รัตติกาลไม่สิ้นแสง 269 มา “อีกแล้ว”

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 269 มา “อีกแล้ว” at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อความคิดนี้ผุดวาบขึ้น หลงเยว่หงก็ยกสองมือที่ถือปืนขึ้นมาเล็งไปยังพวกไป๋เซียวหลินถง

“อย่าเพิ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบขัดจังหวะการตอบสนองเพราะความตึงเครียดของเขา

ซางเจี้ยนเย่าถือโทรโข่งขึ้นมาถามต่อ

“ตอนนั้นที่พวกเราคุยกัน เป็นซากปรักเมืองไหน คุยกันด้วยท่าทางยังไง ยืนคุยหรือนอนคุย”

นักล่าซากอารยะทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างรถยนต์วิบากนิ่งเงียบไป

จากนั้นร่างพวกเขาค่อยๆ อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับรถทั้งคัน

“เป็นภาพลวงตาจริงด้วย!” ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่ดี

ภาพลวงตาทีมไป๋เซียวเมื่อครู่นี้สมจริงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอากัปกิริยาท่าทาง การกระทำคำพูด ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากของจริงแม้แต่น้อย

หากไม่ใช่เพราะ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้รับข้อมูลสำคัญมาก่อนหน้านี้และเตรียมแผนรับมือเอาไว้ ใช้เรื่องที่มีเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่รู้เอามาตั้งคำถามเพื่อยืนยันตัวตน ป่านนี้ก็คงถูกหลอกไปเรียบร้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดพึมพำกับตัวเอง

“พวกเขาทุกคนมีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ…”

“หรือว่าเป็นตัวจริง” หลงเยว่หงพบว่ายิ่งทีก็ยิ่งทำใจเชื่อลำบากขึ้นทุกขณะ

ณ เวลานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่หัวหน้าทีมถึงได้หยุดตนเองไว้

นั่นเป็นเพราะว่าพวกไป๋เซียวหลินถงอาจจะเป็นตัวจริงแต่ถูกบิดเบือนด้านการได้ยินจนหูฝาดจึงตอบคำถามผิด จนทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นตัวปลอม

หากตอนนั้นลั่นไกออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นการฆ่าคนบริสุทธิ์หรือไม่ แต่มันจะชักนำให้เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายแน่นอน นั่นก็เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน

‘การยืนยันตัวตน’ นั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ แต่ไม่สามารถฟันธงได้ว่าต้องเป็นตัวปลอมแน่ๆ นั่นคือหากคำตอบถูกต้องก็คือตัวจริง แต่ตอบ ‘ผิด’ ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นตัวปลอม

เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า

“ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

เมื่อเห็นหลงเยว่หงยังคงงุนงง ซางเจี้ยนเย่าที่ถือโทรโข่งก็ช่วย ‘อธิบาย’ ให้เขาฟัง

“ข้อมูลรั่วไหล!”

เขามีสีหน้าเจ็บปวด

“หัวหน้า… ความหมายของคุณก็คือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นได้ผ่านประสบการณ์เมื่อคืนนี้มา จึงเริ่มเข้าใจวิธีการสร้างภาพหลอนที่มีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพเพื่อชดเชยรายละเอียดของตัวปลอมอย่างนั้นใช่ไหม”

ไหนก่อนหน้านี้บอกว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นใกล้เคียงกับสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์ไง

เขา… เขายังพัฒนาได้อีกเหรอเนี่ย

เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ความเป็นไปได้ในแง่นี้ค่อนข้างต่ำมาก เมื่อคืนฉันไม่ได้ใช้ความสามารถเรื่องนี้เพื่อคุกคามเขา ใช้เพียงแค่เพิ่มความระวังให้ตัวเองเท่านั้น เขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้จากอากาศได้แน่”

ไป๋เฉินพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา

“บางทีตอนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นสร้างภาพลวงตาขึ้นมา จะใช้การอ้างอิงจากต้นฉบับ ถ้าต้นฉบับมีจิตสำนึกของมนุษย์ ภาพลวงตาก็มีจิตสำนึกของมนุษย์ ถ้าต้นฉบับมีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ ภาพลวงตาก็มีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพด้วย”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าตบมือ

เขาใช้กิริยานี้เพื่อแสดงความเห็นด้วย

ปกติแล้วไป๋เฉินไม่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้จึงรู้สึกอึดอัดไปพักหนึ่ง และเริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงหัวอกของหัวหน้าทีมในยามที่ต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ว่าทำไมเธอถึงตอบสนองด้วยท่าทีฉุนเฉียวระคนขบขัน

“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ “นี่ก็เป็นไปได้จริงๆ ว่าเขาเพิ่งจะลอกเลียนเรื่องนี้ขึ้นมา ทำขึ้นเพราะรู้ว่ามีอย่างนั้นแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอย่างนั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในด้านภาพลวงตานี้เขานับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าเจ้าอารามโจวมากนัก”

ก่อนหน้านี้เธอเคยแสดงความเห็นว่าภาพลวงตาที่โจวเยว่สร้างขึ้นนั้นค่อนข้างหยาบ ไม่มีทั้งจิตสำนึกของมนุษย์ และไม่มีทั้งสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ

พูดแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็เสริมอีกประโยค

“มาดูกันต่อว่าเขาจะสามารถบิดเบือนสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยของตัวเองได้ไหม”

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เธอตระหนักได้ว่าไม่อาจพึ่งพาการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ ได้อีกแล้ว

ระหว่างที่คนทั้งสี่พูดคุยกันอยู่ก็มีรถยนต์อีกคันแล่นออกมาจากภูเขา

มันเป็นสีน้ำเงินเข้มตลอดทั้งคัน เสริมแผ่นโลหะกันกระสุน ยกแชสซีสูง ยางขนาดใหญ่

นี่คือรถยนต์วิบากของทีมไป๋เซียว

มันมา ‘อีกแล้ว’

หลงเยว่หงรู้สึกปวดขมับเมื่อเห็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่านั่นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่

เขาสวมแว่นมองกลางคืน ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ

ณ ขณะนี้เข้าสู่ย่ำค่ำแล้ว แทบไม่มีแสงสว่าง แต่ก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้แว่นมองกลางคืนเช่นกัน หลงเยว่หงเพียงต้องการใช้ฟังก์ชันบางอย่างของมันเท่านั้นเอง

แล้วรถยนต์วิบากคันนั้นก็มาจอดอยู่ด้านหน้ากระจกเต็มตัวสองบาน

ซางเจี้ยนเย่าถือโทรโข่งพูดทักทายอย่างคึกคักกระตือรือร้น

“สวัสดีคุณไป๋เซียว หลินถง เหลย จางเส้าเผิง”

“ทำไมนายต้องเรียกชื่อออกมาจนครบทุกคนด้วย” หลงเยว่หงอดพึมพำไม่ได้

“เป็นมารยาทไง” ซางเจี้ยนเย่าลดโทรโข่งลงแล้วตอบเขาอย่างจริงจัง

“แต่นี่อาจจะไม่ใช่ชื่อจริงก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนตอกกลับซางเจี้ยนเย่า

“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม”

ในตอนนี้ไป๋เซียวที่กะโหลกครึ่งเสี้ยวถูกดัดแปลงก้าวลงมาจากรถแล้ว เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คุณรู้ชื่อเราได้ยังไง”

เขาจำไม่ได้ว่าในการพบกันครั้งก่อนได้มีการแลกเปลี่ยนชื่อระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วย

“คนบนภูย่อมมีญาณรู้การณ์ล่วงหน้า” ซางเจี้ยนเย่าพูดประโยคที่ไม่ทราบว่าไปหัดมาจากที่ใด

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบ ‘แก้ไขสถานการณ์’

“เมื่อกี้พวกคุณเพิ่งจะมาน่ะ”

“คุณจะบอกว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นสร้างภาพลวงตาของพวกเรางั้นเหรอ” หลินถงหญิงสาวผู้อ่อนโยนลงจากรถตามมา

ด้านหลังเธอนั้น เหลยกับจางเส้าเผิงถืออาวุธยืนคุ้มกันรอบทิศ

เจี่ยงไป๋เหมียนใช้โทรโข่งตอบกลับ

“ใช่ ดีที่เราใช้สิ่งที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้มาตั้งคำถามเพื่อแยกแยะจริงเท็จ”

ไป๋เซียวได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะเบาๆ

“พวกคุณเองก็มีข้อมูลไม่น้อยเหมือนกัน”

พวกเขาเองก็รู้เกี่ยวกับพลังการสร้างภาพหลอนของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเช่นกัน และเริ่มใช้วิธี ‘พิสูจน์ตัวตน’

“เป้าหมายเข้ามาจู่โจมทาร์นันเมื่อคืน” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างรวบรัด “เอาล่ะ ขอให้พวกคุณยอมรับการ ‘พิสูจน์ตัวตน’ ด้วย”

“ไม่มีปัญหา” หลินถงแสดงทีท่าว่าเข้าใจ

“ก่อนหน้านี้พวกเราคุยอะไรกันที่แหล่งน้ำสุดท้ายในภูชีลาร์” ซางเจี้ยนเย่าถือโทรโข่ง ใช้คำถามที่ถามไปก่อนหน้านี้

ไป๋เซียวส่ายหน้า

“ไม่ได้คุยกัน เพียงแค่เตือนพวกคุณให้รู้ว่าที่ภูเขาตะวันตกเฉียงใต้มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ปรากฏตัวขึ้น”

“ปิ๊งป่อง ยินดีด้วย พวกคุณตอบถูก!” ซางเจี้ยนเย่าตอบผ่านโทรโข่ง

หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างกัน รวมถึงว่าระหว่างทางยังมีกับระเบิดและหลุมดักโรยตะปูอีกไม่รู้ว่ามากน้อยเพียงใดขวางกั้นอยู่ เขาคงจะเดินตรงเข้าไปจับมือกับทีมที่อยู่เบื้องหน้าเป็นรายคนไปแล้วแน่นอน

เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามต่อ

“พวกคุณ ‘พิสูจน์ตัวตน’ ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

“ชั่วโมงที่แล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็อยู่ในรถมาตลอด รถเองก็ไม่ได้จอดสักครั้ง” ไป๋เซียวที่สะพายดาบตรงไว้กลางหลัง ดวงตาขวามีสีม่วงแดงแปลกประหลาดตอบอย่างมีน้ำอดน้ำทน

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างจริงใจ

“รบกวนให้คุณช่วย ‘พิสูจน์ตัวตน’ กับพวกเขาอีกครั้ง เสร็จแล้วก็ไปยืนมองหน้ากระจกด้วย”

ไป๋เซียวหันกลับไปพูดกับหลินถง เหลย และจางเส้าเผิง

เพียงไม่นานเขาก็ตะโกนบอกผลลัพธ์

“ไม่มีปัญหา”

จากนั้นเขาก็เดินไปยังกระจกเต็มตัวสองบาน ยืนส่องกระจกกันตามลำดับ

ในระหว่างนี้หลินถงกับเหลยก็ถือโอกาสจัดแต่งทรงผมไปด้วย

นี่ทำให้หลงเยว่หงถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ

ภาพลวงตาที่สร้างโดย ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นก็ทำกิริยาแบบนี้เหมือนกัน!

เขาสังเกตเป้าหมาย ใส่ใจทุกรายละเอียด ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่ไม่มีสมอง

“พอแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก แล้วถามขึ้น “พวกคุณสืบเจออะไรบ้างไหม”

ไป๋เซียวเหมือนมีโทรโข่งเป็นของตัวเองติดตั้งไว้ในตัว ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงตะโกนมากนัก เสียงก็เดินทางเข้าหูพวกซางเจี้ยนเย่าอย่างชัดเจน

“พวกเราหลงทางมาตั้งนานแล้วล่ะ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์อะไรก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น

“นี่น่าจะเป็นพลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่น”

“ต่อมาพวกเราก็เจอทางกลับ และพบว่ารถเราจอดอยู่ใกล้ริมหน้าผาจนแทบจะร่วงอยู่รอมร่อ ถ้าหากตอนนั้นพวกเราทำสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่จัดคนให้สำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระวังที่สุด ป่านนี้คงตายหมดเกลี้ยงทั้งคันแล้วล่ะ”

เขาอธิบายเรื่องราวออกมาได้อย่างกระจ่างชัด

ภูเขานี่อันตรายมากกว่าในเมืองจริงๆ เป็นชัยภูมิที่เหมาะมากสำหรับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ จากนั้นก็พูดอย่างครุ่นคิด

“คงไม่ใช่ว่าพวกยามจักรกลกับหุ่นผู้ช่วยนั่นตกหน้าผาลงไปหรอกนะ”

เธอเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีวิถีชีวิตที่ชอบทำสิ่งที่ตนคุ้นชิน อะไรที่ทำแล้วประสบผลสำเร็จก็จะทำเช่นนั้นซ้ำๆ

ไป๋เซียวแปลกใจเล็กน้อยแล้วรีบสะกดสีหน้า

“ใช่แล้วล่ะ

“เราเจอร่องรอยบางอย่างซึ่งยืนยันได้ว่าเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากพวกหุ่นยนต์ตกหน้าผาไป

“อืม… พวกมันคงจะเปิดใช้เครื่องเจ็ตเพื่อพยายามช่วยตัวเองแหละ แต่การตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางถูกบิดเบือน ก็เลยพุ่งใส่ภูเขาจนระเบิด”

“ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมพวกมัน” ซางเจี้ยนเย่าเต้นชักกระตุกด้วยความสงสาร

เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกไป๋เซียวหลินถงก็สบตากัน แล้วผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

พวกเขาตัดสินว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสาวก ‘นิกายเตาหลอม’ ผู้ศรัทธาแห่ง ‘ทวารแผดเผา’

นี่เป็นเพราะพิธีการเต้น ‘ระบำคลั่ง’ นั้นแตกต่างไปจาก ‘นิกายเตาหลอม’ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าดิ้นเหมือนถูกน้ำร้อนลวก

หลังจากการแลกเปลี่ยนอย่างรวบรัดจบลง ไป๋เซียวก็เอ่ยปากถาม

“พวกเราผ่านไปได้แล้วหรือยัง”

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม ชี้ไปยังป้ายไม้ที่อยู่ข้างกาย

“ดูนั่นก่อน”

เมื่อพวกของไป๋เซียวหลินถงมองตามทิศทางที่เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ก็พลันเห็นป้ายไม้แผ่นหนึ่ง

‘ถนนสายนี้ห้ามผ่าน กรุณาเข้าเมืองทางประตูตะวันออกเฉียงเหนือ’

หลินถงงุนงง

“งั้นทำไมเมื่อกี้ถึงคุยอะไรเยอะแยะล่ะ”

สัญชาตญาณของมืออาชีพสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพูดในใจ

จากนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ต้องรอให้พวกคุณพิสูจน์ตัวตนเสียก่อนถึงจะบอกเรื่องนี้ให้ฟังได้น่ะ

“คือ… ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวการมองส่องกระจก”

“ส่องกระจก…” หลินถงมองดูกระจกเต็มตัวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่รู้ตัว เผยสีหน้าครุ่นคิด

ตัวเธอ ไป๋เซียว เหลย จางเส้าเผิง ต่างก็ไม่ได้ถามว่าทำไม

ไป๋เซียวเอ่ยขอบคุณในนามของทีม

จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รั้งรออยู่อีก กลับขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังทางแยกเข้าเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทาร์นัน

“แปลกแฮะ คำตอบพวกเขาไม่ได้ถูกบิดเบือน เลยทำให้พวกเราแยกแยะจริงเท็จได้อย่างง่ายดาย…” หลังจากมองส่งรถยนต์วิบากสีน้ำเงินเข้มแล่นจากไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็พึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย

ไป๋เฉินขบคิดแล้วพูดขึ้น

“บางที ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นอาจเปลี่ยนจุดที่จะบุกฝ่าเข้าเมืองละมั้ง”

เขาก็เลยไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว

“เขามีจิตมุ่งมั่นเอาชนะอย่างแรงกล้ามาก” ซางเจี้ยนเย่าได้ยินเช่นนั้นก็ทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่ง

จิตมุ่งมั่นเอาชนะงั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะครู่หนึ่ง คิดจะตอบกลับไปว่า ‘เขาไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่าสักหน่อย’ จากนั้นก็ค่อยโทรหาพวกโจวเยว่เพื่อจะเตือนให้พวกเขาระวังตัวให้มากขึ้น

แต่แล้วในตอนนี้ในใจเธอก็บังเกิดคำถามสำคัญผุดวาบขึ้นมาทันที

ทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่น ถึงต้องดึงดันจะเข้าไปในทาร์นันให้ได้ด้วยล่ะ

การ ‘ล่า’ ครั้งก่อนก็น่าจะทำให้เขาอิ่มท้องไปได้หลายวันแล้วนี่นา!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด