รัตติกาลไม่สิ้นแสง 287 ถนนยามวิกาล

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 287 ถนนยามวิกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 287 ถนนยามวิกาล

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหัวหน้าทีม หลงเยว่หงก็หันไปพูดกับเกอนาวา

“ตามผมมา”

พูดจบเขาก็หมุนร่างกระโดดไปทางช่องหน้าต่างที่แตก

เกอนาวาเหลือบมองหุ่นควบคุมระเบียบบนพื้นแล้วรีบตามหลังไปติดๆ

ในขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็ถอยกลับไปตามเส้นทางขามา วิ่งข้ามสนามหญ้าเขียวชอุ่มไปยังรถจี๊ปซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก

ประตูรถจี๊ปเปิดคาไว้ รถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ รออยู่

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าออกแรงจากขาดีดตัวขึ้นไป คนหนึ่งขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ อีกคนขึ้นไปที่เบาะหลัง

ไป๋เฉินเหยียบคันเร่งเต็มพิกัด ทำให้ความเร็วรถจี๊ปเพิ่มขึ้นพรวดพราด

รถจี๊ปกลับไปยังถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว หลังจากอ้อมไปเล็กน้อย หลงเยว่หงและเกอนาวาที่เพิ่งจัดการกับกล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันเสร็จก็มาถึงพอดี พุ่งผ่านประตูที่ซางเจี้ยนเย่าเจตนาเปิดทิ้งไว้เข้ามาในรถโดยไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย

ปัง!

ประตูรถถูกปิดลง

ตามแผนที่วางไว้ ไป๋เฉินจะไม่นำรถจี๊ปกลับไปยังริมฝั่งตะวันออก แต่จะขับไปทางเขตริมฝั่งตะวันตกซึ่งไม่มีหุ่นยนต์พักอาศัยอยู่

นี่เป็นเส้นทางที่พวกเขาใช้เดินทางมาทาร์นัน เพียงแต่ตอนนี้เป็นการขับย้อนกลับไป

รถจี๊ปเพิ่งออกมาได้ไม่กี่สิบวินาที เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังไปทั่วทาร์นัน

หลังจากนั้นกล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันริมถนนก็ส่งเสียงขึ้นมา

“หยุดรถเดี๋ยวนี้ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ!”

ไป๋เฉินทำประหนึ่งว่าไม่ได้ยินคำเตือน ไม่เพียงแต่จะไม่เหยียบเบรก ซ้ำยังกดคันเร่งเพิ่มความเร็วอีกด้วย

เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์จำลองดังขึ้น รถจี๊ปพุ่งทะยานราวกับกำลังเหินพุ่งลอยจากพื้น

“หยุดรถเดี๋ยวนี้ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ!”

กล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันเตือนอีกสองครั้งติดต่อกัน

ทว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย

วินาทีถัดมา กล้องบางส่วนมีปากกระบอกปืนยื่นออกมาแล้วเริ่มกราดยิง

กระสุนที่ถูกยิงออกมานัดแล้วนัดเล่า บ้างก็กระทบกระจกหน้าต่าง บ้างก็กระทบล้อยางหนาเตอะ บ้างก็กระทบตัวถังเสริมเกราะ แต่ไม่อาจสร้างความเสียหายให้รถจี๊ปดัดแปลงได้เลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางห่ากระสุน เกิดประกายไฟวูบวาบ รถจี๊ปซึ่งไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อยพุ่งออกจากริมฝั่งตะวันตก แล่นออกจากทาร์นันไป

“น่าตื่นเต้นชะมัด!” ซางเจี้ยนเย่าร้องส่งเสียงเชียร์ออกมาประโยคหนึ่ง

เกอนาวาซึ่งนั่งอยู่กลางเบาะหลังมองเขาด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงได้รู้สึกเช่นนั้น

“อีกเดี๋ยวพวกเขาก็ตามมาทันแล้ว”

เขาหมายถึงหุ่นควบคุมระเบียบ หุ่นยามจักรกลของทาร์นัน และพวกหุ่นยนต์ต่อสู้ผู้ช่วย

“วางใจเถอะ พวกเรามีแผน” เจี่ยงไป๋เหมียนปลอบใจเกอนาวา

จากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มพูดขึ้นอีก

“แต่ต้องให้คุณช่วยนำทางหน่อย ถึงยังไงคุณก็ชำนาญภูมิประเทศรอบทาร์นันดีกว่าเรา”

“ได้” เกอนาวาตอบรับ

แม้ว่าถนนไม่ได้ราบเรียบนัก แต่ไป๋เฉินก็ยังคงขับรถจี๊ปห้อตะบึง

นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนอดกล่าวชมขึ้นมาไม่ได้

“เสี่ยวไป๋เอ๋ย ถ้าเธอไปแข่งขับรถวิบากของโลกเก่านี่ ได้แชมป์เห็นๆ เลยนะเนี่ย”

“อย่าเพิ่งพูด” ไป๋เฉินตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“โอ้” เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดแบ่งปันความรู้สึกในใจทันที

ในตอนนี้หลงเยว่หงมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา

แล้วหัวหน้าไปรู้จักการแข่งขับรถวิบากของโลกเก่าได้ไงเนี่ย…

ซางเจี้ยนเย่ากดเสียงลง พูด ‘เบาๆ’

“ตอนที่พวกเราหลับไปแล้ว หัวหน้าแอบดูซีรีส์จากโลกเก่าโดยใช้หูฟังน่ะ”

หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน

“หือ นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาป้องหู

หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาเหลียวซ้ายแลขวามองดูทุกคนรอบๆ แล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้

“พวกคุณไม่กังวลกันบ้างเลยเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบคำถามของเขาทันที

“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”

แล้วเขาก็เลียนแบบท่าทางของเจ้าอารามโจวเยว่ เอนร่างท่อนบนยกสองแขนเล็กน้อยเพื่อสักการะ ‘มายาฉาย’ ในความว่าง

“…” จู่ๆ เกอนาวาก็พลันรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ยกเว้นเฉียนไป๋ที่กำลังขับรถ

สมแล้วที่เป็นหัวหน้าทีม!

เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ อธิบายสั้นๆ โดยไม่ได้หันหน้ากลับไป

“ในเวลาแบบนี้ กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพียงแค่รักษาความรู้สึกเอาไว้ในระดับหนึ่งให้อะดรีนาลีนหลั่งออกมาก็พอแล้ว”

“นั่นก็จริง” เกอนาวาวิเคราะห์และยอมรับในคำอธิบายนี้

ซางเจี้ยนเย่าหันหน้ามามองเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หุ่นสมองกลอย่างพวกคุณไม่มีความรู้สึกวิตกกังวลไม่ใช่เหรอ”

“โมดูลหลักของเรามีการจำลองความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน แต่วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อให้มีประสบการณ์รับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นเท่านั้น” เกอนาวาตอบตามความจริง

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน รถจี๊ปที่แล่นมาอย่างบ้าคลั่งก็มาถึงสะพานข้ามน้ำ พุ่งทะยานข้ามไปอย่างรวดเร็ว

เหลืออีกไม่ไกลพวกเขาก็จะไปถึงเขตภูชีลาร์แล้ว

หลงเยว่หงเหลือบมองสะพานบอบบางด้านหลัง อดแนะนำขึ้นมาไม่ได้

“หัวหน้า ต้องระเบิดสะพานทิ้งหรือเปล่า”

เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยชะลอการไล่ตามจากหุ่นยามจักรกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ไม่ต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “พวกมันน่าจะมีอุปกรณ์เครื่องเจ็ตที่ทำให้บินข้ามแม่น้ำมาได้โดยตรง ไม่ต้องใช้สะพาน นอกจากนี้ สะพานนั่นก็ไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ ฤดูหนาวน้ำก็ไม่ลึก ถึงยังไงพวกมันก็ปีนลงไปแล้วข้ามมาได้อยู่ดี”

แน่นอนว่าหากหุ่นยามจักรกลใช้วิธีหลังก็จะถ่วงเวลาได้สักพัก แต่ก็ไม่มากนัก

แต่ในทางกลับกัน หาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต้องการระเบิดสะพานจริงๆ มันไม่ใช่แค่ยิงจรวดบาซูก้าออกไปเพียงสองสามลูก แต่ยังต้องติดตั้งระเบิดในตำแหน่งสำคัญแล้วยิงด้วยจรวดบาซูก้าไปพร้อมๆ กัน

ซึ่งขั้นตอนพวกนี้จะต้องใช้เวลาไปไม่น้อย

ดังนั้นนี่จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำ

เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะพูดขาดคำ เกอนาวาก็โพล่งขึ้นมาทันที

“เร่งเครื่อง!”

นี่เป็นเพราะเขามีอุปกรณ์ที่คล้ายกับ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ติดตั้งไว้ รวมถึงความเข้าใจในพวกยามจักรกลเป็นอย่างดี จึงพบความผิดปกติบางอย่างได้ล่วงหน้า

และในขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ตรวจจับกองกำลังที่ไล่กวดมาได้เช่นกัน

ไป๋เฉินไม่ได้เอ่ยถามอะไร ไม่สนว่าถนนด้านหน้าจะทรุดโทรมและมีกองหินระเกะระกะมากมายเพียงใด เธอเหยียบคันเร่งจมลงไปทันที

ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์จำลองดังกระหึ่ม รถจี๊ปพุ่งทะยานขึ้นหน้าไปไกล

ระหว่างนี้รถจี๊ปวิ่งสะดุดก้อนหินจนเกือบจะพุ่งลอยออกไป

แทบจะเป็นเวลาเดียวกันก็ปรากฏเปลวเพลิงพวยพุ่ง ลูกระเบิดโผล่จากริมฝั่งตรงกันข้ามลูกแล้วลูกเล่า ปกคลุมพื้นที่อย่างหนาแน่น

ตูม! ตูม!

ลูกระเบิดส่วนใหญ่ตกลงไปที่สะพาน ซึ่งอยู่ห่างจากรถจี๊ปไปไกล

ด้วยเสียงระเบิดดังกระหึ่มต่อเนื่องเป็นชุด สะพานไม่อาจทนทานรับแรงกระแทกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขนาดนั้นได้อีกต่อไป

ในที่สุดมันก็พังเป็นชิ้นๆ ถล่มลงไปทันที

นี่มัน… หลงเยว่หงตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สงสัยขึ้นมาครามครันว่าหุ่นสมองกลที่กำลังไล่ตามมานั้นติดไวรัสหรือไม่ ถึงได้เล็งตำแหน่งผิดพลาดจนโจมตีคลาดเคลื่อนไป ภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดสำหรับการโจมตีระลอกนี้ที่มีต่อรถจี๊ปนั้นมีเพียงแค่คลื่นกระแทกที่แผ่ออกมาเท่านั้น

พวกมันช่วยทำในสิ่งที่หลงเยว่หงปรารถนาแต่ไม่อาจลงมือกระทำ

ก็คือการทำลายสะพาน!

ซางเจี้ยนเย่าเอี้ยวตัวกลับไปมองอีกฝั่งของแม่น้ำผ่านกระจกหลังรถแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นพวกอัลฟ่านี่เอง”

อัลฟ่า สจ๊วต เพื่อนของซางเจี้ยนเย่า

เมื่อเกอนาวาได้ยินก็หมุนคอกลับไป 180 องศา

แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย รูปร่างอันคุ้นเคย

ในขณะที่พวกหุ่นยามจักรกลเหล่านั้นกำลังรี่ตรงไปที่สะพานซึ่งพังถล่ม ก็เหมือนกับว่าพวกมันกำลังถกเถียงอะไรกันอยู่ พวกมันไม่ได้คิดจะใช้อุปกรณ์เครื่องเจ็ตเพื่อข้ามแม่น้ำมา

เพราะวิธีนี้ง่ายต่อการถูกยิงจู่โจมกลางอากาศ

เกอนาวานิ่งเงียบมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน

หุ่นสมองกลพวกนี้คล้ายกับมนุษย์มากจริงๆ… เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจกับตัวเอง

ในตอนนี้ไป๋เฉินได้พารถจี๊ปเข้าไปในเขตภูชีลาร์เป็นที่เรียบร้อย สภาพภูมิประเทศเริ่มซับซ้อนมากขึ้นทุกขณะ

ในที่สุดเกอนาวาก็ละสายตากลับมาแล้วนำเสนอความคิดตนเองขึ้น

“ยิงบาซูก้าใส่ตำแหน่งนั้นได้”

เขาพูดถึงถนนที่มีบางช่วงดูค่อนข้างเปราะบาง

รถจี๊ปคิดจะอ้อมจุดนั้นไปแล้วใช้ทางแยก

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญดูก็เข้าใจความคิดของเกอนาวาได้ในทันที รีบผงกศีรษะตอบรับ

“ตกลง”

เกอนาวาต้องการทำให้พวกที่ไล่ตามมาเกิดความเข้าใจผิด คิดว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขับรถมุ่งไปตามเส้นทางนั้นและทำลายถนนเพื่อถ่วงเวลา

ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะก็ยื่นปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ส่งให้กับหลงเยว่หงเนื่องจากตำแหน่งที่นั่งไม่เอื้อให้ลงมือยิงเอง

หลงเยว่หงซึ่งสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอยู่รับปืนบาซูก้ามาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็อาศัยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ ยิงกระสุนออกไปในมุมทแยงด้านหน้า

ตูม!

ทำกลางแสงจากเปลวเพลิงโชติช่วง ถนนบนภูเขาเส้นนั้นก็ถูกถล่มยับเยิน ก้อนหินกลิ้งร่วงลงมาจากผนังหน้าผาหินด้านบน

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าปรบมือให้หลงเยว่หง

เกอนาวาปิดระบบโมดูลที่ระบุตำแหน่งพิกัดของตนเองพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้ดึกแล้ว ภูมิประเทศในเขตภูเขาค่อนข้างซับซ้อน ไม่ต้องกังวลเรื่องโดรนค้นหา…

“ไว้พอลึกเข้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออีกหน่อย ก็จะเกินระยะครอบคลุมของสถานีสัญญาณสื่อสารในทาร์นัน พวกที่ไล่ตามมาจะทำได้แค่สื่อสารผ่านฟังก์ชันจำพวกวิทยุรับส่งหรือโทรเลขเท่านั้น การติดต่อกับ ‘ซอร์สเบรน’ หรือผู้บัญชาการจะไม่ถี่และรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้อีก…”

เขาอธิบายถึงข้อจำกัดของยามจักรกลเมื่อต้องเข้ามาในภูชีลาร์ให้กับพวกซางเจี้ยนเย่าได้เข้าใจ

นี่ช่วยเพิ่มความมั่นใจของหลงเยว่หงขึ้นมาอีกหลายส่วน

และด้วยวิธีนี้ ภายใต้การนำพาของ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์’ ของพื้นที่บริเวณนี้ บางครั้งรถจี๊ปก็แล่นไปข้างหน้า บางครั้งก็ถอยหลัง บางครั้งก็เลี้ยวไปทางซ้าย บางครั้งก็ย้ายมาทางขวา บางครั้งก็ทำแผนลวงเพื่อหลอกล่อ บางครั้งก็ทำลายเส้นทางจริงจัง

จวบจนกระทั่งครึ่งคืนพวกเขาก็ออกมาจากเขตภูชีลาร์ ข้างหน้าพวกเขาก็คือทาร์นันที่มีแสงจากไฟถนนเหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้า

หลงเยว่หงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“นี่คือ… ทางแยกที่พวกเราเคยมาเฝ้าก่อนหน้านี้นี่นา”

“ใช่แล้ว” เกอนาวาผงกศีรษะ “พวกเราจะอ้อมวนไปแล้วเข้าภูชีลาร์ด้วยทางแยกอื่น หลังจากนี้ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็เท่ากับเราสลัดพวกที่ไล่ตามมาได้แล้ว”

“พูดแบบนี้ไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่นะ” ซางเจี้ยนเย่าเตือนอย่างจริงใจ

เกอนาวาตอบอย่างจริงจัง

“พวกเราชาวหุ่นสมองกลไม่เชื่อโชคลาง”

“งั้นพวกคุณเชื่อเรื่องโชคชะตาไหม” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“โชคชะตา…” เกอนาวาพูดทวนคำนี้อย่างครุ่นคิด ไม่ได้ตอบคำ

เมื่อเห็นเช่นนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามอย่างใคร่ครวญ

“งั้นก็ต้องซ่อนตัวในภูเขากันก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสกลับไปช่วยซูซานน่ากับเรสต์ใช่ไหม”

แสงสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวาสว่างวาบขึ้นมา

ไม่กี่วินาทีถัดมา เขาก็ค่อยๆ ส่ายศีรษะช้าๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเจ็บปวด

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาก็ได้ โดยเฉพาะเรสต์ เธอยังมีโมดูลอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ติดตั้งเพิ่มเข้าไป อัลกอริทึมจำนวนมากก็ยังไม่ได้ปลดล็อก ข้อมูลหลายอย่างก็ยังไม่ได้รับ…

“ขอเพียงแค่ตัดขาดการติดต่อกับผม พวกเขาก็น่าจะผ่านการตรวจสอบหลังจากนี้ไปได้ อย่างมากสุดก็แค่ลืมการมีอยู่ของผมไปเท่านั้น ไว้ในอนาคตผมค่อยหาโอกาสไปพบพวกเขาอีกครั้ง…”

ขณะเดียวกันเกอนาวาก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองและทีมนักล่าซากอารยะกลุ่มนี้ในเวลานี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วงชิงซูซานน่ากับเรสต์ออกมาจากทาร์นัน ออกมาจาก ‘สวรรค์จักรกล’ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

ในตอนนี้ไป๋เฉินขับรถแล่นผ่านแยกที่พวกเขาเคยเฝ้าป้องกันเมื่อก่อนหน้า ตรงเข้าไปในภูเขาด้วยทางเข้าอีกแห่ง

รถจี๊ปเข้าไปในภูชีลาร์อย่างรวดเร็ว เส้นทางกลายเป็นซับซ้อนอีกครั้ง

เกอนาวาสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ เขาเอี้ยวตัวหันหน้ากลับไปมองผ่านกระจกหลังรถ เห็นทาร์นันค่อยๆ ถอยห่างออกไป

เสาไฟฟ้าที่เรียงรายเป็นทิวแถวของเมืองเล็กแห่งนี้ยิ่งสว่างไสวเจิดจ้ามากยิ่งขึ้นในม่านรัตติกาลอันมืดมิด

“ดาราพร่างพราย ส่องประกายอนาคตฉัน…[1]”

จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ร้องเพลงขึ้นมา

[1] เพลง ‘星星点灯’ (Star Lighting แสงดาว) โดย ‘郑智化’ (เจิ้งจื้อฮว่า)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด