รัตติกาลไม่สิ้นแสง 295 แผนการ

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 295 แผนการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 295 แผนการ

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของซางเจี้ยนเย่า ได้ยินคำสัญญาของเขา เกอนาวาก็ผงกศีรษะ

“ใช้พลังพิเศษผู้ตื่นรู้ที่คุณเคยบอกไว้น่ะเหรอ”

“ถูกต้อง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าไม่น่าเปิดประเด็นหัวข้อนี้ขึ้นมาเลยจริงๆ

แต่เธอก็รู้ดีว่าการหลบหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จึงได้แต่ต้องพยายามรวบรวมกำลังใจแล้วขบคิดอย่างรวดเร็ว

“แผนนี้ก็นับว่ามีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งจริงๆ

“ขอเพียงแค่เราสามารถเจาะระบบป้องกันชั้นนอกของ ‘นาวาบาดาล’ และแทรกซึมเข้าไปได้ ปัญหาอื่นๆ ก็ง่ายขึ้นอีกเยอะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนมุ่งหน้าไปตามทิศทางแนวคิดนี้ ทึกทักด้วยทัศนคติที่ว่าฉันเองก็มีส่วนร่วมด้วยช่วยคิดนะ เพื่อจะเพิ่มน้ำหนักของการโน้มน้าวแม้ว่าจะมาช้าไปสักหน่อย

“พวกเราต่างก็รู้ดีว่าโครงสร้างองค์กรของ ‘นาวาบาดาล’ นั้นเรียบง่ายมาก มีดิมาร์โก้ที่เป็นเจ้าของเป็นแกนหลัก เขาใช้การแต่งตั้งพ่อบ้าน หัวหน้ายาม พวกยาม แล้วก็คนรับใช้ไว้หลายคนแยกจากกัน เพื่อยึดครองอำนาจไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น

“นี่ทำให้การปกครองของดิมาร์โก้ค่อนข้างมั่นคงมีเสถียรภาพ เราจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากที่มีอาวุธขั้นสูงและผู้ตื่นรู้อีกนับไม่ถ้วน แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงสร้างองค์กรเช่นนี้มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่ ขอเพียงแค่เราสามารถคว้าจุดนี้เอาไว้ได้ก็สามารถทำให้ป้อมปราการแห่งนี้ล่มสลายลงได้โดยใช้เวลาสั้นที่สุดและจ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุด”

ซางเจี้ยนเย่าไม่สงสัยที่เจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

“จุดอ่อนร้ายแรงที่ว่านั่นก็คือดิมาร์โก้นั่นเอง”

เมื่อเกอนาวาฟังถึงตรงนี้ก็จับเชื่อมโยงเข้ากับสถานการณ์บางอย่างจากโลกเก่าโดยอัตโนมัติ แล้ววิเคราะห์ต่อว่าเจี่ยงไป๋เหมียนต้องการสื่อถึงอะไร

“กลยุทธ์เด็ดหัวใช่ไหม” เขาถามเพื่อยืนยัน

การสนทนาในลักษณะนี้ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก รู้สึกราวกับตนเองได้เป็นมนุษย์จริงๆ โดยมีเพื่อนพ้องช่วยจุดประกายปัญญาให้

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง ขอเพียงแค่สามารถลักลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้โดยไม่ให้ทางนั้นรู้ตัว เราก็สามารถเข้าไปโจมตีที่พักของดิมาร์โก้ได้โดยตรง จัดการทุ่มกำลังเพื่อสยบกำลังพลที่ปกป้องอยู่รอบตัวเขาให้จบลงด้วยเวลาที่สั้นที่สุดแล้วควบคุมตัวเขาไว้

“พอถึงตอนนั้นก็ประกาศวัตถุประสงค์ของพวกเราออกไป บอกว่าไม่สนใจจะยึดครองอำนาจจาก ‘นาวาบาดาล’ และไม่ได้หวังจะครอบครองทรัพย์สินเลยแม้แต่น้อย

“เราจะปล่อยให้พวกยามกับคนรับใช้ร่วมกันก่อตั้งนาวาแห่งใหม่เป็นของตัวเอง ให้พวกเขาไปจัดสรรแบ่งส่วนเกี่ยวกับสิทธิ์ในช่องทางธุรกิจต่างๆ กันเอาเอง

“ฉันเชื่อว่าด้วยความโหดเหี้ยมและโมโหร้ายของดิมาร์โก้ซึ่งมักแสดงออกมาอยู่เสมอนั้น คนที่จงรักภักดีอย่างหน้ามืดตามัวกับพวกหัวรุนแรงที่ช่วยเขาฆ่าคนรับใช้อย่างไม่ปรานีคงจะมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละ คนที่เหลือจะเอนเอียงมาทางเราหมด

“นอกจากนั้น ภายในนาวามีข้อจำกัดด้านชัยภูมิ ไม่สามารถขนอาวุธทั้งหมดออกมาใช้พร้อมๆ กันได้ ระยะของคนพวกนั้นก็จะไม่อยู่ห่างจากเรามากนัก นี่ทำให้ ‘พันธนาการมือ’ ของซางเจี้ยนเย่าสามารถแสดงประสิทธิผลออกมาได้เต็มที่”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าปรบมือ

“แผนนี้มีความเป็นไปได้มาก”

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา

“แต่แผนนี้ก็มีช่องโหว่ร้ายแรงเช่นกัน

“นั่นก็คือตัวดิมาร์โก้เองนั้นซ่อนความลับสำคัญเอาไว้หรือเปล่า”

สีหน้าเธอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“พวกกำลังพลรอบที่พักของดิมาร์โก้น่ะ ขอเพียงแค่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเราสามารถจัดการได้ในเวลาอันสั้นอยู่แล้ว พวกที่คอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลาน่ะ อย่างมากสุดก็มีเพียงชุดเกราะเสริมแรงทางทหารสองถึงสามชุด มีผู้ตื่นรู้อีกสักคนสองคน กับมียามทั่วไปอีกเจ็ดแปดคนเท่านั้นแหละ

“แล้วตัวดิมาร์โก้เองล่ะ เขามีอะไรกันแน่ถึงทำให้ตัวเองมั่นใจจนกล้าอยู่กับเราตามลำพังภายในห้อง”

การประเมินของเจี่ยงไป๋เหมียนเกี่ยวกับการคุ้มกันรอบตัวดิมาร์โก้นั้นมาจากที่พวกเขาได้เจอกันเมื่อครั้งก่อน

ตอนที่ดิมาร์โก้ออกมาจาก ‘เขตปลอดภัย’ และอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าต้องการพบปะกับบุคคลภายนอก ในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีเพียงแค่ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารรุ่นใหม่สองชุดกับยามคุ้มกันธรรมดาอีกหกคนเท่านั้น ดังนั้นในเวลาปกติที่อยู่ลึกลงไปใน ‘นาวาบาดาล’ การปกป้องรอบตัวเขาย่อมต้องลดน้อยลงไปกว่านี้แน่นอน ไม่มีทางเพิ่มขึ้นเด็ดขาด

และถึงอย่างไรมนุษย์เองก็ย่อมต้องเหนื่อยล้า จึงจำเป็นต้องสลับผัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่คุ้มกัน

ในขณะเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เชื่อว่าภายใน ‘นาวาบาดาล’ นั้นไม่มีผู้ตื่นรู้ในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ อยู่ เพราะความแข็งแกร่งของบุคคลเช่นนี้เหนือเกินกว่าปกติไปมาก ไม่ใช่สิ่งที่คนคุ้มกันรอบตัวดิมาร์โก้จะสามารถรับมือได้

ซึ่งถ้าหากมีตัวตนเช่นนั้นอยู่จริง งั้นทำไมเขาถึงไม่เข้าไปแทนที่ดิมาร์โก้เลยล่ะ จะได้กลายเป็นเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ โดยตรง ไม่ต้องมารับใช้อีกฝ่าย…

อย่างน้อยจากที่ดูในตอนนี้ ตราบใดที่เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ยังคงศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ อยู่ ทางนิกายตื่นตัวก็ไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้ปกครอง

เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่ากับเกอนาวาไม่ได้พูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนจึงถามคำถามต่ออีก

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวดิมาร์โก้เป็นผู้แข็งแกร่งคนนั้นเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชั้นรองกลายพันธุ์ เป็นผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง หรือเป็นอะไรอย่างอื่น

“ขอยกตัวอย่างแบบสุดๆ ไปเลยนะ สมมติว่าความแข็งแกร่งของดิมาร์โก้เทียบเคียงได้กับพยัคฆ์ยมราช ก็เลยสนใจสถานะปัจจุบันของเขา เพื่อพยายามตามหาเส้นทางสู่อนาคต ตามหาประตูสู่โลกใหม่”

หากเป็นกรณีนี้ ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็เท่ากับเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือ ไปแล้วไม่ได้กลับออกมาอีก

ตั้งแต่ที่เจี่ยงไป๋เหมียนได้พบดิมาร์โก้ก่อนหน้านี้และได้ฟังเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเขา เธอก็เกิดความสงสัยและพยายามอนุมานออกมาสารพัดรูปแบบ ในตอนนี้เธอเพียงแค่นำการคาดเดาด้านที่ตนเองรู้สึกว่าน่ากลัวที่สุดและน่าตกตะลึงมากที่สุดมาบอกกล่าวซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าตอบสนองสายตาที่จ้องมองของเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยรอยยิ้ม

“จวบจนทุกวันนี้ พลังที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของมนุษย์ชั้นรองก็ยังเทียบไม่ได้กับผู้ตื่นรู้ที่ไปถึงระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ อยู่ดี

“งั้นพวกเราก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ก่อนก็แล้วกันว่าดิมาร์โก้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของ ‘ทางเดินแห่งจิต’ แล้ว…”

พูดแล้วเขาก็เผยรอยยิ้มสดใสพร้อมกับยื่นมือไปตบบ่าเกอนาวา

“ตอนนี้พวกเรามีคู่ปรับเป็นผู้ตื่นรู้

“ตราบใดที่พลังพิเศษของดิมาร์โก้ไม่ใช่การบิดเบือนสภาพแวดล้อม งั้นเขาก็ทำอะไรเกอนาวาไม่ได้”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มุมปากของซางเจี้ยนเย่าก็ยกสูงยิ่งกว่าเดิม

“ถ้ายังไม่วางใจอีก งั้นพวกเราก็ไปเกาะกลางทะเลสาบกันอีกครั้ง ผมคิดว่าพยัคฆ์ยมราชไม่มีทางใช้ความช่วยเหลือจากโลกแห่งจิตวิญญาณของเกอนาวาเพื่อกลับมาได้หรอก เพราะเกอนาวาไม่มีของอย่างนั้นอยู่แล้ว

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือคราวนี้พวกเราสามารถไปเอากำไลกิ่งไม้สานกลับมาได้แล้ว ถ้าหากว่ามันยังอยู่ล่ะนะ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้ตัวขึ้นมาทันที

ตอนนี้เขาเป็นซางเจี้ยนเย่าที่เป็นนายอันตราย มีความบ้าคลั่งอยู่เล็กน้อย

วินาทีถัดมาเกอนาวาก็เอ่ยปากขึ้น

“ข้อมูลภายในของพวกเรามีพูดถึงข้อหนึ่งเอาไว้ นั่นคือถ้าหากเผชิญหน้ากับผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งมาก ถึงจะเป็นหุ่นสมองกลก็ต้องระวังไว้ให้มาก”

“ดังนั้นถ้าระวังไว้ให้มาก ก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามกลับด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยงไป๋เหมียนตรึกตรองความหมายของประโยคที่เกอนาวาพูดมา

“เป็นเพราะพลังพิเศษบางอย่างของผู้ตื่นรู้สามารถส่งผลต่อหุ่นสมองกลได้ ซึ่งมันไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่เรื่องภาพลวงตาที่บิดเบือนข้อมูลสภาพแวดล้อม แบบนั้นใช่ไหม”

เธอรู้สึกว่าการเข้าใจหลักการนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ถึงอย่างไรหุ่นสมองกลก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกของมนุษย์ จึงย่อมไม่สามารถเป็นเป้าหมายของพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ได้

เธอจึงคิดได้เพียงแค่ว่ามีพลังพิเศษผู้ตื่นรู้อยู่หลายอย่างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพแวดล้อมและส่งผลรบกวนต่อความเป็นจริง ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไปถึงระดับของ ‘ทางเดินแห่งจิต’

เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองซางเจี้ยนเย่า แล้วพูดอย่างครุ่นคิด

“แผนนี้ก็มีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็จำเป็นต้องจัดการไปทีละขั้น ต้องดูตามสถานการณ์ว่าจะดำเนินการต่อไปได้หรือไม่”

หลังจากได้พูดเรื่องเหล่านี้ออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง

“ในตอนนี้ฉันอนุมัติการลงมือขั้นแรก : การค้นหา ‘ไส้ศึก’

“ในสถานการณ์ที่พ่อบ้านมีความระวังตัวเป็นอย่างมาก และไม่ยอมให้นายเข้าประชิดตัวง่ายๆ แบบนี้ นายจะทำยังไง”

ซางเจี้ยนเย่าคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาจึงพูดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

“ไปภูเหล็ก รอคนขนศพ”

เขาหมายถึงพวกยามที่เอาศพคนรับใช้มาฝังโดยออกมาจากทางเข้าออกของ ‘นาวาบาดาล’ ที่ภูเหล็ก

เอาล่ะ เป็นไปตามที่คาดไว้… ถ้าหากภายในสามวันแล้วยังไม่มีใครเอาศพออกมาฝัง แผนนี้ก็จะยกเลิกไปโดยปริยาย… แต่ถ้ามี งั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่ดิมาร์โก้ลงมือฆ่าคนรับใช้คนอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นการแสดงความโหดเหี้ยมของตัวเองออกมา จึงสมควรถูก ‘ผดุงความยุติธรรมแทนฟ้า’ นี่… นี่อาจเป็นชะตากรรมก็ได้… ถ้าเป็นแบบนั้นก็ค่อยจัดให้เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวหงไปรับผิดชอบงานส่วนที่มีความเสี่ยงน้อยหน่อยก็แล้วกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจอย่างเชื่องช้า

“งั้นก่อนหน้านั้นพวกเราก็ไปโบสถ์กันก่อน อาศัยผู้แจ้งเตือนซ่งเพื่อดูว่าทางนิกายตื่นตัวมีทัศนคติยังไงในเรื่องนี้”

ที่นั่นคือสถานที่ซึ่ง ‘ธชียมโลก’ เฝ้ามองอยู่!

“ได้!” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นด้วยอย่างคึกคักร่าเริง

* * * * *

ภายในโบสถ์ที่มีสีแดงเป็นหลักสีทองเป็นส่วนเสริม สัญลักษณ์ขนาดใหญ่ของร่างผู้หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้านหลังบานประตูสีขาวที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่ารู้สึกถึงความเคร่งขรึมและอันตรายร้ายแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ที่ยืนอยู่ด้านล่างสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ธชียมโลก’ นั้นก็คืออันโตนิโอล่า มุขนายกคนใหม่ของชุมชนศิลาแดง

เขาสูงกว่า 180 เซนติเมตร และถึงแม้จะซ่อนร่างอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำก็ยังเห็นได้ถึงความกำยำ

นอกจากบนศีรษะที่ไม่มีเส้นผมแม้แต่เส้นเดียวแล้ว ใบหน้าของเขาถูกบดบังไว้ด้วยหน้ากากที่เรียบง่ายอย่างสุดๆ

หน้ากากอันนี้ราวกับทำจากกระดาษลังสีขาวที่เว้าลงไป มีเพียงรูที่เจาะให้ตรงกับดวงตา จมูก และปากเท่านั้น

“ขอให้ใจที่ระวังของพวกคุณดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์” อันโตนิโอล่าจ้องมอง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยกสองมือขึ้นมาขวางไว้ที่หน้าอกพร้อมกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

หลงเยว่หง ไป๋เฉิน และคนอื่นๆ ตอบรับด้วยการก้มตัวให้เล็กน้อย

“ห่างกันไว้คือสหายกัน” ในบรรดา ‘ทีมสำรวจเก่า’ มีเพียงซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่ตอบรับการทักทายด้วยพิธีการของนิกายตื่นตัว

ดวงตาอันโตนิโอล่ากวาดมองไปบนหน้ากากของพวกเขาแล้วกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้ม

“ขอบคุณพวกคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับการช่วยเหลือนิกายและการช่วยเหลือชุมชนศิลาแดงก่อนหน้านี้”

เขาใช้ภาษาแดนธุลีที่ติดขัด ราวกับว่าเพิ่งหัดได้เพียงไม่กี่ปี

“คุณจำพวกเราได้ด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่าง ‘ตกใจ’

อันโตนิโอล่าชะงักไปชั่วขณะ

“ข่าวเรื่องที่พวกคุณกลับมาชุมชนศิลาแดงแพร่ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะ”

คิดไว้แล้วเชียว สถานที่ที่พวกชาวเมืองมีความตื่นตัวและชอบหลบซ่อนแบบนี้… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจด้วยอารมณ์พลางเกิดความรู้สึกขบขันขึ้นด้วย

หลังจากทักทายกันสองสามประโยค เธอก็ถามออกมาตามตรง

“ไม่ทราบว่าผู้แจ้งเตือนซ่งอยู่หรือเปล่าคะ”

อันโตนิโอล่าหันไปด้านข้างแล้วชี้ไปทิศที่เยื้องกับด้านหลัง

“ผมส่งคนไปเชิญเขาแล้วล่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“มาเยี่ยมสหายน่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างสบาย มีความสุข และจริงใจ

อันโตนิโอล่ายิ้มออกมา

“กับสหายแล้ว ก็ไม่อาจเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะถอนหายใจว่ามุขนายกผู้นี้ช่างมีจิตแห่งการเผยแผ่คำสอนได้ทุกลมหายใจยิ่งนัก ทันใดนั้นซ่งเหอที่ไม่ได้สวมหน้ากากก็เดินเข้ามาในห้องโถง

ใบหน้าเขายังคงไร้ซึ่งริ้วรอย มีเพียงจอนเท่านั้นที่เริ่มมีสีขาวแซมเล็กน้อย

“พวกคุณกลับมากันเร็วขนาดนี้เลยเชียว” ซ่งเหอโค้งคำนับอันโตนิโอล่าก่อน จากนั้นค่อยเอ่ยปากถามพวกเจี่ยงไป๋เหมียน

“หลักๆ ก็เป็นเพราะบรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดน่ะค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายย่อๆ

แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“วีลไปซ่อนอีกแล้วเหรอ”

คิ้วบางของซ่งเหอขมวดเล็กน้อย หลังจากนิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก็พูดขึ้น

“เขาไม่ปรากฏตัวออกมาสองวันแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด