สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 80 ศัตรูคู่แค้น (2)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 Chapter 80 ศัตรูคู่แค้น (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เฮ้ย!” ฉู่สวินหยางตกตะลึง ร้องออกมาอย่างตกใจ ใบหน้าแดงก่ำ

 

เหยียนหลิงจวินตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ในสมองยังขบคิดถึงความรู้สึกยุบยิบที่วิ่งแผ่น

 

พอได้ยินเสียงร้องตกใจของฉู่สวินหยาง เขาถึงได้ก้มหน้ามอง

 

พอได้สบตากับเขา ดวงหน้าของฉู่สวินหยางก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า รีบหดตัวลงต่ำ ไถลตัวออกจากอ้อมแขนของเขาเหมือนปลาน้อยที่ว่ายน้ำหนี แล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง

 

อ้อมแขนที่ว่างลงอย่างกะทันหันทำให้เขาหันขวับ ก่อนจะพลิกตัวลงจากม้า พุ่งกายตามไปยังทิศทางที่นางวิ่งหนี

 

เขายื่นแขนออกไปคว้านางตามสัญชาตญาณ

 

ขณะนั้นฉู่สวินหยางกำลังกระดาก ย่อมถอยห่างออกไปเพื่อหลบเลี่ยง

 

นางขบริมฝีปาก หน้าน้อยแดงจนไหม้ มองไม่ออกว่าโมโห โกรธเคือง หรือว่าแค้นใจ นางถลึงตาใส่เหยียนหลิงจวิน ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปหาม้าของตนที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ข้างหลัง ตั้งท่าว่าจะเผ่นหนีอย่างเดียว

 

เหยียนหลิงจวินกระโจนก้าวหนึ่งก็ตามทัน อาศัยความสูงที่มากกว่าแย่งบังเหียนม้าเอาไว้ก่อน

 

ฉู่สวินหยางคว้าได้เพียงลม หันขวับมามองอย่างโมโห

 

เขายืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ร่างสูงโปร่งคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนหนา แสงตะวันด้านหลังทาบทับจนเห็นเป็นเงามืด เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ปิดทางหนีของนางจนมิด ฉู่สวินหยางต้องแหงนหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นดวงหน้าของเขา

 

นึกถึงอุบัติเหตุแนบเนื้ออันไม่นึกฝันที่เพิ่งผ่านไป  ฉู่สวินหยางก็อดจะเขินอายไม่ได้ เอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้ “ข้าจะกลับแล้ว!”

 

นางก้มหน้างุดๆ เหยียนหลิงจวินจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่พอฟังออกจากน้ำเสียงว่าเริ่มโมโหแล้วจริงๆ

 

น้อยนักที่จะได้เห็นท่าทางก้มหน้าก้มหน้าอย่างดื้อรั้นของนาง เหยียนหลิงจวินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

 

เขาขยับเข้าไปหาอีกครึ่งก้าว เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย

 

ฉู่สวินหยางเอนตัวหนีไปข้างหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหยอกล้อดังขึ้นที่ด้านบนศีรษะว่า “ไม่ต้องหลบหรอก ข้าไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย อีกอย่าง ข้าจะไม่เอาไปบอกใครด้วย!”

 

เขายังมีอารมณ์มาล้อเล่น? หรือคิดว่านางตั้งใจเอาเปรียบเขาจริงๆ งั้นรึ?

 

ฉู่สวินหยางเริ่มไม่สบอารมณ์ แต่เวลานี้หาได้มีกระจิตกระใจไปต่อปากต่อคำกับเขา เพียงผลักเขาแรงๆ ทีหนึ่ง แล้วโถมตัวเข้าไปแย่งบังเหียนม้าจากมือเขา “ข้ามีธุระ ไปก่อนล่ะ!”

 

จบคำก็กระโดดพรึบคร่อมหลังม้า ตะโกนสั่งทีหนึ่ง ชิงเปิดทางไปก่อนอย่างไม่หันหลังกลับมามองสักนิด

 

เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ที่เก่า มองแผ่นหลังของคนที่พ่ายแพ้แล้วชิ่งหนีก่อนจะหัวเราะออกมา สายตาพราวระยับกระทบแสงตะวัน ส่องให้เห็นเมฆหมอกที่เปิดกว้างในเบื้องลึก เป็นความงามที่สะกดไปทั่วทั้งสายน้ำร้อยลี้ปฐพีหมื่นโยชน์

 

เชินหลานถูกอิ้งจื่อดึงไว้ แม้จะหลบอยู่ที่ต้นถนนซึ่งห่างออกไปอีกช่วงตัว แต่ก็ยังอดจะชะเง้อชะแง้แอบมองไม่ได้ เอ่ยคำขณะที่เกาะกำแพงอิฐอยู่ว่า “เกิดอะไรขึ้น? นายท่านไปทำอะไรให้ท่านหญิงสวินหยางโกรธหรอ? เขามัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบตามไปอีก!”

 

ดูท่าแล้ว หากมิใช่ว่ามีอิ้งจื่ออยู่ข้างๆ คอยดึงอยู่ นางคงไปตามคนด้วยตัวเองแล้ว

 

มือข้างหนึ่งของอิ้งจื่อคว้าแขนนางไว้ มืออีกข้างก็ใช้ปิดปากนาง ถลึงตาใส่เป็นการตักเตือนว่า “อย่ายุ่งน่ะ กลับได้แล้ว!”

 

พูดจบก็ลากเชินหลานจากไป

 

นางฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เล็ก สายตาย่อมดีกว่าเชินหลานหลายเท่า เมื่อครู่ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง นางเห็นชัดแจ้งเต็มตา จึงไม่อาจปล่อยให้เชินหลานมาเอะอะโวยวายอยู่ตรงนี้

 

ฉู่สวินหยางห้อม้ากลับจวน พอเข้าประตูไปก็เจอกับพ่อบ้านเจิงพอดี

 

“ท่านหญิง!” พ่อบ้านเจิงร้องเรียก “ข้าน้อยกำลังสั่งคนให้ไปตามท่านหาพอดี นายท่านรออยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านรีบไปเถอะขอรับ!”

 

ฉู่สวินหยางยื่นแส้ม้าในมือให้เขา ขณะเดินผ่านเข้าไปก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “วันนี้ท่านพ่อประชุมเช้าเสร็จก็กลับจวนเลยรึ? ไม่ได้เข้าวัง?”

 

“ขอรับ!” พ่อบ้านเจิงตอบ ไม่ได้ปากมาก

 

ฉู่สวินหยางก็ไม่ซักไซ้

 

ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งกลับมาถึงจวนเมื่อวาน กลางคืนดึกดื่นก็ถูกฉู่อี้อันเรียกเข้าไปคุยที่ห้องหนังสือ ทั้งสองอยู่ในนั้นข้ามคืนไม่หลับไม่นอน ส่วนว่าพวกเขาหารือเรื่องอะไรกันนั้น ฉู่สวินหยางพอจะคาดคะเนได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฉู่อี้อันถึงรีบร้อนเรียกหานางด้วย?

 

ฉู่สวินหยางไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตรงไปหาฉู่อี้อันทันที พอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นทั้งสองกำลังมุงแผนที่ผืนหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ คล้ายว่ากำลังหารือเรื่องอะไรอยู่

 

“ท่านพ่อ พ่อบ้านเจิงบอกว่าท่านหาข้าอยู่?” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยปาก นางส่งยิ้มให้ฉู่ฉีเฟิง “พี่รองก็อยู่ที่นี่ด้วย!”

 

“อืม!” ฉู่อี้อันรับคำเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาเห็นชุดที่นางใส่อยู่ ดวงตาพลันวาบแสง

 

กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่ชิงเปิดปากว่า “เจ้าออกไปข้างนอกมารึ? อากาศเย็นเพียงนี้ อย่าเที่ยวเล่นไปทั่ว ระวังจะเป็นไข้ไปเสีย”

 

“ไม่เป็นหรอกน่ะ ข้าใส่ตั้งหลายชั้นนะ!” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ก่อนจะรีบเบี่ยงประเด็น “ท่านพ่อรีบให้ตามข้ามา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เรียกเจ้ามาบอกว่า พ้นปีใหม่ไปพี่ชายของเจ้าก็ต้องกลับเมืองฉู่แล้ว ช่วงนี้ที่ยังว่างก็ใช้เวลาด้วยกันให้มากหน่อย” ฉู่อี้อันตอบ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ

 

ฉู่สวินหยางชะงักไป มองทางเขาทีหนึ่ง แล้วหันไปมองฉู่ฉีเฟิงต่อ ถามอย่างแปลกใจ “ก่อนพี่รองจะกลับมา ฝ่าบาทไม่ได้ส่งผู้คุมทัพคนใหม่ไปแล้วหรือ? เขาคง… ไม่เต็มใจให้พี่รองกลับไปหรอกกระมัง!”

 

ไม่ต้องสงสัยเลย ฉู่อี้อันชิงเคลื่อนไหวก่อน เขาเริ่มแทรกซึมทางการทหารแล้ว

 

แต่เพราะตัวฮ่องเต้เองก็ขึ้นนั่งบัลลังก์โดยใช้กำลังทหาร พระองค์มีตัวเองเป็นบทเรียน จึงทรงระแวดระวังด้านนี้มาก สิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงกุมอำนาจทหารไว้ในมือเดียว ไม่ยอมแบ่งไปให้ใครเด็ดขาด

 

ก่อนหน้านี้ด้วยเหตุว่าสงครามกับหนานฮวาตึงเครียดหนัก พระองค์จึงต้องส่งฉู่อี้อันไปคุมทัพอย่างไม่มีทางเลือก คิดจะพลิกสถานการณ์กลับมา บัดนี้ นับแต่หรงเสี่ยนหยางกลับแคว้นหนานฮวาไปเหตุการณ์ก็เริ่มมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้วังบูรพายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก

 

ฉู่อี้อันหลุบตาจิบน้ำชา ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

 

กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สงครามจะแพ้หรือชนะ เดิมก็พลิกผันได้ร้อยพันแบบ ผู้คุมทัพคนหนึ่งทำอะไรได้ไม่มากหรอก แค่ต้องดูว่าเขามีความสามารถพอจะนั่งตำแหน่งนั้นได้นานแค่ไหน”

 

สมองของฉู่สวินหยางหมุนแล่นอย่างว่องไว พักเดียวก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

 

ฉู่อี้อันแสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดถึงประเด็นนี้อีกต่อไป เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมไปที่อารามเมตตาล่ะ”

 

จะให้เขาคุยแผนการที่จะจัดการบิดาของตนต่อหน้าลูกๆ…

 

แม้แผนการจะเริ่มต้นแล้ว แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากมากความ

 

ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

 

“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “เมื่อคืนข้าสั่งคนให้เตรียมของขวัญกับแพรพรรณเอาไว้แล้ว สวินหยางถ้าตอนบ่ายเจ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ?”

 

“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ

 

ฉู่อี้อันโบกมือไล่ สองคนจึงคารวะแล้วล่าถอยออกมา

 

ตั้งแต่ออกมาจากห้องหนังสือ ฉู่สวินหยางก็เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ตลอดทางไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ

 

ฉู่ฉีเฟิงเหลือบตามอง แล้วยกมือตบไหล่นาง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “ถ้าไม่อยากเข้าไป เจ้ารอข้าที่หน้าประตูวัดก็ได้ ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนว่าถูกบังคับให้เดินขึ้นลานประหารหรอก”

 

เป็นเรื่องที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่าคนแซ่ฟางกับฉู่สวินหยางไม่ลงรอยกัน ฉู่ฉีเฟิงรับรู้เรื่องนี้อย่างกระจ่าง

 

ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงเขาพูดไปอีกเรื่องหนึ่งก็ได้สติกลับมา แต่คิ้วก็ยังพันกันยุ่ง ไม่มีท่าว่าจะคลายออกเลยสักนิด

 

ฉู่ฉีเฟิงอดจะเป็นห่วงนางไม่ได้ เอ่ยว่า “เป็นอะไร? ไม่สบายรึ?”

 

พูดแล้วก็ยื่นมือจะมาแตะหน้าผากของนาง

 

ฉู่สวินหยางกันมือเขาออก มองหน้าเขาตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ชั่งใจอยู่นานก่อนจะสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะเรื่องไปอารามเมตตาหรอก พี่รอง ไปที่จวนของท่านพี่ก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย!”

 

ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเคร่งเครียดก็ไม่กล้าวางใจ สั่งให้เจี่ยงลิ่วไปเตรียมรถม้า ส่วนตัวเองกับฉู่สวินหยางก็กลับไปเรือนจิ่นโม่

 

——————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด