลากยาวดังกึกก้อง กู่ไท่ก้าวเท้ายาวมาหาซูหมิงจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด

“ผลเป็นอย่างไรบ้าง!” กู่ไท่ถามขึ้นทันที ตอนนี้ข้างหลังเขามีสายรุ้งสิบกว่าสายตรงเข้ามา สวี่จงฝานกับเต้าหานอยู่ในนั้น ยามที่มองซูหมิง สวี่จงฝานยิ้มทันที หน้าตาเขาดูแก่ชราลงไปเล็กน้อย รอยย่นตรงหน้าผากเยอะขึ้น เหมือนขมวดคิ้วมาตลอดหลายปี พอพบซูหมิงแล้วก็คล้ายว่ารอยย่นตรงหน้าผากคลายออกไม่น้อย

มีเพียงเต้าหานที่พบซูหมิงแล้วหรี่ตาลงโดยพลัน เมื่อเพ่งมองสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังซูหมิงแล้ว นัยน์ตาเขาฉายแววตกใจ ก่อนมองซูหมิงอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นรางๆ ว่าองค์ชายสามที่ไม่ได้พบมาสองร้อยกว่าปีมีความต่างออกไปอย่างใหญ่หลวง

นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของพลัง แต่เป็นลางสังหรณ์ มันทำให้เต้าหานรู้สึกว่าต่อให้ตนลงมือ เกรงว่าก็ไม่อาจกำราบอีกฝ่ายได้

ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่รู้สึกแบบนี้ ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นข้างกู่ไท่ต่างพากันมองซูหมิง และเกิดลางสังหรณ์แบบนี้เช่นกัน

“ได้มาครบแล้ว” ซูหมิงพยักหน้าให้กู่ไท่

“ดี เจ้ากลับมาได้ทันเวลาพอดีเลย ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะพลาดการแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋าอยู่เลย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายสิบปีถึงจะเริ่ม ในเมื่อครั้งนี้ได้ของมาแล้ว การแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋าในอีกหลายสิบปีจากนี้ เจ้าต้องสังหารจนมีชื่อเสียงโด่งดัง!

เพราะในการแย่งชิงครั้งนี้จะเป็นสงครามการชิงบัลลังก์ระหว่างสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเอกะเต๋าและฝ่ายอสุราเป็นครั้งแรก สงครามนี้อยู่ข้างนอก เจ้าอยู่ข้างใน พวกเราแย่งชิงเส้นทางแห่งพิสูจน์เต๋าส่วนเจ้ากับโอรสวรรค์สำนักอื่นแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋า!

แต่ในอดีต เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายต่างแสวงหากันเอง หลังลงมือแล้วก็สาดโลหิตทั่วฟ้าดิน ถึงจะเปิดเส้นทางแห่งพิสูจน์เต๋าได้ ทว่าตอนนี้…สำนักเจ็ดจันทราเราร่วมมือกับสองสำนักและสามฝ่าย มหาสงครามครั้งนี้ลิขิตไว้แล้วว่าต้องเหนือกว่าในอดีต!” กู่ไท่กล่าวขึ้นพลางมองซูหมิงด้วยดวงตาวาววับ เห็นได้ชัดว่าเขาก็เห็นถึงความต่างของซูหมิงเช่นกัน แต่เขาเห็นมากกว่า สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวรอบซูหมิงยังเป็นรอง กู่ไท่สนใจมือขวาซูหมิงมากกว่า!

เชือกสีแดงที่ผูกไว้ตรงข้อมือขวาให้ความรู้สึกร้อนกลัวจนไม่เป็นสุขแก่กู่ไท่ โดยเฉพาะในฝ่ามือขวาซูหมิง กู่ไท่เห็นตราประทับจันทร์เสี้ยวเป็นบางครั้ง นั่นยิ่งทำให้เขาหรี่ตาแคบลง ซ่อนความตกใจเอาไว้

‘ตราประทับนี้คือ…’ กู่ไท่สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มมุมปาก มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเด่นชัด เขารู้ที่มาของตราประทับนี้!

ซูหมิงพยักหน้าแล้วประสานมือคารวะพวกกู่ไท่ มองสวี่จงฝานแวบหนึ่งก่อนเดินหน้าเข้าไปในฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังต้องบ่มเพาะอีกเล็กน้อย เมื่อวันแห่งพิสูจน์เต๋ามาถึงแล้วรบกวนผู้อาวุโสกู่ไท่กับครูสวี่เรียกข้าด้วย” เมื่อซูหมิงกล่าวขึ้น สวี่จงฝานตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเรียกเขาว่าครู แม้จะไม่ใช่อาจารย์ แต่ก็เรียกว่าครูสวี่ สำหรับเขานั่นก็มากพอแล้ว

กู่ไท่มองร่างเงาซูหมิงจากไปไกลด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม และยังมีความมั่นใจแรงกล้า เขาเชื่อว่าซูหมิงในตอนนี้ แม้จะดูเหมือนขอบเขตวิญญาณเต๋า แต่กำลังรบมากพอจะสร้างอำนาจคุกคามให้เต๋าสูงศักดิ์แล้ว!

“หากเขาบรรลุเต๋าสูงศักดิ์ เขา…จะเป็นหมายเลขหนึ่งของคนที่ต่ำกว่ามหาเต๋าสูงศักดิ์! วันนั้นอีกไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว ขอเพียงผลพิสูจน์เต๋าสุก ขอเพียงเขาเข้าไป ด้วยอุบาย สติปัญญาและกำลังรบเขาจะมีโอกาสได้ผลเต๋ามาสูงยิ่ง หากได้ผลเต๋ามาแล้วกินเข้าไป เขาจะบรรลุเต๋าสูงศักดิ์!” กู่ไท่พูดเสียงเบาด้วยแววตาเฝ้ารอคอย

“อีกอย่าง เขายังมีตราประทับนั่น ทั้งแคว้นกู่จั้ง พูดได้ว่านี่เป็นตราประทับวิชาอภินิหารที่น่ากลัวอย่างยิ่ง…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด