รัตติกาลไม่สิ้นแสง 60 คิดอย่างทำอย่าง

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 60 คิดอย่างทำอย่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตกลง”

“ได้สิ”

“ไม่มีปัญหา”

“ขึ้นรถมาเลย”

ทั้งไป๋เฉิน หลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียน และซางเจี้ยนเย่า ต่างก็ตอบรับอย่างไม่ลังเลแทบจะในเวลาเดียวกัน

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม กางเกงขายาว และสวมเสื้อเทรนช์โค้ทคลุมไว้ด้านนอก เดินอ้อมด้านหน้ารถมายังฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตู

เขายิ้มบางให้กับเจี่ยงไป๋เหมียน

“คุณนั่งเบาะหลังได้ไหม”

“ได้สิ คุณนั่งนี่ได้เลย เชิญ เชิญ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบลุกออกมายืนด้วยความกระตือรือร้นแล้วก้าวหลบไปด้านข้าง

หลังจากที่ชายคนนั้นปลดปืนไรเฟิลสีเงินซึ่งสะพายไว้กลางหลังลงมาและขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับแล้ว เธอก็ก้มตัวลงเล็กน้อย ยิ้มอย่างประจบประแจง

“ให้เรียกคุณว่ายังไงดีคะ”

บุรุษเรือนผมสีดำ นัยน์ตาสีทอง ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น

“เฉียวชู”

“ชื่อเพราะมากค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวคำชม

“เห็นชื่อคนอื่นไหมว่าเป็นยังไง แล้วดูชื่อนายสิ” ซางเจี้ยนเย่าหันหน้ามาหาหลงเยว่หงแล้วเหน็บแนมด้วยคำพูดหนึ่งประโยค

หลงเยว่หงไม่ได้ใส่ใจ และยอมรับตามนั้น

“อื้อ ใช่ ใช่”

ในระหว่างที่พวกเขากำลังชื่นชมกันอยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดประตูเบาะหลังแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“กระเถิบไปตรงกลางสิ”

แต่ก่อนจะพูดจบ เธอก็รีบเปลี่ยนคำพูดตัวเองทันที

“ไม่ดีกว่า นายลงมาก่อน เดี๋ยวฉันนั่งกลางเอง”

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าอิดออดไม่ยินยอม เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดสวนขึ้น

“ฉันเป็นหัวหน้าทีมนะ!”

ซางเจี้ยนเย่าลงจากรถอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่ยืนทำตาละห้อยมองเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าไปนั่งตรงกลางเบาะหลัง

หลังจากที่ได้ยินคำว่า ‘หัวหน้าทีม’ ในภาษาแดนธุลี ชายหนุ่มนามเฉียวชูผู้มีผมสีดำดวงตาสีทองก็หันศีรษะมาเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนโดยอัตโนมัติ

เจี่ยงไป๋เหมียนราวกับว่ากำลังรอช่วงเวลานาทีทองนี้อยู่ เมื่อดวงตาสองคู่สบประสาน เธอยิ้มหวานหยดย้อย

เฉียวชูไม่ได้พูดอะไร ละสายตากลับมาด้วยความเร็วที่ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ยอมแพ้ เอนกายไปด้านหน้าใช้มือหนึ่งท้าวคาง มองใบหน้าด้านข้างของเฉียวชูอย่างชื่นชม ไม่อาจละสายตาไปได้

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากลับเข้ามานั่งที่แล้ว เขาพบว่าตำแหน่งที่นั่งของเขาทำให้มองเห็นได้เพียงด้านหลังศีรษะของเฉียวชูเท่านั้น และยังถูกเบาะรองคอบังเอาไว้อีกด้วย ความผิดหวังจึงฉายอยู่บนใบหน้าเขาอย่างไม่อาจปกปิด

เฉียวชูมองดูสะพานเบื้องหน้าที่พังลงมา แล้วเปิดปากถามขึ้น

“พวกคุณมีอะไรให้กินบ้างไหม”

“มีสิ!” ไป๋เฉินรีบเอี้ยวตัวมาเปิดกล่องที่วางแขนอย่างรวดเร็ว

“มี มี มี!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบชักมือที่ท้าวคางกลับมาค้นอาหารในกระเป๋า ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงยืดตัวตรงเอี้ยวตัวไปท้ายรถเพื่อควานหาเนื้อย่างแดงกระป๋องมาให้เฉียวชู

ดังนั้นไป๋เฉินจึงย่อมเป็นคนแรกที่ยื่นบิสกิตอัดแข็งและธัญพืชอัดแท่งถุงเล็กๆ ให้กับเฉียวชูอย่างไม่ต้องสงสัย

“พอแล้วล่ะ พวกคุณก็กินสักหน่อยเถอะ กินมื้อเที่ยงกันแล้วก็ไม่ต้องนอนพัก[1] สลับกันขับต่อไปเรื่อยๆ” เฉียวชูรับอาหารมาแล้วก็สั่งราวกับตนเองเป็นหัวหน้าทีม แต่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครแย้ง

หลังจากกินบิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่ง และดื่มน้ำจากถุงน้ำแล้ว เฉียวชูก็วางข้าวของลง รออยู่ชั่วขณะหนึ่งก็หันไปพูดกับไป๋เฉิน

“ออกเดินทางกันได้แล้ว

“ขับไปทางเนินเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

“ได้” ไป๋เฉินซึ่งรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้วตอบรับเต็มปากเต็มคำ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากเขา

เฉียวชูยื่นมือซ้ายไปตบแขนขวาไป๋เฉินเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ

“ขับรถระวังหน่อยนะ”

“ทราบแล้ว!” ไป๋เฉินรู้สึกปลาบปลื้มยินดี เธอยืดตัวตรงแล้วสตาร์ทรถจี๊ปทันที

เฉียวชูหันไปมองที่นั่งด้านหลัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมจะพักสักหน่อย พวกคุณคอยระวังรอบข้างไว้นะ ไปถึงเนินเขาเมื่อไหร่ค่อยปลุกผม”

“ทราบแล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ตอบออกมาโดยพร้อมเพรียง

เฉียวชูหันหน้ากลับไปและไม่ได้พูดอะไรอีก

รอยยิ้มบนใบหน้าเขาปลาสนาการไปอย่างรวดเร็ว สายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาก็ล้วงเอากล่องสีฟ้าออกมาจากกระเป๋าและเปิดออก

ภายในกล่องมีกระจกเงาบานเล็กๆ

เฉียวชูจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ยกมือขวาขึ้นมาเสยแต่งทรงผมอย่างเป็นจริงเป็นจัง

หลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ค่อยๆ วางกล่องกระจกลง เอนศีรษะไปด้านหลังและหลับตาลง

จนกระทั่งเวลาเย็น รถจี๊ปก็กลับมาถึงเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหนูดำ ซึ่งในขณะนี้หน่วยที่ 23 ของหวังเป่ยเฉิงได้เคลื่อนพลจากไปนานแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ พากันกลายร่างเป็นนาฬิกาปลุก หันไปปลุกเฉียวชูโดยไม่ต้องให้มีใครเตือน

เฉียวชูมองดูท้องฟ้าที่มืดสลัว

“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ ตอนเช้าค่อยเดินทางไปต่อทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

“ทราบแล้ว” ไป๋เฉินพบจุดตั้งค่ายที่คุ้นเคยแล้วจอดรถ

จากนั้นคนทั้งสี่ก็รีบกุลีกุจอกางเต็นท์และก่อกองไฟ เสร็จแล้วก็ไปหยิบอาหารกระป๋องทหารสองสามกระป๋องจากท้ายรถ

“พวกคุณมีเสบียงเยอะมาก…” เฉียวชูที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูรถออกมา มองดูซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ กำลังเร่งมือกันวุ่นวาย

ไม่นานนักซางเจี้ยนเย่าก็วิ่งเหยาะๆ เสนอตัวเข้ามาถาม

“ผมจะไปเอาน้ำตรงนู้นนะ”

เฉียวชูมองไปตามทิศทางของแหล่งน้ำสะอาดที่ซางเจี้ยนเย่าชี้ไป

เขาคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตอบ

“ไม่ต้องหรอก น้ำที่เรามียังใช้ได้อีกหลายวัน”

“อืม อืม … กว่าอาหารกระป๋องจะร้อนก็ต้องรออีกพักนึง ผมร้องเพลงให้ฟังดีไหม” ซางเจี้ยนเย่าไม่ดึงดัน รีบถามต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“…” เฉียวชูใช้สายตาที่มีความสงสัยจ้องมองซางเจี้ยนเย่าอยู่สองวินาที “ไม่ต้อง”

“งั้นเป็นเต้นระบำฮาวายแทนไหม” ซางเจี้ยนเย่ายังถามต่อ

เฉียวชูขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูด

“ไม่ต้อง ผมอยากอยู่เงียบๆ อาหารร้อนเมื่อไหร่ค่อยเรียกผมแล้วกัน”

“ได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างกระตือรือร้น

พอเขาหันหลังเดินกลับไปที่กองไฟแล้ว เฉียวชูก็ล้วงกล่องพลาสติกสีฟ้าออกมาอีกครั้งและเปิดออก

ขณะที่มองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก สีหน้าเฉียวชูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ

“เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด…”

แล้วค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างเงียบสงบเช่นนี้เอง จากนั้นดวงอาทิตย์ก็ลอยสูงขึ้นมาอีกครั้งทางทิศตะวันออกของแดนร้างบึงดำ

เมื่อจัดการอาหารมื้อเช้ากันจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่มีการแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างลับๆ ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ใช้ความเป็นหัวหน้าทีมของเธอชิงตำแหน่งสารถีขับรถมาได้ ดังนั้นซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน จึงได้แต่ต้องนั่งเบียดกันอยู่ที่เบาะหลังอย่างไม่พอใจ

เฉียวชูพลิกข้อมือขึ้นมองดูนาฬิกาแมคคานิกส์[2] จากนั้นก็ใช้เข็มทิศบนหน้าปัดเพื่อกำหนดทิศทาง

“ขับไปทางนั้นเรื่อยๆ” เขาชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไร เธอขับรถจี๊ปอ้อมรอบเนินเขาก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่เฉียวชูชี้บอก

เมื่อเวลาผ่านไป ภูมิประเทศโดยรอบก็เริ่มราบเรียบมากขึ้น ผืนดินยิ่งทีก็ยิ่งกลายเป็นสีดำ และยิ่งทีก็ยิ่งอ่อนยุ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดสิ่งที่มองเห็นก็มีเพียงแค่โคลนเลน ถนนที่เป็นพื้นดินแข็งก็น้อยลงไปทุกที

นี่คือการมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของบึงน้ำใหญ่

เมื่อเทียบกับไป๋เฉินแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนข้างจะด้อยประสบการณ์ในพื้นที่แถบนี้มากกว่า ทำให้เกือบจะขับตกลงไปในแอ่งโคลนถึงสองครั้ง

ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องจำใจสละตำแหน่งที่นั่งผู้ขับขี่ กลับไปนั่งที่เบาะหลังตรงกลาง

ไป๋เฉินขับรถอย่างขยันขันแข็งและจริงจัง ราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอรับคำชม

เส้นทางเช่นนี้ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถจี๊ปต้องแล่นช้าลง เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวันแล้วแต่ก็ยังเดินทางได้ไม่เกิน 30 กิโลเมตร รอบๆ บึงน้ำเต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆ ที่เติบโตงอกเงยขึ้นมา

เมื่อเทียบกับต้นไม้ปกติทั่วไป พวกมันมีทั้งสีที่หม่นหมองกว่าและสดใสกว่าปะปนกันไป ดูแล้วค่อนข้างแปลกตา

เจี่ยงไป๋เหมียนยังจำได้ว่าตัวเองมีภาระหน้าที่รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีม จึงคอยแนะนำซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงออกมาโดยอัตโนมัติ

“การที่เห็นต้นไม้ที่ผิดปกติขึ้นกันเป็นกระจุกแบบนี้แปลว่ากำลังเข้าสู่บริเวณที่ปนเปื้อนมลพิษ แต่ว่าต้นไม้พวกนี้ไม่ได้ดูพิกลพิการและเป็นอันตรายมากนัก แสดงว่าระดับมลพิษยังไม่สูงจนเกินไป

“ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ คนทั่วไปก็ยังไปๆ มาๆ ได้อยู่ แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ควรอยู่เกินสามวัน คนที่ดัดแปลงพันธุกรรมมาอย่างเต็มพิกัด ก็อยู่ได้ราวสิบวัน แต่เงื่อนไขข้อแรก็คือต้องเตรียมอาหารกับน้ำดื่มติดมาด้วย อย่ามาหาอะไรกินละแวกนี้เด็ดขาด”

เฉียวชูหันหน้ามามองเจี่ยงไป๋เหมียนอีกครั้ง แต่ก็รีบละสายตากลับไปแล้วชี้ไปด้านข้าง

“ไปทางนี้”

“แต่…” ไป๋เฉินคิดจะเสนอคำแนะนำออกมาตามปกติวิสัย

เส้นทางที่เธอเลือกนั้นล้วนแต่เป็นเส้นทางที่มีมลพิษปนเปื้อนต่ำและเหมาะต่อการเดินทางด้วยยานพาหนะ ถ้าหากว่าผลีผลามออกนอกเส้นทาง อาจต้องเผชิญกับริมบึงที่ขยายตัวออกมาจนอาจจะทำให้ทั้งคนทั้งรถจมลงไปก้นบึงได้

“ไปทางนี้” เฉียวชูย้ำอีกครั้ง

“ได้” ไป๋เฉินยอมเชื่อฟัง

หลังจากที่รถจี๊ปเปลี่ยนเส้นทาง ก็เข้าสู่พื้นที่ที่เธอไม่คุ้นเคย ทำให้รถจี๊ปต้องแล่นช้าลงมาก ต้องอาศัยประสบการณ์ตัวเองเพื่อประเมินสภาพของถนนที่วิ่งไป

ราวยี่สิบห้านาทีต่อมา หลังจากที่ทุกคนบนรถรับประทานอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อย ขณะที่เตรียมจะสลับให้เจี่ยงไป๋เหมียนมาขับแทนไป๋เฉิน สภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนโดยฉับพลันทันใด

ในบึงน้ำที่ดำมืดจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เถาวัลย์หนาโผล่ทะลุขึ้นมาจากดินเน่าเหม็นด้านล่าง ก่อตัวเป็น ‘ป่า’ เตี้ยๆ

พวกมันมีสีเขียวแก่ แต่ละเส้นมีความหนาขนาดเท่างูเหลือมโดยทั่วไป และมีหนามแหลมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวนอก

เถาวัลย์ประหลาดพวกนี้พันกันยุ่งเหยิงปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ที่มองเห็นได้ด้วยสายตาด้านหน้ารถจี๊ป นอกจากบึงน้ำอันมืดมิดแล้ว สิ่งอื่นๆ ล้วนกลายเป็นของตกแต่งประดับประดา แม้แต่ท้องฟ้าเองก็ราวกับว่าถูก ‘ผืนป่า’ เตี้ยๆ พวกนี้ปกคลุมจนทำให้ดูหม่นหมอง อึมครึม และหดหู่ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น

เมื่อได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามตระการตาแต่กลับน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า หรือว่าหลงเยว่หง ต่างก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรดี

ท่ามกลางความรู้สึกตื่นตะลึงนั้น พวกเขาถามขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน

“พวกเรามาที่นี่ทำไมเหรอ”

มุมปากของเฉียวชูยกโค้งขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน

“ไม่ต้องกังวลหรอก”

น้ำเสียงและถ้อยคำของเฉียวชูได้คลายความสงสัยของซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ หายไปในทันที ทำให้พวกเขาต่างมองดูเฉียวชูอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหลอีกครั้ง

เฉียวชูนั่งตัวตรงแล้วเริ่มแนะนำไป๋เฉินอย่างจริงจังว่าจะต้องขับรถยังไงและขับไปทางไหน

ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนจ้องผ่านกระจกหน้าต่างรถ มองดูพุ่มเถาวัลย์สีเขียวแก่ที่มีจุดแดงประปราย มีลักษณะคล้ายงูเหลือม นิ้วมือซ้ายทั้งห้าของเธอก็กระดุกกระดิก

เธอหยิบปากกากับกระดาษออกมาจากกระเป๋าตามสัญชาตญาณ และจดบันทึกสิ่งที่เธอเห็นลงไป

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งบางครั้งก็มองที่ท้ายทอยของเฉียวชู บางครั้งก็มองดูเถาวัลย์ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าพวกมันเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง

และในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าแขนซ้ายถูกอะไรบางอย่างกระทบเบาๆ

ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองโดยอัตโนมัติ และเห็นว่ากระดาษสีขาวในมือเจี่ยงไป๋เหมียนเอนมาแตะอยู่

เขามองดูอย่างจดจ่อ เห็นว่าบนกระดาษสีขาวนั้นเขียนบรรยายฉากที่มองเห็นตามความเป็นจริง แต่ก็มีประโยคแปลกๆ แทรกไว้เป็นระยะด้วย

“…ในส่วนลึกของบึงใหญ่นั้นมีการกลายพันธุ์ขนาดหนัก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือชิปในแขนซ้ายบอกว่ารังสีปนเปื้อนของที่นี่ไม่ได้รุนแรงมากนัก หรือว่ามลพิษนั้นเจือจางลงไปแล้ว

“…เถาวัลย์พวกนี้มีหนามแหลมสีแดงเต็มไปหมด ราวกับมันเพิ่งจะดูดเลือดมา…

“…ชิปในแขนซ้ายบอกว่าตำแหน่งของพวกเราในตอนนี้ อยู่ตรงข้ามกับเป้าหมายปลายทางที่เป็นเมืองฉีเฟิง คิดอย่างทำอย่าง…”

* * * * *

[1] เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณที่มักจะนอนหลับชั่วครู่ หลังจากอาหารมื้อเที่ยง โดยเหตุผลทางการแพทย์แผนจีนที่เชื่อว่าจะทำให้สุขภาพดีและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสำหรับทำงานต่อในช่วงบ่าย

[2] นาฬิกาแมคคานิกส์ (机械手表) เป็นนาฬิกาเชิงกล ที่ชิ้นส่วนของระบบการทำงานจะเป็นชุดเฟืองและอุปกรณ์แบบกลไก หรือที่มักเรียกว่านาฬิกาแบบเข็ม ซึ่งแตกต่างจากนาฬิกาดิจิทัล ที่มีระบบการทำงานเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด