สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 79 แผนชายงาม (1)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 Chapter 79 แผนชายงาม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉู่เยว่เหยียนตกตะลึง ยังไม่ทันจะมองให้ชัดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางก็ถูกเขาผลักข้อมือไปข้างหลังเบาๆ

การเคลื่อนไหวไม่มาก แต่ใช้แรงได้พอดิบพอดี

ฝีเท้าของฉู่เยว่เหยียนซวนเซเล็กน้อย จนต้องถอยลงไปอยู่ด้านล่างของบันได สาวใช้คนสนิทที่พามาด้วยเข้ามาพยุงนางไว้อย่างเงียบๆ

“เจ้า…” ฉู่เยว่เหยียนอับอายจนโกรธ กำลังจะตวาดใส่ก็ทันสังเกตเห็นว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล…

ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ที่นางเกณฑ์มา ต่างไม่มีใครก้าวขึ้นมาช่วยประคองนางเลยสักคน ถึงขนาดไม่ปริปากส่งเสียง กลั้นหายใจ ไม่ยอมปล่อยออกมาสักเฮือกเดียว

ฉู่เยว่เหยียนพลันชะงักคำ หันไปมองตามเสียง

ฉู่สวินหยางปลื้มปริ่มดีใจ นัยน์ตาท่วมท้นด้วยความสุข

นางโผตัวเข้าไปดึงแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิงเอาไว้ เรียกเขา “พี่รอง!”

ฉู่ฉีเฟิงยกมือลูบผมนางเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม และสายตารักใคร่อ่อนโยน

“อากาศหนาวเช่นนี้ไม่ยอมอยู่ในเรือน ยังจะออกมาทำเรื่องไร้สาระกับพวกนี้อีก?”

ฉู่สวินหยางหัวเราะ แต่ไม่ตอบว่ากระไร

คงเพราะเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ฉู่ฉีเฟิงจึงมีเพียงชุดผ้าไหมสีพื้นเรียบง่ายอยู่ตัวเดียว เสื้อคลุมขนสัตว์สีดำตัวใหญ่ถูกเจี่ยงลิ่วหอบไว้ในแขน แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าบางมาก แต่สีหน้ายังดู มีชีวิตชีวากระปรี่กระเปร่า

สามเดือนที่ฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารเมืองฉู่ ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้ผิวพรรณจะไม่ได้ขาวผ่องดังเก่า แต่ก็ไม่อาจทำลายความสูงส่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดได้ กลางหว่างคิ้วมีความองอาจเพิ่มขึ้นหลายส่วน เว้นแต่สายตาอบอุ่นอ่อนโยนที่มักใช้มองนางคู่นั้นที่ยังเป็นเช่นเก่าไม่เปลี่ยนแปลง

รอยยิ้มที่มุมปากของฉู่สวินหยางกดลึกขึ้นอีกอย่างไม่รู้ตัว

ตอนนี้ฉู่เยว่เหยียนได้สติกลับคืนมาแล้ว

นางออกแรงกัดริมฝีปาก สูดหายใจลึกแล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง เอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่รอง ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกับพี่สาม หากว่าสะดวก ขอพี่รองช่วยหลบไปก่อนได้หรือไม่?”

ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนลำเอียง หากบอกว่าฉู่อี้อันตามใจฉู่สวินหยางจนเกินขอบเขต เช่นนั้นฉู่ฉีเฟิงก็เรียกได้ว่าไม่เคยขัดใจนางเลย

เป็นพี่น้องเหมือนๆ กัน ไม่เห็นว่าฉู่ฉีฮุยจะเข้าข้างนางขนาดนี้!

ฉู่เยว่เหยียนคิดในใจ พลันรู้สึกถึงเกลียดชังขึ้นมา

ฉู่ฉีเฟิงมองนางทีหนึ่ง แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เอ่ยว่า “ที่นี่คือวังบูรพา ไม่มีพื้นที่ใดในจวนนี้ที่ข้าจะอยู่ไม่ได้ เป็นเจ้าเสียมากกว่า มาก่อเรื่องวุ่นวายอะไรกับพี่สามของเจ้า?”

เดิมฉู่เยว่เหยียนมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ครบพร้อม ทั้งหมดล้วนเตรียมการมาอย่างดี สาวใช้บ่าวไพร่ในเรือนก็เกณฑ์มาจนเกือบหมด คิดจะมาทวงความยุติธรรมจากฉู่สวินหยาง

สายตาของฉู่ฉีเฟิงตวัดมองเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรแล้ว

สาวใช้บ่าวไพร่ต่างตกใจจนหน้าซีด พยายามหดคอตัวเองให้ต่ำเอาไว้ ในใจอยากจะมุดดินหนีให้จบเรื่อง…

ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนนุ่มนวลสุภาพ กับบ่าวไพร่ก็ปฏิบัติตัวด้วยดีอยู่เสมอ แต่คนในวังบูรพาต่างก็รู้กันทั่ว ความใจดีของเขาผูกติดด้วยเงื่อนไข นั่นก็คือ…

อย่าได้มาแตะต้องข้องแวะกับน้องสาวสุดรักสุดหวงของเขา ฉู่สวินหยาง!

หากว่ามีบ่าวคนใดลบหลู่เขาเข้าโดยไม่ตั้งใจ บางทีเขาอาจไม่ถือสา แต่หากไปหาเรื่องน้องสาวคนดีของเขาเข้า…

ท่านอ๋องน้อยผู้เคยสุภาพอ่อนโยนกว่าใครๆ ก็สามารถลงโทษคนได้อย่างไร้ความปราณี

เมื่อครู่ฉู่เยว่เหยียนลงมือทำร้ายฉู่สวินหยางต่อหน้าเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าสายตาของฉู่ฉีเฟิงในตอนนี้จะทิ่มแทงคนถึงเพียงไหน

ฝืนทนได้เพียงแค่ชั่วหนึ่ง บ่าวไพร่นับสิบคนก็ทรุดตัวลงหมอบ หลบเลี่ยงดวงตากดดันคู่นั้น

ฉู่เยว่เหยียนรู้สึกถึงพลังไร้เสียงสายหนึ่งกดทับด้านบนศีรษะของตน

ความจริง นางเองก็กลัวฉู่ฉีเฟิงอยู่เล็กน้อย เพราะเวลาที่คนผู้นี้โมโห เขาก็หาได้เกรงใจฉู่อี้อันเลยสักนิด

แต่เพราะอยู่ต่อหน้าฉู่สวินหยาง นางจะยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด

“ข้ามาคุยกับพี่สามให้เข้าใจ!” ฉู่เยว่เหยียนแข็งคอสู้ เอ่ยเสียงฟังชัดว่า “ข้าอยากจะถามนางว่า เหตุใดถึงปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของข้า?”

กล่าวจบก็หันหน้าไปทางฉู่สวินหยาง เค้นถาม “พวกเราเป็นพี่เป็นน้องกัน ทำไมเจ้าต้องใจร้ายกับข้าถึงเพียงนี้?”

ฉู่สวินหยางมองนางคล้ายจะหัวเราะ แม้คำอธิบายสักประโยคก็คร้านจะเอ่ยกับนาง

เมื่อเห็นท่าทางของนางฉู่เยว่เหยียนยิ่งเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ กำลังจะเอ่ยต่อก็ถูกฉู่ฉีเฟิงใช้น้ำเสียงเย็นชาพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “พูดจบแล้วก็กลับเรือนซินอี๋ไปเถอะ หากยังก่อความวุ่นวายเหมือนคนไม่ได้รับการสั่งสอนอีก ข้าจะสั่งลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อ!”

วาจาของฉู่ฉีเฟิง หาใช่คำล้อเล่น

สาวใช้ของฉู่เยว่เหยียนเริ่มร้อนรน รีบเข้ามาดึงแขนเสื้อของนางไว้ กระซิบกล่อมว่า “ท่านหญิง กลับเถอะเจ้าค่ะ!”

“ปล่อยนะ!” ฉู่เยว่เหยียนสะบัดนางทิ้งอย่างเกรี้ยวกราด

สาวใช้คนนั้นยืนไม่มั่นคง เซไปด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับคนที่เพิ่งจะมาถึง พอทรงตัวได้แล้วจึงรีบย่อกายคารวะ “ท่านจ่างซุน!”

ฉู่ฉีฮุยผ่านมาแต่ไกลๆ พอเห็นเหตุการณ์ทางนี้ สีหน้าก็มืดดำไปครึ่งแถบ

“พี่ใหญ่ มาได้เวลาพอดี ข้า…” ฉู่เยว่เหยียนคิดว่ามีคนให้ท้ายนางแล้ว รีบปรี่เข้าไปหาอย่างหน้าชื่นตาบาน

ฉู่ฉีฮุยปรายตาปรามนางทีหนึ่ง แล้วก็ไม่สนใจอีก ฝีเท้าไม่ได้หยุดพัก เดินตรงไปหาฉู่ฉีเฟิงทันที

“น้องรอง!” ฉู่ฉีฮุยสาวเท้ายาวเข้ามา รอยยิ้มกระจายเต็มหน้า คล้ายว่ายินดีปรีดาหนักหนา เขาตบไหล่ฉู่ฉีเฟิงอย่างแรง “กลับมาแต่เมื่อไร? ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย?”

ทั้งวาจา สีหน้าและท่าทางล้วนเสแสร้งได้อย่างแนบเนียน แต่ฉู่สวินหยางยืนอยู่ด้านข้าง ยังมองเห็นรอยยิ้มแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติบนใบหน้าเขาได้

คนในจวนทั้งหมด เกรงว่าผู้ที่ไม่อยากเห็นฉู่ฉีเฟิงปรากฏตัวออกมามากที่สุดก็คือเขานี่แหละ!

ฉู่ฉีเฟิงส่งยิ้มให้เขา แล้วตอบกลับไปสั้นๆ ว่า “เพิ่งถึง!”

สายตาของฉู่ฉีฮุยมีแสงวาบผ่าน รู้แก่ใจดีว่าที่เขากลับมาคราวนี้ต้องเกี่ยวกับการศึกเมืองฉู่ หรือไม่ก็อาจถูกฮ่องเต้เรียกตัวอย่างลับๆ ไม่เช่นนั้นข่าวการกลับมาของเขาคงไม่เก็บงำมิดชิดแม้แต่กับคนในจวน

หัวใจพลันกระตุก ฉู่ฉีฮุยไม่ได้ซักต่ออย่างรู้กาลเทศะ เพียงเอ่ยว่า “กลับมาก็ดี ใกล้จะปีใหม่แล้ว พวกเราครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า!”

ว่าแล้วก็โอบไหล่เขา ราวกับเป็นคู่พี่น้องที่รักใคร่ปรองดองลึกซึ้ง

ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้หลบเลี่ยง มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ และพูดคุยอย่างสุภาพตามมารยาทไปสองประโยค

ฉู่เยว่เหยียนที่ถูกลืมไว้ด้านข้างพรวดพราดเข้ามายืนอยู่หน้าคนทั้งสองอย่างทนไม่ไหว เอ่ยเสียงดังว่า “พี่ใหญ่มาก็ดีแล้ว ฉู่สวินหยางมันทำร้ายข้า พี่ต้องเป็นพยานให้ข้านะ!”

คำยังไม่ทันจบดี ฉู่ฉีฮุยก็ตวัดตาขวางใส่ สั่งสอนนางว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? นางเป็นพี่สามของเจ้านะ!”

ฉู่เยว่เหยียนถูกเขาตวาดใส่จนตาแดงก่ำ ไม่คิดว่าเขาจะเข้าข้างคนอื่น และไม่พยายามปกป้องตนเลยสักนิด

ฉู่ฉีฮุยไม่ได้ถูกน้ำตาของนางทำให้ใจอ่อน ยังดุด่าต่ออย่างรุนแรงว่า “ยังไม่รีบกลับเรือนตัวเองไปอีก? มาโหวกเหวกตรงนี้มันเหมาะสมหรือไม่?”

“ข้าไม่กลับ!” ในที่สุดฉู่เยว่เหยียนก็ปล่อยโฮออกมา นิ้วชี้ไปทางฉู่สวินหยาง ร้องว่า “นางทำร้ายข้า คนอื่นไม่ใยดีข้าก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่ช่วยข้า?”

ฉู่ฉีฮุยเองก็เก็บกดอารมณ์อยู่นานแล้ว ยกมือสั่งให้สาวใช้ลากนางออกไป

นัยน์ตาของฉู่ฉีเฟิงเต้นระริก ขยับมาข้างหน้าเล็กน้อยอย่างไร้เสียง ก่อนจะยกแขนขวางเอาไว้ เอ่ยว่า “ข้าเพิ่งกลับมาถึง อีกเดี๋ยวต้องไปคารวะท่านพ่อที่ หากน้องห้ามีเรื่องอัดอั้นอยากร้องทุกข์ เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเลยเถอะ ทุกเรื่อง… ล้วนให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสิน!”

ฉู่ฉีฮุยกระวนกระวายทันที ตั้งท่าจะปฏิเสธ ทว่าฉู่เยว่เหยียนกลับทำตาเป็นประกาย ถลึงตาใส่ฉู่สวินหยางทีหนึ่งอย่างดุร้าย “ดีสิ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะแก้ตัวเรื่องนี้กับท่านพ่ออย่างไร!”

กล่าวจบก็เชิดหน้าเหมือนไก่ชนที่เย่อหยิ่ง หมุนตัวเดินจากไป

ฉู่ฉีฮุยอยากจะห้ามแต่ก็ไร้ปัญญา ขณะที่ร้อนรนจึงทำได้เพียงเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่องว่า “น้องรอง เหยียนเอ๋อร์ยังเล็กไม่รู้ความ เจ้าอย่าถือสาหาความกับนางเลย นาง…”

“จะเรื่องใดก็ให้ท่านพ่อตัดสินเถอะ พี่ใหญ่อย่าได้คิดมาก!” ฉู่ฉีเฟิงขยับยิ้มน้อยๆ คิดยืมมือของผู้อื่นมาจัดการเรื่องราวแทน

จากนั้นก็เดินผ่านเขาไป ส่งสายตาไปทางฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “เจ้าก็ไปพร้อมข้าเลยเถอะ!”

“ก็ได้!” ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ

พี่ชายน้องสาวจึงเดินเคียงไหล่ไปที่ส่วนหน้าของจวน

ฉู่ฉีฮุยอับจนหนทาง ได้แต่เดินตามหลังไป

————————————————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด