รัตติกาลไม่สิ้นแสง 84 ภาพเงาของโลกเก่า

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 84 ภาพเงาของโลกเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน ทำให้หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นมาทันที รู้สึกราวกับว่าตนกำลังอยู่ในห้วงความฝัน

เขาอดมองไปรอบๆ อีกครั้งไม่ได้ ไม่อาจเชื่อมโยงฉากเบื้องหน้าที่มี ‘คนไร้ใจ’ กำลังกวาดใบไม้ร่วงอย่างจริงจัง กำลังเช็ดกระจกหน้าต่างอย่างตั้งใจ กับภาพจำที่ฝังแน่นอยู่ในใจเข้าด้วยกันได้

ระหว่างทางที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เดินทางมายัง ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอกับ ‘คนไร้ใจ’ ที่อยู่ข้างในซากเมืองนี้มาก่อน พวกมันไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเดียวกันที่อยู่ในโลกภายนอกแม้แต่น้อย ทั้งดุร้าย ไร้เหตุผล เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก้าวร้าว มีสัญชาตญาณการล่าที่แข็งแกร่งราวกับว่าเสื่อมถอยลงไปอยู่ในจุดที่มนุษย์เพิ่งจะวิวัฒนาการหลุดออกจากสถานภาพของสัตว์ร้าย

ในตอนนั้นหากมีใครบอกหลงเยว่หงว่า ‘คนไร้ใจ’ สามารถกวาดพื้นได้ เช็ดหน้าต่างได้ ดูแลสายไฟได้ เขาก็คงจะหัวเราะเยาะเย้ย และมองว่าเป็นเรื่องตลกล้อกันเล่นอย่างแน่นอน

ทว่าในตอนนี้ เรื่องเหล่านั้นกลับแสดงให้เห็นอยู่เบื้องหน้าตนอย่างชัดเจน

เพียงเหลือบตามองแวบเดียวก็เห็นไฟถนนยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด มีเงาร่างมนุษย์ปรากฏอยู่ทั่วทุกแห่งหน

หลังจากที่เมืองนี้ ‘สว่าง’ ขึ้นมาอีกครั้ง ‘คนไร้ใจ’ ซึ่งมีจำนวนมากมายเพียงใดไม่อาจทราบ ได้กลับมายังท้องถนน หรือไม่ก็เดินมาที่หน้าต่าง ทำกิจกรรมสารพัดชนิด

พวกเขาไม่ได้ดุร้ายอีกต่อไป ไม่ได้มองว่าหลงเยว่หงกับคนอื่นเป็นเหยื่อที่ต้องล่า พวกเขานั้นล้วนแต่ ‘ปฏิบัติตัวตามระเบียบแบบแผน’ ต่างก็ตั้งใจทำงานของตัวเองอย่างจริงจัง ทำให้ตลอดทั้งเมืองนั้นมีสภาพแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ณ ขณะนี้ หลงเยว่หงรู้สึกว่าพวกเขากำลังหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

ขณะที่หัวสมองกำลังคิดอย่างวุ่นวายก็พลันได้ยินเสียงเจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์ พูดออกมาประโยคหนึ่ง

“นี่มันเหมือนกับเป็นภาพเงาที่ฉายมาจากโลกเก่าในอดีตเลย…”

“ทำไมพวกเขาถึงต้องกวาดพื้น เช็ดหน้าต่าง แล้วก็ดูแลผนังด้านนอกกับถนนด้วยล่ะ” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา

หลงเยว่หงตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“อาจจะเป็นสัญชาตญาณบางอย่างล่ะมั้ง พวกเขาคงทำงานพวกนี้มาตั้งแต่สมัยโลกเก่า แล้วพอกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ นี่ก็เลยกลายเป็นสัญชาตญาณ…”

พูดไปเรื่อยๆ เสียงเขาก็เบาลงทุกที จนกระทั่งหายไป

นอกจากนี้เขายังพบว่าคำอธิบายของตัวเองนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะว่าโลกเก่าถูกทำลายไปเกือบ 70 ปีแล้ว พวก ‘คนไร้ใจ’ ที่นี่นั้นไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานรุ่นที่เท่าไหร่ไปแล้ว ไม่มีทางที่พวกมันจะเคยมีชีวิตอยู่และทำงานมาตั้งแต่สมัยโลกเก่าได้

สุดท้ายเขาพยายามเสริมขึ้นมาอีกประโยค

“สัญชาตญาณนี้ พวกพ่อแม่คงสอนสั่งและสาธิตวิธีการต่อๆ มาจากรุ่นสู่รุ่น

“ลูกหลานรุ่นหลังของช่างซ่อมบำรุงก็ยังคงซ่อมบำรุง ลูกหลานรุ่นหลังของคนกวาดถนนก็ยังคงกวาดถนน…”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะและรีบพูดตัดหน้าก่อนที่จะซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไรออกมา

“ถ้าขืนเอาเรื่องสับสนวุ่นวายอะไรแบบนี้ไปใส่ไว้ในยีนก็ทำให้ร่างกายพังหมดพอดีนะสิ

“ก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ที่จะมีการสอนให้ทำ แต่วิธีนี้จะใช้ได้แค่กับงานง่ายๆ ที่ต้องทำซ้ำๆ เท่านั้นแหละ”

ไป๋เฉินซึ่งยังคอยระแวดระวังรอบตัว เธอขบคิดก่อนจะพูดออกมา

“หรือจะเป็นเพราะว่าหลังจากสืบพันธุ์ต่อเนื่องมาหลายชั่วคน พวก ‘คนไร้ใจ’ ในตอนนี้เลยเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นได้แล้ว ไม่สิ… ต่อให้พวกเขาเรียนรู้ได้ แต่พวกรุ่นก่อนหน้านี้เรียนรู้ไม่ได้นี่นา ดังนั้นพวกทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันก็ต้องสูญหายไปแล้ว…”

“อาจจะมีคนสอนพวกมัน แล้วก็ปลูกฝัง ‘สัญชาตญาณ’ บางอย่างลงไปด้วย” ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมา แล้วพูดในสิ่งที่เขาคาดเดาไว้

เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ต่างก็นึกถึงเสี่ยวชง เด็กชายประหลาดที่ดูลึกลับขึ้นมาพร้อมกันทันที นึกไปนึกมาก็ไม่อาจหาข้อหักล้างคำพูดซางเจี้ยนเย่าได้ชั่วคราว

ระหว่างที่สนทนากันเมื่อครู่ พวกเขาก็เดินไปข้างหน้าแล้วหลายก้าว คิดอยากจะมองร่างที่อยู่ด้านหลังหน้าต่างที่สว่างนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไม่กี่วินาทีต่อมา หลงเยว่หงก็มองเห็นพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่กำลังกวาดถนน ตัดแต่งกิ่งไม้ เดินไปเดินมาอยู่ไกลๆ เขาพูดด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ

“นี่คือสภาพเมืองของโลกเก่างั้นเหรอ

“ตอนนั้นผู้คนพากันใช้ชีวิตและทำงานกันแบบนี้

“ในสมัยนั้น พอตกกลางคืนก็จะมีแสงไฟสว่างไสวเหมือนกับเป็นภาพสะท้อนของดาวบนฟ้าที่อยู่บนพื้นดินงั้นเหรอ”

เพราะด้วยคำพูดพวกนี้จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นไปมองอาคารฝั่งตรงข้าม

อาคารในแต่ละชั้นนั้นมีบานหน้าต่างมากกว่าหนึ่งในสามที่สว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองบ้างสีขาวบ้าง ด้านหลังบานหน้าต่างมี ‘คน’ ไปๆ มาๆ หรือไม่ก็ทำความสะอาดเช็ดถูกระจกหน้าต่าง หรือ ‘ดู’ โทรทัศน์ หรือเล่นกับ ‘เด็ก’ หรือหั่นผักบนเขียง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินอะไรก็ตาม แต่เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงสัมผัสได้ถึง ‘ความครึกครื้น’ และ ‘ความมีชีวิตชีวา’

ในขณะนี้เธอรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยตอนที่โลกเก่ายังไม่ถูกทำลายลง ได้กลิ่นลมหายใจแห่งชีวิต

ขณะที่ทอดสายตามองไปเรื่อยๆ ม่านตาเธอก็พลันขยายตัว

เธอเห็นจุดสีแดงสั่นไหวอยู่บนยอดอาคารที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

นี่เหมือนว่าจะมาจากปืนสไนเปอร์

“รีบหลบเร็ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตะโกนออกมาและกระโดดม้วนตัวกลิ้งไปริมถนน เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังที่เปิดอยู่

เสียงดังฟุ่บ จุดที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ก็มีเศษอิฐเศษหินกระจายขึ้นมา

จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง ต่างก็ไม่สงสัยคำสั่งของหัวหน้าทีมเลยแม้แต่น้อย พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองทันที รีบพุ่งเข้าไปในบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ด้วยท่าทางและอิริยาบทที่แตกต่างกันไป

เสียงปังดังตามมาอีกสองครั้ง ลูกกระสุนสองนัดที่มาจากยอดอาคารคนละหลังก็ฝังเข้าไปในพื้น

หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยเอนหลังพิงผนัง เธอก็หยิบวิทยุสื่อสารออกมากดปุ่ม แล้วพูดอย่างรีบร้อน

“มีพลซุ่มยิงอยู่บนหลังคารอบๆ นี้อย่างน้อยสามคน

“รูปแบบการโจมตีที่ซุ่มอยู่รอบๆ แต่ไม่ยอมเข้าใกล้พื้นที่ผิดปกติแบบนี้ ทำให้ฉันนึกถึงคนคนนึง

“‘ไฮยีน่า’!”

นี่คือรูปแบบมาตรฐานของกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’

นี่ไม่ได้หมายความว่ามีแค่พวกเขาเพียงกลุ่มเดียวที่ชอบใช้วิธีการลักษณะนี้ แต่ว่าในบริเวณโดยรอบนี้กลุ่มที่มีปืนไรเฟิลซุ่มยิงอย่างน้อยสามกระบอกก็มีพวกเขานี่แหละที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีแค่พวกเขากลุ่มเดียวเสียด้วย

“นี่มันลอบกัดกันแบบนี้เลยเหรอ” หลงเยว่หงโพล่งออกมาขณะที่ถือวิทยุสื่อสาร

พวกกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’ นั้นไม่ได้ต้องการเข้าไปสำรวจหาความผิดปกติที่แท้จริง พวกมันเพียงแค่ต้องหาข้าวของมีค่า จึงคิดจะจัดการเก็บพวกนักล่าซากอารยะที่กำลังจะถอนตัวกลับเท่านั้น

“ก็พวกมันเป็นโจรนี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างขบขัน “ยังดีที่เมื่อกี้พวกมันน่าจะกำลังตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของซากเมืองหลังจากที่ระบบพลังงานกลับมาใช้ได้ เลยไม่ได้โจมตีพวกเราก่อนหน้านี้”

“พวกเราเองก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซากเมืองเหมือนกันนะ” ไป๋เฉินแย้ง

“เป็นไปได้ว่าตอนที่พวกนั้นเพิ่งไต่บันไดขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบกว่าๆ ยังไม่ทันได้พักพวกเราก็ออกกันมา แล้วจากนั้นไฟฟ้าก็มา ไม่งั้นพวกมันก็คงขึ้นลิฟต์กันไปแล้วล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถอนใจอย่างอธิบายไม่ถูก “น่าเสียดาย…”

หลงเยว่หงถามขึ้นมาอย่างรู้จังหวะ

“น่าเสียดายอะไร”

“น่าเสียดายที่ฉันถูกการเปลี่ยนแปลงของซากเมืองดึงดูดความสนใจไว้ ไม่งั้นฉันคงเต้นระบำฮาวายให้พวกมันดูก่อนสักรอบ” น้ำเสียงของซางเจี้ยนเย่าแสดงถึงความเสียใจอย่างเห็นได้ชัด

“…ไว้โอกาสหน้าค่อยเต้นก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดใส่วิทยุสื่อสารอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเราจะหลบการซุ่มโจมตีของ ‘ไฮยีน่า’ ได้ยังไง มั่นใจได้เลยว่าพวกมันไม่ได้มีแค่สไนเปอร์หรอก”

“พวก ‘ไฮยีน่า’ มีรถหุ้มเกราะ ปืนกลหนัก แล้วก็บาซูก้า หลังจากที่ใช้สไนเปอร์จำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเราแล้ว พวกมันน่าจะส่งคนมาเก็บกวาดพื้นที่” ไป๋เฉินนึกถึงข้อมูลต่างๆ ที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ใช้ความใจเย็นเพื่อหาวิธีรับมือให้ดีที่สุด

“งั้นจะทำไงดี” แม้ว่าหลงเยว่หงจะไม่ถึงกับตื่นตระหนกมากเกินไป แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขากำลังเผชิญกับอันตราย

หากว่าไม่มีชุดเกราะกระดูกเสริมแรง ในพื้นที่จำกัดเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหลบการกราดยิงจากปืนกลหนักที่ติดตั้งไว้บนรถหุ้มเกราะได้พ้น และในบรรดาอาวุธที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นปืนยิงระเบิด ปืนไรเฟิล ระเบิดมือ ล้วนแต่ไม่สามารถทำลายเกราะหนาของรถหุ้มเกราะได้

ถ้าหากว่ายังมีชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่ด้วยก็ยังพอจะลองใช้อาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าดูได้บ้าง

เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร

“ข้างใน ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ต้องไม่มีพลซุ่มยิงแน่นอน พวก ‘ไฮยีน่า’ ไม่กล้าเข้าไปในบริเวณนั้นหรอก

“ดังนั้นพวกเราจะไปที่ประตูทางเข้ากัน คอยเดินชิดกำแพงเข้าไว้ นี่เป็นจุดบอดที่พวกมันยิงมาไม่ได้

“จากนั้นก็หาทำเลเหมาะๆ คอยเฝ้ารอให้รถหุ้มเกราะมาถึง พอพวกมันมาก็ให้ไป๋เฉินยิงกดดันพลปืนกลเอาไว้ช่วงสั้นๆ ถ้าหากว่าระบบควบคุมการยิงของรถหุ้มเกราะไม่เสียหายและมันควบคุมปืนกลหนักจากข้างในรถได้ ฉันจะลองขว้าง ‘หอกสายฟ้า’ ใส่ดู สรุปก็คือเรามีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถเข้าประชิดได้

“ซางเจี้ยนเย่า พอถึงตอนนั้นให้นายไปที่ด้านล่างของรถหุ้มเกราะ นายจะอยู่ห่างจากคนในรถแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตร สามารถใช้พลังพิเศษได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องพลซุ่มยิง”

เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งชื่อการโจมตีด้วยแขนชีวภาพพลังไฟฟ้าของตัวเองว่า ‘หอกสายฟ้า’

“ทราบแล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าดูเหมือนว่าอยากทำอย่างนี้มานานแล้ว

ไป๋เฉินเองก็ตอบยืนยันกลับมาเช่นกัน

หลงเยว่หงฟังอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นสองวินาทีก็ถามออกมา

“แล้วให้ผมทำอะไร”

“คอยช่วยเชียร์ฉัน” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

พอได้ยินซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนเลยเสริมขึ้นอีกประโยค

“นายรับผิดชอบคุ้มกันรอบด้าน เผื่อว่าพวกมันไม่ได้มีแค่รถหุ้มเกราะ

“เดี๋ยวฉันเอาปืนยิงระเบิดให้”

หลงเยว่หงตอบรับเสียงดังทันที

“ทราบแล้ว หัวหน้า!”

เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะพูดบางอย่างอีกสองสามคำ แต่ทันใดนั้นก็รีบหันหน้าไปทันทีเพราะรับรู้ถึงบางอย่างได้

“มาแล้ว! ด้านขวา มีรถหุ้มเกราะแค่คันเดียว” เธอรีบบอกข้อมูลให้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นฟัง และเธอก็เจอกรรไกรโลหะอันหนึ่งในห้องแถวที่เธออยู่

สมาชิกทั้งสี่คนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ รีบกลับไปที่ประตูทางเข้าทันทีโดยเคลื่อนที่ชิดกำแพง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ประจำตำแหน่งของตน

ในระหว่างนั้นก็ได้สับเปลี่ยนอาวุธเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไป

ไม่นานนักรถหุ้มเกราะก็ปรากฏขึ้นที่หัวมุมถนน

ด้านหนึ่งของมันมีล้อขนาดใหญ่อยู่สามล้อ ผิวเกราะทาด้วยสีเขียวขี้ม้า มีประตูอยู่ด้านข้าง ด้านหน้ามีกระจกกันกระสุนสีเข้ม

ขนาดของมันใหญ่กว่ารถทั่วไปถึงสองเท่า ปืนกลหนักที่เป็นโลหะสีดำติดตั้งอยู่ด้านบน และมีของอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับเสาอากาศ

เมื่อหลงเยว่หงมองดู ในใจก็มีคำจำพวก ‘เหล็กกล้า’ ‘แข็งแรง’ ‘ทรงพลัง’ ‘ลูกกลิ้ง’ และ ‘ทำลายไม่ได้’ ผุดขึ้นมา

และในตอนนั้นเองก็มีเสียงดนตรีไพเราะดังขึ้นมาจากระยะไกลแล้วก็เลี้ยวเข้ามายังถนนที่พวกเขาประจำที่ ใกล้เข้ามาทุกขณะ

ต้นเสียงดนตรีนั้นมาจากรถสีน้ำเงินคันใหญ่ที่มีกระป๋องโลหะขนาดยักษ์ประกบติดอยู่ด้านหลัง ไฟหน้ารถส่องสว่าง เปิดเสียงดนตรี พร้อมกับฉีดละอองน้ำลงบนพื้นถนนไปด้วย

ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งคนขับเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตผ้านวมเก่าๆ สีส้มและสีขาว มันบังคับพวงมาลัยด้วยท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย

ดวงตาของมันว่างเปล่า มีหูฟังสีดำห้อยไว้ที่หัว

รถพ่นน้ำที่เปิดไฟส่องจนถนนด้านหน้าสว่างจ้าคันนี้ขับมาเร็วมาก จนเกือบจะชนเข้ากับรถหุ้มเกราะที่ออกมาจากถนนด้านข้าง

เสียงดังเอี๊ยด ‘คนไร้ใจ’ ที่ขับรถอยู่พลันเหยียบเบรคตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทันที ทำให้รถหยุดนิ่ง ขวางถนนเอาไว้

คนขับรถหุ้มเกราะไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำให้เขาต้องจอดรถเช่นกัน

พอเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปล่งประกายขึ้นทันที แล้วตะโกนเสียงดัง

“โอกาสนี้แหละ!”

ท่ามกลางเสียงดนตรีจังหวะกระชั้นที่ดังคลอออกมาจากรถพ่นน้ำ เธอก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเงื้อแขนซ้ายไปด้านหลัง

ทันใดนั้นกรรไกรโลหะในมือเธอพลันถูก ‘ม้วนพัน’ ด้วยอสรพิษไฟฟ้าสีเงินส่งเสียงฉี่ฉ่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด