สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 76 (3)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 Chapter 76 (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เอาคืน (3)

ทางด้านฉู่สวินหยางก็ลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของฉู่ฉีเหยียนอยู่ทุกขณะ ในใจพลันเข้าใจบางอย่าง…

เรื่องนี้ ซูหลินไม่ยอมเป็นคนเบื้อใบ้ให้โดนเอาเปรียบแน่ถึงได้ทำเรื่องใหญ่โตต่อหน้าธารกำนัล ในเมื่อความแตกต่อหน้าทุกคนแล้ว ต่อให้ปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิด ดังนั้นฉู่ฉีเหยียนจึงทำเป็นใจกว้างเปิดเผย เชิญให้พวกนางมาร่วมเป็นพยานเสียด้วยเลย

แต่ประโยคนั้นของเขาจงใจกันฉู่ฉีฮุยออกนอกวงแต่แรก เห็นได้ชัดว่า…

เขาพุ่งเป้ามาที่นาง!

“ท่านหญิงห้าเกิดเรื่องในจวนของข้า องค์รัชทายาททางนั้นกลัวว่าจะเข้าใจผิด” ฉู่ฉีเหยียนทำทีเอ่ยเป็นนัย พูดไปแต่มิได้ร้องขอความเห็นจากฉู่ฉีฮุย กลับหันมาทางฉู่สวินหยาง เอ่ยถามว่า “น้องหญิงสวินหยางคิดเห็นอย่างไรเล่า?”

ฉู่สวินหยางรอเขาอยู่นานแล้ว ทันทีที่ได้ฟังก็ส่งยิ้มเล็กๆ ให้ “ข้ารั้งอยู่ที่นี่ คงไม่รบกวนจวนเจ้ากระมัง?”

 “เรื่องในจวนข้าไม่มีสิ่งใดต้องปกปิด!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เขาเองก็ไม่กลัว ในเมื่อซูหลินมาเยือนถึงที่แล้ว อย่างไรพรุ่งนี้ข่าวก็ต้องลือไปถึงในวังอยู่ดี คนจะรู้เร็วหรือรู้ช้าก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย

“เช่นนั้น ก็ตามใจเจ้าบ้านแล้วกัน!” ฉู่สวินหยางกล่าว

ฮูหยินใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว รั้งแขนเสื้อนางไว้อย่างไม่สบายใจ เอ่ยด้วยความลังเลว่า “ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า ต้องกลับจวนดึกๆ ดื่นๆ ผู้หญิงคนเดียวเดินทางไม่ปลอดภัย”

พวกคนจวนอ๋องหนานเหอมีแต่พวกเสือกระหายหิว ไม่อาจไม่ป้องกัน

“ก็ดี!” ฉู่สวินหยางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

ฉู่ฉีฮุยกลัวใจนางนัก แต่เมื่อสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ เขาก็ไม่พูดมากอีก เพียงตอบตกลงไปว่า “เอาเถอะ ข้าไปส่งน้องสี่กับน้องห้ากลับก่อนล่ะ องครักษ์ทิ้งไว้ให้พวกเจ้า ขากลับก็ระวังตัวด้วย”

ฮูหยินใหญ่รับคำ

ฉู่เยว่หนิงที่อยู่บนรถม้าโผล่หน้าออกมาด้วยความกังวล ร้องมาว่า “ท่านแม่…”

“เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้า” ฮูหยินใหญ่บอก กุมมือของนางผ่านทางหน้าต่าง

ฉู่เยว่หนิงมุ่นคิ้วแน่นแต่ก็ผงกศีรษะ

ฉู่ฉีฮุยพลิกตัวขึ้นม้า นำขบวนเดินทางกลับไปอย่างเรียบง่าย ฮูหยินใหญ่ยืนรอส่งที่ประตูใหญ่จนลับสายตา

ใต้ซุ้มประตู ฉู่ฉีเหยียนขยับเข้ามายืนอยู่ข้างฉู่สวินหยางอย่างไร้สุ้มเสียง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า

“ข้าได้ยินว่าช่วงเย็นน้องหญิงสวินหยางหายไปจากงานเลี้ยงเป็นพักใหญ่” น้ำเสียงหยั่งเชิงแต่คล้ายเจือกระแสหยอกล้อ

ที่เขารั้งตัวนางไว้ ก็เพราะอยากจะยืนยันเรื่องนี้?

ฉู่สวินหยางยิ้มให้ แต่ไม่หันไปมองเขา เพียงหัวเราะเบาๆ ทีเล่นทีจริง “ข่าวของซื่อจื่อช่างว่องไวเหลือเกิน!”

นางถึงขั้น…

ไม่ปฏิเสธ

ดวงหน้าของฉู่ฉีเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกในชั่วพริบตา รอยยิ้มยังไม่ทันจะสลายจากดวงหน้าไปเสียหมด มองไปจึงคล้ายกับรูปไม้สลักที่กำลังเข้าฌานนรูปหนึ่ง

ระหว่างสนทนากัน หรูโม่ก็ประคองฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาพอดี

ฉู่สวินหยางไม่สนใจปฏิกิริยาของฉู่ฉีเหยียน เดินเข้าไปจูงมือฮูหยินใหญ่แล้วหมุนกายเข้าประตูไป

นางกับฉู่หลิงอวิ้นปะทะกันอย่างเปิดเผย จึงไม่หวังจะเล่นปริศนาคำทายกับคนฉลาดอย่างฉู่ฉีเหยียน ต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ประเภทนี้…

ไม่จำเป็นต้องเล่นใบ้คำเป็นเด็กๆ

ฉู่ฉีเหยียนหรี่ตาลง มองดรุณีน้อยที่ก้าวเท้าจากไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน อารมณ์ในดวงตาพลันเปลี่ยนสับไปมาไม่หยุดนิ่ง

นางหมายความว่าอะไร?

ยอมรับอย่างเปิดเผยว่านางอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?

แต่จากความเข้าใจของเขาที่มีต่อฉู่หลิงอวิ้น มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของน้องสาวตน

เด็กรับใช้คนสนิทเห็นว่าเขายืนนิ่งเป็นนานจึงขยับเข้าหา เอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องกับพระชายายังรอท่านอยู่ที่โถงนะขอรับ!”

ฉู่ฉีเหยียนได้สติคืนมาแต่กลับหันหน้าไปมองถนนด้านนอกที่ถูกแสงจันทร์ส่องสาด นัยน์ตาเบื้องลึกทอประกายกังวล เอ่ยจะรำพึงออกมาว่า “หลี่หลินล่ะ?”

เด็กรับใช้ผู้นั้นชะงักไป หันซ้ายแลขวา “เหมือนว่าจะไม่เห็นตั้งแต่บ่ายแล้วนะขอรับ!”

เขาเป็นคนส่งหลี่หลินออกไปเอง ฉู่ฉีเหยียนย่อมรู้ดี แต่ว่าจวนสกุลซูเกิดเรื่องขึ้นแล้ว หลี่หลินที่เขาส่งตัวออกไปกลับหายตัวไร้ร่องรอย…

หรือว่า…

หัวใจของฉู่ฉีเหยียนพลันหยุดเต้น ดวงตาทอแสงน่ากลัว สั่งเสียงเย็นว่า “ส่งคนฝีมือดีกลุ่มหนึ่งไปค้นหาแถวๆ จวนสกุลซู หากพบใครน่าสงสัยพาตัวกลับมาให้ข้าทั้งหมด”

เงียบไปสักพัก ก่อนจะเสริมต่ออีกว่า “แถวนั้นใกล้กับศาลาว่าการทหาร อย่าทำอะไรเอะอะไปถึงศาลาว่าการ”

“ขอรับ บ่าวเข้าใจแล้ว!” เด็กรับใช้สนิทสนมกับผู้เป็นนาย รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่ปากมาก รีบรับคำสั่งแล้วหายไป

ในเมื่อฉู่ฉีเหยียนตั้งใจรั้งตัวนางไว้ ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้ขัดข้อง มุ่งหน้าไปที่ห้องโถงของจวนอ๋องหนานเหอทันที

สุราอาหารบนโต๊ะยังไม่ทันเก็บกวาด ถูกทิ้งไว้อย่างเย็นชืด ไร้เงาของผู้คน เทียบกับบรรยากาศคึกคักเมื่อครู่ที่แล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างทางที่ผ่านไปคล้ายจะได้ยินเสียงเยาะหยันอันเงียบเชียบ

ตอนที่ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ไปถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องในจวนอ๋องหนานเหอทั้งหมดได้รวมกันที่โถงจนครบแล้ว รวมทั้งซูหลินเองก็ด้วย สีหน้าแต่ละคนล้วนดูไม่ดี บางคนวิตก บางคนหวาดกลัว บางคนเจ็บปวด และบางคนโกรธแค้น

จื่อเหวยกับจื่อซวี่คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่กลางห้อง

ฉู่สวินหยางกับฮูหยินใหญ่ก้าวเข้าประตูไปพร้อมกัน ซูหลินตวัดสายตาดุดันมามองเป็นคนแรก ตวาดใส่ว่า “เจ้ามาทำอะไร? ที่นี่จวนอ๋องหนานเหอ ไม่ใช่วังบูรพาของเจ้า ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

วาจานี้ ไม่เพียงหมิ่นเกียรติ ซ้ำยังไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

พวกฉู่อี้หมินและคนแซ่เจิ้งต่างไม่คาดฝันว่าจะเห็นฉู่สวินหยางเดินเข้ามาด้วยท่าทางเปิดเผย ล้วนแต่ชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ

สายตาของฉู่สวินหยางกวาดไปมองซูหลินทีหนึ่ง รอยยิ้มที่ติดหน้าอยู่ตลอดพลันจืดจางไป เอ่ยเสียงเย็นชาว่า…

 “ซูหลิน เห็นแก่วันนี้ที่เป็นวันแย่ๆ ของเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าถอนคำพูดเมื่อครู่นี้! ไม่เช่นนั้น… กล้ากล่าววาจาลบหลู่ข้า เจ้าก็รู้ใช่ไหม ต่อให้ข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าพูดว่าข้าผิด!” สีหน้าของนางราบเรียบ น้ำเสียงเย็นชืดเด็ดขาด ไม่มีใครคิดว่านางกำลังพูดเล่น

ดวงตาของซูหลินพลันเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นกระตุก สีหน้าเขียวคล้ำ

ฉู่สวินหยางไม่มีท่าทีอ่อนข้อแม้เพียงครึ่งก้าว เพียงจ้องเขม็งมาที่เขา

นับจากวันนี้ จวนอ๋องหนานเหอกับจวนอ๋องฉางซุ่นจะกลายเป็นศัตรูกันชั่วชีวิต วังบูรพาไม่อิงเอนฝั่งใด นางไม่มีความจำเป็นที่ต้องไว้หน้าซูหลินอีกแล้ว

นางเป็นราชนิกุลสูงศักดิ์ ในยุคที่อำนาจของราชวงศ์สูงส่งเหนือสิ่งใด แม้นางจะเป็นเพียงสตรี เป็นแค่นังเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…

แต่ขุนนางทั้งราชสำนักยังไม่อาจไม่เกรงใจนาง

ก่อนหน้านี้ซูหลินเคยได้เจอนางมาก่อนแล้ว เพียงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดุร้ายไม่เบา แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพลิกหน้าตัดไมตรี ต้อนเขาจนจนมุม…

เขามาโวยวายที่จวนอ๋องหนานเหอด้วยมีพร้อมทั้งเหตุและผล  แต่ฉู่สวินหยางไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขา!

ดวงหน้าของซูหลินเขียวคล้ำไปหมด

คนแซ่เจิ้งคิดจะกู้สถานการณ์ แต่กลับถูกสายตาเย็นเยือกของฉู่อี้หมินหยุดเอาไว้เสียก่อน

ซูหลินไม่ไว้หน้าเขา เขายินดีจะรอดูความสนุกนี้

ซูหลินเห็นว่าฉู่สวินหยางไม่มีท่าทีเลิกรา ก็กัดริมฝีปากตนด้วยความลังเล เค้นเสียงออกมาว่า “หม่อมฉันลุแก่โทสะ เอ่ยวาจาล่วงเกินท่านหญิง ขอท่านหญิง… อภัยให้ด้วย!”

คำยังไม่ทันจบดี ศีรษะก็สะบัดหนีไปด้านข้างอย่างเคืองแค้น

“แค่เรื่องเข้าใจผิด ทุกคนอย่าได้ใส่ใจ!” คนแซ่เจิ้งเห็นสถานการณ์ดังนั้น ถึงได้ออกหน้าไกล่เกลี่ย

ฉู่สวินหยางไม่ได้ติดใจแต่ก็ทำเสียงเยาะใส่ทีหนึ่ง

ฉู่อี้หมินหันไปพูดกับนางด้วยสีหน้าขึงขังว่า “จวนข้าตอนนี้ยังมีเรื่องภายในที่ต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่มีเวลาต้อนรับแขก ทหาร…”

“เสด็จลุงไม่ต้องเกรงใจ!” ฉู่สวินหยางไม่รอให้เขาเอ่ยสองคำว่า ‘ส่งแขก’ ก็เปิดปากตัดบททันที “เป็นซื่อจื่อที่เชิญข้ามา กล่าวว่าจะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องห้าให้ข้าเข้าใจ”

นางพูดอย่างไม่รีบร้อนพร้อมปัดกระโปรงเบาๆ ก่อนจะก้มหน้ามองหาเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่ง

ฮูหยินใหญ่เดินตามไปนั่งข้างๆ นาง สาวใช้ต่างยกชามาให้คนทั้งคู่อย่างรู้งาน

ฉู่สวินหยางนั่งจิบชาในมือทำท่าว่าเรื่องราวต่างๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับตน เอ่ยว่า “เสด็จลุงมีเรื่องอะไรก็รีบจัดการเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าคอยได้!”

ใบหน้าของฉู่อี้หมินยิ่งไม่น่ามองไปใหญ่ แต่รู้ดีว่าฉู่สวินหยางไม่มีทางพูดจาเรื่อยเปื่อย

ไม่นานก็เห็นฉู่ฉีเหยียนรีบร้อนเดินเข้ามาจากด้านนอก

ฉู่อี้หมินส่งสายตาเป็นคำถามให้เขา ฉู่ฉีเหยียนทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับฉู่สวินหยาง ดื่มชาไปอึกหนึ่ง ก็เอ่ยว่า

“ท่านพ่อ ข้ารั้งตัวท่านหญิงสวินหยางเอาไว้เอง ประจวบเหมาะที่ซื่อจื่อซูอยู่พร้อม เรื่องของท่านหญิงซูกับท่านหญิงห้า วันนี้ก็ถือโอกาสไขความกระจ่างให้สองสกุลไปด้วยเสียเลย จัดการทุกอย่างในคราเดียว วันข้างหน้าจะได้ไม่ผิดใจกันอีก”

ถ้าฉู่ฉีเหยียนไม่พูดขึ้นมา ซูหลินคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้ทั้งวันเขายังไม่เห็นหน้าซูหว่านเลย ครุ่นคิดอย่างละเอียดก็จำได้ว่าซูหว่านมาหาเขาแต่เช้าตรู่ อ้อนเขาว่าจะมาอยู่กับฉู่หลิงอวิ้นทางนี้

เกิดเรื่องกับซูหว่านหรือ? แต่จะเกิดเรื่องอะไรได้เล่า?

ซูหลินมือไม้สั่น ถ้วยชาโคลงเล็กน้อย สะบัดหน้าขึ้นมองฉู่ฉีเหยียน เอ่ยว่า “น้องสาวข้าเป็นอะไร?”

“ไม่รู้!” ฉู่ฉีเหยียนตอบทื่อๆ ก่อนจะยิ้มหน้านิ่งราวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน “ก็ตอนช่วงบ่ายมีคนเจอว่าท่านหญิงห้าแห่งวังบูรพากับคุณชายรองสกุลเหลยนอนร่วมห้องกันอยู่ สลบไสลไม่ได้สติ!”

ซูหว่านสลบไปก็จริง แต่ว่าทุกคนต่างมองเห็นอยู่ในสายตา แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับฉู่เยว่เหยียน

ทว่าไม่อาจปฏิเสธ ฉู่ฉีเหยียนจงใจเล่นคำกำกวมเช่นนี้ จะทำให้คนเข้าใจผิดเป็นความหมายอื่นได้ง่ายๆ

ฉู่สวินหยางชื่นชมวิชาตีหน้าของคนผู้นี้อยู่ในใจ

เช่นนี้แล้ว จะทำให้ซูหลินคิดว่าตัวเองมีชนักติดหลัง อารมณ์ย่อมอ่อนลงมาไม่น้อย

ฉู่สวินหยางไม่ได้เปิดโปงเขา

มองสองสกุลจิกกัดกัน เหตุใดนางจะไม่สุขใจเล่า?

เส้นเลือดบนหน้าผากของซูหลินผุดชัด บีบถ้วยชาแตกละเอียดด้วยคุมพลังในมือไม่อยู่ น้ำชากระเซ็นซ่าน หกรดทั่วร่างเขา

เขาเด้งตัวลุกขึ้น ตวาดว่า “พาข้าไปพบหว่านเอ๋อร์!”

ฉู่ฉีเหยียนไม่ขยับ แต่ฉู่อี้หมินแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ท่านหญิงซูทางนั้นชายาข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนไปหาหรอก ในเมื่อซื่อจื่อซูมาเยี่ยมข้าถึงหน้าประตู พวกเราก็พูดคุยเรื่องตรงหน้าก็กระจ่างกันก่อนเถอะ!”

“อย่างไรเล่า? ท่านอ๋องคิดจะจับหว่านเอ๋อร์ไว้เป็นตัวประกันรึ?” ซูหลินกระตุกยิ้ม เอ่ยคำเสียดสี “นี่คงไม่ใช่อุบายที่จวนอ๋องหนานเหอวางเอาไว้แต่แรกกระมัง?”

กักตัวซูหว่านเอาไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนตัวเจ้าสาว สุดท้ายบีบให้เขายอมจำนน

ช่างเป็นการดีดลูกคิดที่ถี่ถ้วน มีแต่ได้ไม่มีเสียเลยจริงๆ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด