รัตติกาลไม่สิ้นแสง 307 ความจริงในอดีต

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 307 ความจริงในอดีต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 307 ความจริงในอดีต

ภายในห้องดิมาร์โก้ที่ถูกโจมตีมาแล้วสองระลอก

ประกายไฟฟ้าที่มือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งทีก็ยิ่งพวยพุ่งออกมามากขึ้น แสงสว่างยิ่งทีก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นทุกขณะ

เปรี๊ยะ!

แล้วสายไฟฟ้าสีเงินกลุ่มนี้ก็ปะทุระเบิดออกมา กระจายไปทั่วทุกมุมห้อง

เส้นสายคลื่นไฟฟ้าถักทอเกี่ยวกันเป็นตาข่ายสวรรค์ ปกคลุมทั่วบริเวณ

สนามพลังไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ ที่ตอนแรกครอบคลุมทั่วทั้งห้องพลันปั่นป่วน ถูกตาข่ายสายฟ้านี้ฉีกกระชากแตกพ่ายสลายไป ราวกับหิมะขาวโพลนที่ถูกแสงแดดแผดเผา ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ความหนาวเย็นและมืดมนของที่แห่งนี้กลับอ่อนแรงลงไปไม่น้อย ไฟฉายที่อยู่ในมือของแต่ละคนไม่ได้มืดสลัวเหมือนก่อนหน้านี้อีก

แสงสายฟ้าอันเกรี้ยวกราดฟาดใส่ร่างหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน ทำให้พวกเขาถึงกับกระตุกเล็กน้อย มุมปากที่ยกขึ้นก็ลดลงไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่รอดพ้นจากการ ‘ถูกช็อต’ โดยไฟฟ้าที่กระจายอย่างไร้ทิศทางนี้เช่นกัน ขนหลังคอค่อยๆ ตั้งชูชันขึ้นมาทีละเส้นทีละเส้นๆ

ความดำมืดในดวงตาค่อยๆ มลายหายไป กลับคืนสู่ความเป็นปรกติอย่างช้าๆ

ในฐานะที่เป็นหุ่นยนต์โลหะ เกอนาวาย่อมต้องเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดูดซับไฟฟ้าจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อสรพิษสายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างเขา ทว่ามันกลับไม่เกิดอะไรขึ้น

นี่เป็นปัญหาที่พวกเขาพิจารณาไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไม่อย่างนั้น ‘คู่มือการทำงานของหุ่นสมองกลในต่างแดน’ ของ ‘สวรรค์จักรกล’ ก็คงไม่มีทางเขียนเนื้อหาเพิ่มลงไปอีกสองข้อว่า

‘ฝนตกฟ้าร้องอย่าออกไปข้างนอก’

‘ตอนฟ้าผ่าอย่ายืนใกล้มนุษย์ที่เป็นพื้นฐานคาร์บอน’

ในตอนนั้นที่ต่อสู้กับหุ่นสมองกล เจี่ยงไป๋เหมียนจะต้องเปิดแผ่นกั้นออกมาเสียก่อนถึงจะส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในจุดเชื่อมต่อหลักได้ จนส่งผลให้แหล่งจ่ายไฟของหุ่นควบคุมระเบียบเกิดการโอเวอร์โหลด

มุกราตรีเรืองแสงเขียวเหลืองในมือซางเจี้ยนเย่าก็ถูกกระแสไฟฟ้าเข้าไปสองสายจนสั่นไหวและไม่เสถียรอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็กลับคืนสู่สภาวะปรกติอย่างรวดเร็ว

* * * * *

บนเกาะที่มีแสงอาทิตย์ส่อง มีภูเขา มีสายน้ำ ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’

ร่างขนาดยักษ์ดั่งขุนเขาของดิมาร์โก้พร่าเลือนไปอย่างฉับพลันราวกับเป็นเงาสะท้อนบนผืนน้ำ มี ‘คลื่น’ สั่นกระเพื่อม บิดเบี้ยว แตกกระจาย และกลับมารวมตัวกันใหม่

จู่ๆ ออร่าของเขาก็อ่อนแรงลงไป ร่างกายหดย่อลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลับมาอยู่ในขนาดปรกติในพริบตา

ในขณะนี้พวกกองทัพซางเจี้ยนเย่าที่ถูกชิงประสาทสัมผัสทั้งห้าไป ต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมอย่างว่างเปล่าราวกับเป็นท่อนไม้

ดิมาร์โก้ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมีโอกาสหายใจและตอบโต้ เพ่งจิตแน่วแน่ยื่นมือขวาออกไป

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรง

“ถอนจิตสำนึก!”

ร่างซางเจี้ยนเย่าพร่าเลือนไปทีละคน สูญสลายหายไปจากเกาะราวกับเป็นเพียงฝันมายา

แต่ทว่ายังคงหลงเหลือซางเจี้ยนเย่าอีกแปดคนยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแค่เปลี่ยนจากภาพลวงตาไปเล็กน้อยกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิม

“นี่มัน…” ม่านตาดิมาร์โก้เบิกกว้าง

เขาถามตัวเองได้คำตอบว่าต่อให้ ‘ร่างอวตาร’ ถูกกระแสไฟฟ้าทำลายไปมากมายจนทำให้อ่อนแอลง แต่เป้าหมายเรื่องจิตสำนึกก็ไม่ควรจะ ‘ช่วงชิง’ ไม่สำเร็จ

พึงรู้ว่าระหว่างสองคนนี้ไม่ใช่เพียงแค่แตกต่างกันในเรื่องของระดับเท่านั้น ดิมาร์โก้เองก็ยัง ‘เพิกถอนประสาทสัมผัสทั้งห้า’ ของอีกฝ่ายด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายจะไม่เกิดความผิดพลาด

แต่ใครจะรู้ ผลลัพธ์นั้นกลับเกินความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง

ความล้มเหลวของการถอนจิตสำนึกยังส่งผลให้ผลกระทบก่อนหน้านี้สลายไปด้วย ซางเจี้ยนเย่าจึงกลับมามองเห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักบวชสีดำของโลกเก่าและสวมหมวกนุ่มแบบโบราณสีเดียวกันอีกครั้ง

พวกเขาหัวเราะออกมา และหนึ่งในนั้นก็เป็นตัวแทนพูดขึ้น

“แกนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดกำกวมอันคุ้นเคยนี้ ดิมาร์โก้ก็สว่างวาบ เข้าใจกระจ่างในทันที

ในสภาวะที่อ่อนแอเขาจึงไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านและโกรธเคืองได้อีกต่อไป เขาโพล่งออกมา

“ตอนที่พูดคุยก่อนหน้านี้ แกใช้พลังพิเศษกับฉันสินะ”

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าคนที่สะพายปืนบาซูก้าพูด “ฉันรู้ว่าพลังพิเศษของตัวเองคงจะส่งผลกับแกได้ไม่มาก ก็เลยต้องรีบใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ หวังว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ รวมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่มากขึ้น อยากให้ฉันพูดซ้ำอีกรอบไหมล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าสองคนที่ยกเปลหามอยู่เอ่ยปากพูดทีละคน

“การแสดงของแกนี่ไม่ไหวเอาซะเลย…

“ทำให้ดิมาร์โก้แต่ละร่างพูดไม่เหมือนกันไม่ได้หรือไง”

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมเสื้อคลุมสีขาวพูดสรุปสุดท้ายออกมา

“ดังนั้น…”

ดังนั้นจิตใต้สำนึกของดิมาร์โก้จึงเชื่อว่าตนเองนั้นไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนซางเจี้ยนเย่า เชื่อว่าตนเองไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการเผชิญหน้าด้วยจิตสำนึกล้วนๆ และการตระหนักรู้นั้น มันย่อมต้องส่งผลต่อความแข็งแกร่งของพลังพิเศษและอิทธิพลของพลังเป็นอย่างมาก

รอจนกระทั่งดิมาร์โก้ถูกผลกระทบจากโลกภายนอกจนทำให้อ่อนแอลงไป การตระหนักรู้จึงยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก

“แก!” ดูเหมือนดิมาร์โก้จะกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดขี้โมโหมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ซางเจี้ยนเย่าที่ถือปืนไรเฟิลจู่โจมคลี่ยิ้มออกมา

“ตอนนี้แกคงกำลังคิดอยู่สินะว่าไม่น่าจะเสียเวลาพูดคุยกับฉันเยอะแยะขนาดนั้น น่าจะออกแรงทุ่มสุดตัวเพื่อรีบกำจัดฉันทิ้งไปตั้งแต่แรกเลยใช่ไหมล่ะ”

เมื่อตอนที่ดิมาร์โก้เพิ่งจะเข้ามาในโลกจิตวิญญาณของซางเจี้ยนเย่า ย่างเท้าขึ้นมาบนเกาะ ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้ ‘คนไร้เหตุผล’ กับเขาทันที!

เพียงแต่ว่าด้วยช่องว่างความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ‘คนไร้เหตุผล’ เต็มพิกัดของซางเจี้ยนเย่าจึงทำได้เพียงแค่ทำให้ดิมาร์โก้เย่อหยิ่งมากขึ้น จองหองมากขึ้น อยากแสดงพลังของตนเองมากขึ้น

ครั้งนี้ดิมาร์โก้ไม่ได้แสดงความโกรธออกมาอีก แม้ว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยังคงคุกรุ่นอยู่ภายใน แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาบนสีหน้า มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น

“งั้นทำไมตอนนี้แกถึงได้พูดมากขนาดนี้ล่ะ

“ไม่รู้หรือไงว่าตอนที่จิตสำนึกของฉันฟื้นคืนกลับมาแล้วน่ะ จะแข็งแกร่งจนแกเทียบไม่ติดขนาดไหน”

ระหว่างที่สนทนากันอยู่ ความอ่อนแอบนร่างของดิมาร์โก้นั้นจางหายไปไม่น้อยแล้ว!

ซางเจี้ยนเย่าที่ถือลำโพงตัวเล็กตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ก็เพราะว่า… ฉันกำลังรออยู่ไงล่ะ!”

ทันใดนั้นในมือของเขาจู่ๆ ก็มีวงแสงสีเขียวเหลืองสว่างขึ้นมา มันควบแน่นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นไข่มุกราตรีขนาดเท่าตาปลา

ณ เวลานี้ ในอุ้งมือซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ในโลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้มีแสงเรืองออกมาอีกต่อไป หลงเหลือเพียงแค่ลูกแก้วธรรมดาเท่านั้น

ในเมื่อ ‘ออร่า’ ที่ได้รับมาจาก ‘ทางเดินแห่งจิต’ สามารถนำออกไปยังโลกแห่งความจริง หลอมรวมเข้ากับวัตถุและผสานเข้าด้วยกันได้ จึงย่อมสามารถนำกลับเข้ามาในโลกแห่งจิตวิญญาณได้เช่นกัน!

ในจุดนี้ซางเจี้ยนเย่าได้รับการยืนยันในเบื้องต้นแล้วเมื่อตอนที่ทำการค้นคว้าพลังของไข่มุกราตรี

เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าดิมาร์โก้ก็แสดงความประหลาดใจออกมาโดยไม่อำพราง

“นี่แกบ้าไปแล้วเรอะ

“ของแบบนี้ถ้าใช้ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ หรือเอาไปใช้ในโลกจริง อยากจะใช้ก็ใช้ไป มีใครที่ไหนเขาเอาออร่าของคนอื่นเข้ามาในโลกจิตสำนึกของตัวเองบ้าง ที่นี่เป็น ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ของแกเลยนะ เป็นเกาะจิตวิญญาณของแก ไม่กลัวว่าเจ้าของออร่าจะทวนกระแสเพื่อเข้ามาในนี้หรือไง”

ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังถือลำโพงตัวเล็กและไข่มุกราตรีเลิกคิ้ว

“จริงเหรอ ฉันไม่รู้น่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ดิมาร์โก้รู้สึกอยากกระอักเลือดออกมา โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในสภาวะของจิตสำนึก ไม่ได้มีร่างกายจริง

และทันทีหลังจากนั้นซางเจี้ยนเย่าซึ่งถือลำโพงตัวเล็กกับไข่มุกราตรีก็คลี่ยิ้มราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย

“แต่ในเมื่อแกก็เข้ามาแล้ว จะมีคนอื่นเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร” เหล่าบรรดาซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อมองเห็นรอยยิ้มหลากหลายรูปแบบจากใบหน้าเหล่านั้น ดิมาร์โก้ก็พลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจจะเสียสติไปแล้วจริงๆ ก็ได้

วินาทีถัดมาซางเจี้ยนเย่าซึ่งถือลำโพงตัวเล็กก็ป่นมุกราตรีสีเขียวเหลืองในมือ ปล่อยให้พลังที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นปะทุออกมาทั้งหมดโดยไม่สงวนเอาไว้แม้แต่น้อย

ทันใดนั้นทั่วทั้งเกาะจิตวิญญาณก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงเรืองสีเขียวเหลือง

เงาร่างดิมาร์โก้เองก็ถูกย้อมด้วยสีนี้ แล้วทันใดนั้นก็มีบานประตูปรากฏต่อหน้าเขาอย่างฉับพลัน

มันเป็นประตูมายาสีขาว แง้มเปิดเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่ได้เปิดออกโดยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้ปิดลงไปจนสนิท

ด้านหลังบานประตูคือความมืดมิดผืนหนึ่ง มีร่างผู้หญิงเลือนลางเฝ้ามองมาจากภายในความมืดมิดนั้น

ความหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกเข้าเกาะกุมจิตใจดิมาร์โก้จนทำให้เขากรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ

“ไม่!”

* * * * *

ภายในห้องของดิมาร์โก้

ด้วยการกระตุ้นของกระแสไฟฟ้าจึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง

แต่เธอยังรู้สึกได้ว่าจิตสำนึกที่ส่งผลต่อตนเองก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สลายไปจนหมดสิ้นอย่างสมบูรณ์ อาจกลับมาได้ทุกเมื่อ

ทว่านั่นไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เธอใช้ความคิด

เมื่อมีประสบการณ์จากเมื่อครู่นี้แล้วเธอก็เข้าใจเรื่องหนึ่งได้กระจ่าง…

คนที่ถูก ‘ทีมสำรวจเก่า’ สังหารด้วยการถล่มโจมตีไปสองระลอกนั้นเป็นลาร์ส คนรักของเลห์แมนจริงๆ แต่ก็เป็นเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ดิมาร์โก้ด้วย!

นี่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีสถานะชีวิตใกล้เคียงกับ ‘นิรันดร์กาล’!

เขาสามารถถอดจิตสำนึกตัวเองออกมาได้ แต่แทนที่จะอัปโหลดเข้าไปในชิปพิเศษกลายเป็นหลวงจีนจักรกล เขากลับเข้าสิงร่างคนอื่นเพื่อยึดครองได้!

ในตอนนี้เมื่อนึกย้อนถึงคำอธิบายจากพวกยามของนาวา เจี่ยงไป๋เหมียนก็เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกันจากอีกมุมหนึ่ง…

เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ก่อนหน้านี้ทุกคนอาจเป็นคนเดียวกัน เป็นสัตว์ประหลาดที่ตอนนี้มีชื่อว่าดิมาร์โก้!

ความพิเศษของเขามาจากพลังพิเศษผู้ตื่นรู้

การที่เจ้าของนาวาบาดาลแต่ละรุ่นนั้นมีคู่ครองจำนวนมาก ให้กำเนิดทายาทมากมาย สนับสนุนให้บรรดาผู้รับใช้และยามมีคู่ชีวิต แสดงออกถึงการรักถนอมชีวิตที่เกิดใหม่เป็นอย่างมาก สาเหตุเป็นเพราะต้องการอาศัยปริมาณมาร่อนตะแกรงคัดกรองร่างกายที่เหมาะสมต่อการครอบครอง และสิ่งนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่ถือกำเนิดจากความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเขา

หลังจากลูกคนสุดท้องเสียชีวิตไป สาเหตุที่จู่ๆ ดิมาร์โก้ก็คลั่งขึ้นมากะทันหัน โดยหลักๆ ก็น่าจะเป็นเพราะว่า… นอกเหนือไปจากเด็กคนนี้ ทั่วทั้งนาวาก็ไม่มีร่างที่เหมาะจะให้เขายึดครอง และด้วยเหตุนี้ทำให้ถึงแม้จะฝืนบังคับเข้าสิงยึดร่าง ก็จะใช้งานได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่งเท่านั้น และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าร่างที่เขาใช้อยู่ในขณะนั้นที่ชื่อว่าดิมาร์โก้เริ่มเสื่อมถอยแล้ว ใช้ได้อีกไม่นานเท่านั้น

เมื่อเริ่มเข้าสู่ทางตันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพฤติกรรมเกรี้ยวกราดคุ้มดีคุ้มร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับคิดจะให้พวกยามและคนรับใช้ที่เคยผ่านประสบการณ์มีลูกมาแล้วมาให้กำเนิดลูกของตัวเอง

ในเวลาต่อมา การปรากฏตัวของลาร์สทำให้ดิมาร์โก้มองเห็นความหวัง ไม่เพียงแต่เขาจะมีสีผมและสีตาเหมือนดิมาร์โก้เท่านั้น ทั้งยังมีร่างที่เหมาะสมเข้ากันได้เป็นอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ดิมาร์โก้ถึงได้สงบลง และหลังจากนั้นไม่นานภรรยาของดิมาร์โก้ก็ตั้งท้อง ให้กำเนิดชีวิตใหม่…

นี่เป็นการคาดเดาของเจี่ยงไป๋เหมียนโดยอิงจากประสบการณ์เมื่อครู่รวมเข้ากับสถานการณ์ในอดีต ซึ่งเป็นการคาดเดาที่สามารถอธิบายรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจนลงตัวจริงๆ

ในตอนนี้เกอนาวาเข้ามาใกล้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเล็กน้อย เตรียมทำให้พวกเขาหมดสติ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนอดทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้…

‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ของพวกเราประสบผลสำเร็จ แต่ก็เพียงแค่ปลิดชีพกายเนื้อของดิมาร์โก้เท่านั้น…

เดี๋ยวนะ ลาร์สตายแล้ว เด็กในท้องของภรรยาดิมาร์โก้ก็ยังไม่คลอด นี่ก็หมายความว่าตอนนี้เขายังไม่มีกายเนื้อที่สามารถสิงสู่ได้ ร่างจิตสำนึกของเขาอีกไม่นานก็จะสลายไป… แต่เขาก็ไม่ได้คลั่งขึ้นมา ไม่ได้แสดงความดุร้ายเกรี้ยวกราดเหมือนที่ยามนาวาบอกเอาไว้… อย่าบอกนะว่านอกจากลาร์สแล้วเขายังมีร่างอื่นที่เหมาะสมอยู่น่ะ หรือว่า… พวกเราคนใดคนหนึ่งสามารถรับบทบาทนี้ได้… ขณะที่ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังวิ่งพล่าน เธอก็หันขวับส่งสายตาไปมองที่ซางเจี้ยนเย่า

แล้วในตอนนี้เอง ซางเจี้ยนเย่าก็อ้าปากตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ไม่!”

ทันใดนั้นเงาร่างเลือนลางก็แยกออกมาจากตัวเขา ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมนักบวชสีดำจากโลกเก่า หมวกนุ่มแบบโบราณที่มีสีเดียวกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด