Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา 1450

Now you are reading Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา Chapter 1450 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
สำนักเต๋ากู่จั้ง

ฟ้าชั้นเก้า จุดสูงสุดของมิติชั้นสอง ยืนอยู่ตรงนี้เงยหน้าขึ้นมองไป ข้างบนไม่มีฟ้า มีเพียงมวลอากาศไร้พรมแดน มวลอากาศนี้ยังเหมือนกับความกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ช่วงที่ซูหมิงมองไปจะเกิดความรู้สึกใจลอยอย่างหนึ่ง

นอกความกว้างใหญ่ไพศาลก็เป็นต้นไม้โบราณที่เติบโตขึ้นมาอยู่ฟ้าชั้นเก้า ต้นไม้แข็งและแก่ ตั้งตระหง่านจากบนพื้นดินฟ้าชั้นเก้าขึ้นไปในมวลอากาศข้างบน มองไม่เห็นสุดปลาย เห็นเพียงลำต้นยักษ์ที่เหมือนค้ำยันความกว้างใหญ่และแผ่นดิน!

ความใหญ่ของมันยากจะบรรยาย บนฟ้าชั้นเก้า ใต้ต้นไม้นี้มีแท่นบวงสรวงแห่งหนึ่ง มันมีขั้นบันไดพันขั้น เดิมทีเป็นวัตถุขนาดใหญ่ แต่ด้วยความที่อยู่ใต้ต้นไม้โบราณจึงดูเล็กลงมาก ให้ความรู้สึกเหมือนกับแมงเม่าพยายามจะเขย่าต้นไม้

พริบตาที่เห็นแท่นบวงสรวงนี้ ซูหมิงไม่หยุดแม้แต่น้อย แต่ขยับวูบไหวขึ้นแท่นบวงสรวงไป แทบเป็นทันทีที่ร่างเงาเขามาอยู่บนแท่น องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองปรากฏกายขึ้นข้างหลัง สองคนนี้มีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง โดยเฉพาะองค์ชายรองที่มีสีหน้าจริงจังเผยจิตสังหารรุนแรงถึงขีดสุด

เขาคิดว่าทุกอย่างควรเป็นของเขา มิใช่องค์ชายสาม คิดว่าเขาต่างหากที่เป็นชาวประมงที่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่นกกระสาหรือหอยที่แก่งแย่งกัน!

“เจ้ารนหาที่ตาย!” องค์ชายรองคำรามเสียงดังก่อนพุ่งไปหาซูหมิง องค์ชายใหญ่นัยน์ตาเผยจิตสังหารเหลือล้นเช่นกัน แต่เทียบกับซูหมิงแล้ว เขาแค้นน้องรองของตนมากกว่า เพราะในมุมมองเขา หากไม่ใช่เพราะองค์ชายรองมาก่อกวนตน ตนคงสำเร็จไปนานแล้ว

ยามนี่แม้จะพุ่งออกไปเช่นกัน แต่จิตสังหารมุ่งไปที่องค์ชายรองมากกว่า

พริบตาที่สองคนกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังแท่นบวงสรวงที่ซูหมิงอยู่ด้วยความเร็วสูงสุด ซูหมิงยืนอยู่บนแท่นบวงสรวง ยกมือขวาขึ้น กดแผ่นหยกในมือขวาบนต้นไม้โบราณหินบนแท่นบวงสรวงพันชั้น!

ต้นไม้หินนี้ไม่อาจเทียบได้กับต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าข้างๆ แต่ก็มีความสูงหลายร้อยจั้ง ยามนี้หินในตัวมันหายไปทั้งหมด ทำให้มันฟื้นกลับมาเป็นปกติในพริบตา ขณะที่องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเข้ามาใกล้และขึ้นมาบนแท่นบวงสรวงนั้น ลำแสงยักษ์พลันปะทุบนแท่นบวงสรวงขึ้นไปบนฟ้า พริบตาเดียวก็เข้าไปในมวลอากาศ เหมือนจะประชันความสูงกับต้นไม้สูงเทียมฟ้า!

ทันทีที่ลำแสงพุ่งขึ้นไป พลังที่ผู้ฝึกฌานไม่อาจต่อต้านพลันปะทุออกมาเป็นปราการไร้รูปตรงหน้าองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรอง ช่วงที่สะท้อนร่างสองคนนี้ถอยไปนั้น สองคนกระอักเลือด ระหว่างถอยก็เห็นซูหมิงที่ยามนี้หันกลับมามองพวกเขาสองคนอย่างเฉยชา

ซูหมิงอยู่ในลำแสง เมื่อลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า กลิ่นอายพลังเท่ากับเปิดแท่นบวงสรวงหนึ่งพันแห่งวนเวียนรอบตัวเขา หลอมรวมเข้าไปในร่างกาย ทำให้พลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังทำให้วิญญาณเต๋าในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้ว…ปรากฏเงามายาที่ห้า

แม้จะเป็นเงามายา แต่ขอเพียงสมจริงขึ้นจะทำให้ขั้นพลังเขาบรรลุวิญญาณเต๋าขั้นห้า เพียงแต่ว่าแม้พลังจากแท่นบวงสรวงพันแห่งนี้จะมีมาก แต่ก็ยังไม่อาจรวมเป็นวิญญาณเต๋าขั้นห้าได้ ทำได้เพียงเกิดเงามายาอย่างตอนนี้

ขณะเดียวกันเมื่อเปิดแท่นบวงสรวงแล้ว บนฟ้าชั้นแปดดังก้องไปด้วยเสียงหัวเราะของกู่ไท่อย่างยิ่ง แม้เขาจะไม่เห็นภาพบนฟ้าชั้นเก้า ทว่าตอนนี้ระลอกคลื่นจากมิติชั้นสองกลับไม่ได้รบกวนผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราแม้แต่น้อย คนที่นี่ต่างก็ไม่ได้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าย่อมมองออกในแวบเดียวว่าใคร…ที่เปิดแท่นบวงสรวงบนฟ้าชั้นเก้า!

“สำนักเอกะเต๋า ฝ่ายอสุรา เป็นการแข่งขันที่ดี!” ช่วงที่เสียงหัวเราะกู่ไท่ดังกังวาน ชายชราสำนักเอกะเต๋ากับหญิงชราฝ่ายอสุรามีสีหน้าย่ำแย่นั้น ภายในมวลอากาศกว้างใหญ่บนฟ้าชั้นเก้า เมื่อลำแสงพุ่งขึ้นไปก็เริ่มปรากฏน้ำวนยักษ์ขึ้น น้ำวนนี้หมุนวนรอบต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังเผยเป็นสภาพต้นไม้โบราณที่จมอยู่ข้างใน ถ้าเงยหน้าขึ้นจะเห็นจุดที่เดิมทีไม่บดบังเอาไว้ นั่นเต็มไปด้วยรอยบาดแผลน่าตกใจ ทั้งยังมีรอยแตกไม่น้อย

ต้นไม้โบราณนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบาดเจ็บสาหัส แต่กลับมีพลังชีวิตเข้มข้นถึงขีดสุดจนยากจะบรรยายวนเวียนไปตามน้ำวนบนต้นไม้ แผ่กระจายออกมา อีกทั้งด้วยความที่พลังชีวิตทรงพลังจึงก่อเป็นแรงกดดันทำให้ผู้ฝึกฌานในมิติชั้นสอง กระทั่งชั้นหนึ่งสัมผัสได้อย่างรุนแรง

ขณะเดียวกันภายในน้ำวนที่หมุนวนรอบต้นไม้โบราณนี้ยังส่งแรงดูดรุนแรงออกมา แรงดูดที่ว่าส่งมาที่แท่นบวงสรวงที่ซูหมิงอยู่โดยเฉพาะ ส่งผลให้ซูหมิงในนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้าไปในลำแสงแท่นบวงสรวงภายใต้สายตาเหี้ยมเกรียมจากองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรอง ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งตามน้ำวนขึ้นไปยังมวลอากาศ

ที่นั่นคือมิติชั้นสาม!

แทบเป็นทันทีที่ร่างเงาซูหมิงหายไปในน้ำวน ตอนนี้ศิษย์ที่ถูกเลือกให้เข้าชั้นสามสิบกว่าคนแห่งสำนักเจ็ดจันทราที่ตอนนี้กำลังขึ้นต้นไม้โบราณระหว่างชั้นแปดกับชั้นเก้าต่างถูกแรงดูดวนเวียนรอบๆ พริบตาเดียวก็ถูกดึงขึ้นจากต้นไม้เข้าไปในฟ้าชั้นเก้า จากนั้นเป็นสายรุ้งยาวขึ้นไปยังน้ำวน

จนกระทั่งเมื่อศิษย์สำนักเจ็ดจันทราหายไปหมดแล้ว องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองแทบจะพุ่งไปยังลำแสงนั้นพร้อมๆ กัน ครั้งนี้พวกเขาไม่ถูกสะท้อนกลับ แต่รออยู่ในนั้นราวหลายสิบลมหายใจแล้วร่างเงาพวกเขาถึงถูกดูดเข้าไปในน้ำวนบนฟ้า จากนั้น…ถึงเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกจากในสองสำนักพวกเขา!

“ยังเร็วไปที่จะตัดสินแพ้ชนะ” ในฝ่ายอสุรากลางฟ้าดินมืดหม่น มีที่ราบมหึมาแห่งหนึ่ง โดยรอบที่ราบมีรูปปั้นยักษ์เก้ารูป ทุกรูปล้วนเหมือนกับผีร้าย มีสองเขา ทั่วร่างเป็นสีดำ เหมือนกับองค์ชายรองหลังขยายร่างแล้วทุกประการ

ตรงหัวรูปปั้นเก้ารูปนี้มีผู้ฝึกฌานนั่งอยู่ เป็นชายชราหน้าตาแก่ชราเก้าคน คนที่กล่าวเป็นหนึ่งในนั้น

ตรงกลางรูปปั้นเก้ารูปเป็นดินเลน ยามนี้ในดินเลนมีฟองอากาศลอยขึ้น เมื่อฟองอากาศแตกออกจะมีหมอกควันสีแดงแผ่กระจาย อีกทั้งในดินเลนยังมีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

ร่างเงานั้นมองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ทั่วร่างถูกจมอยู่กลางดินเลน แบ่งแยกอายุและพลังไม่ออก และก็มองไม่เห็นใบหน้า เพราะว่า…ร่างเงานี้ไม่มีหัว!

“ฝ่ายอสุราเราจะต้องได้ผลพิสูจน์เต๋าในครั้งนี้มาอย่างแน่นอน มีหุ่นเชิดนี้คอยช่วยอยู่ องค์ชายรองจะต้องสำเร็จแน่ ต่อให้ไม่ได้เข้ามิติชั้นสามเป็นคนแรกก็ยังกุมความได้เปรียบไว้มากอยู่” อีกคนในเก้าคนกล่าวเรียบๆ

“ไม่ผิด ศพไร้หัวนี้ บรรพบุรุษซิวหลัวของเราออกไปข้างนอกไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใด มันมีพลังน่าตกใจเช่นนี้ ตามการคาดการณ์ของบรรพบุรุษแล้ว นั่นคือพลังเทียบเท่ากับสามโลก พูดได้ว่าในตัวคนนี้มีพลังของโลกสามใบ!”

“บรรพบุรุษซิวหลัวหลอมมันจนถึงตอนนี้ กระทั่งโชคดีที่มหาเต๋าสูงศักดิ์อวิ๋นเยวี่ยเสียสละ ยอมแบ่งวิญญาณเข้าไปในร่างนี้ ทำให้ทุกด้านของมันยกระดับขึ้นเทียบเท่ามหาเต๋าสูงศักดิ์ กดขี่อยู่เหนือเต๋าสูงศักดิ์ทุกคน แม้จะเป็นหุ่นเชิด แต่ก็เป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์คนที่สามต่อจากผู้อาวุโสจี้ชิงหานกับอวิ๋นเยวี่ยแห่งฝ่ายอสุรา!”

“เอาล่ะ พวกเราต้องใช้พลังแล้ว ให้องค์ชายรองเป็นตัวเหนี่ยวนำ มหาเต๋าสูงศักดิ์อวิ๋นเยวี่ยกับชิงหานคอยสนับสนุน เตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายเขาไปยังมิติที่สามทุกเมื่อ!” เมื่อสิ้นเสียงเก้าคน แต่ละคนต่างหลับตาลง รูปปั้นเก้ารูปใต้ร่างพลันเปล่งแสงหม่นหลอมรวมเข้าไปในดินเลน ทำให้ในดินเลนปรากฏอักขระขึ้นจำนวนมาก แม้แต่ควันสีแดงที่ลอยขึ้นยังแฝงไว้ด้วยอักขระ

ขณะเดียวกันภายในสำนักเอกะเต๋าก็มีเสียงคล้ายๆ กันดังก้องเรียบๆ

“การแย่งชิงผลพิสูจน์เต๋า โดยเฉพาะช่วงชิงบัลลังก์ สิ่งที่ต้องการไม่ใช่พลังของผู้ฝึกฌานบางส่วนอีก แต่เป็นศักยภาพโดยรวมของสำนัก”

ในสำนักเอกะเต๋า ในฟ้าดินที่เหมือนถูกแยกออกมา มีรูปปั้นยักษ์สามรูปล้อมรอบสามทิศทาง บนรูปปั้นที่สองในนั้น ภายในรอยแตกนับไม่ถ้วนที่เหมือนทำให้รูปปั้นนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ ยามนี้มีแสงขยับวูบวาบ

“มหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่อาจเข้ามิติชั้นสามได้ นี่คือส่วนหนึ่งของกฎ แผ่นดินกู่จั้งกำหนดกฏนี้ไว้ด้วยตัวเอง แม้ไม่รู้ว่ากำหนดไว้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลของมันอยู่…

แต่ว่ามหาจักรพรรดิกู่จั้งสิ้นพระชนม์ไปนานมากแล้ว การคงอยู่ของกฏจึงกลายเป็นการรวมดวงชะตาของสายเลือดจักรพรรดิ ทำให้กฏนี้คงอยู่มาแต่โบราณ…ทว่าก็เกิดช่องโหว่เพราะเหตุนี้เช่นกัน

เราใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้ ให้มหาเต๋าสูงศักดิ์ไปเยือนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นี่จะทำให้สำนักเอกะเต๋าของเราได้ชัยชนะในการแย่งชิงแห่งพิสูจน์เต๋าอย่างแน่นอน!

เพราะว่า…สิ่งที่สำนักเอกะเต๋าเราปฏิบัติตามกันมาคือวิชาแห่งดวงชะตาที่เหมือนกับสายเลือดจักรพรรดิ เพราะว่าผู้สร้างสำนักเอกะเต๋าของเราก็คือ…มหาจักรพรรดิกู่จั้ง!” เสียงนี้แฝงไว้ด้วยแรงกดดันสูงสุด ช่วงที่ดังก้องยังทำให้ทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้าเกิดรอยแยกเหลือคณานับ ในรอยแยกมีสายฟ้าตัดผ่าน สายฟ้ามากมายส่องสะท้อนโลกนี้ ช่วงที่ส่องสว่างโลกนี้ยังเผยใบหน้ารูปปั้นยักษ์สามรูปที่ตั้งตระหง่านมาไม่รู้กี่ปี!

นั่นคือรูปปั้นที่ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามสูงสุด พวกเขาหน้าตาเหมือนกัน ถึงขั้นพูดได้ว่าพวกเขาคือคนเดียวกัน! นั่นคือ…มหาจักรพรรดิกู่จั้ง!

“สหายเซินมู่ สหายหลินตงตง ข้าออกจากสำนักเอกะเต๋าไม่ได้ บรรพบุรุษชื่อหยางปิดด่านนั่งฌานรบกวนไม่ได้ ตอนนี้เหลือเพียงพวกเจ้าสองคน…ใครจะไป?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นแซ่หลิน!” เสียงที่เหมือดังแว่วมาจากข้างนอกดังก้องในสำนักเอกะเต๋าเบาๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด