สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 90.1 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (1)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 Chapter 90.1 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 90 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (1)

ความคิดของฮ่องเต้ถูกขัดขึ้นอีกครั้ง พระองค์ขมวดคิ้วหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์

เหยียนหลิงจวินไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ฝังเข็มในมือต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นเองนิ้วมืออีกข้างหนึ่งของเขา ที่กำลังจับชีพจรบนแขนของฮ่องเต้อยู่นั้น สัมผัสได้ถึงแรงดันขึ้นจากภายใน เขาจึงใช้เข็มยาวทิ่มทะลุนิ้วกลางของฮ่องเต้ จากนั้นเลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด เลือดสีแดงเข้มที่เห็นชัดได้เลยว่าเต็มไปด้วยพิษร้าย

ใบหน้าของฮ่องเต้จึงค่อยๆ นิ่งสงบลง

คนที่เหลือไม่ส่งเสียงเอ่ยคำพูดใดขึ้น ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง

แววตาของฮ่องเต้ทอดมองยาวออกไปอีกครั้ง สังเกตได้ชัดเลยว่าเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บทสนทนาเมื่อครู่ราบรื่นไปได้สวย เผยรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน…”

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักจะให้คนนำยามาให้” เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

ฮ่องเต้พึงพอใจในตัวเขาพอสมควร ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงโบกมืออนุญาต

เมื่อเลือดพิษถูกขับออกมาแล้ว เหยียนหลิงจวินก็หาข้ออ้างอย่างอื่นที่จะอยู่ต่ออีกไม่ได้ หากดึงดันฝังเข็มเพื่อการอื่นหรือถ่วงเวลาเขียนรายการยาบำรุงให้อีกล่ะก็ ทำแบบนั้นจะมีพิรุธมากเกินไป ยากที่จะรับประกันได้ว่าฮ่องเต้จะไม่เกิดความสงสัยระแวงขึ้น

เดินทีวันนี้เขาก็แค่อยากหาโอกาสมาพบเจอฉู่สวินหยาง เพื่ออธิบายเรื่องเมื่อคืนก่อนให้ชัดเจนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคนจากวังบูรพาจะส่งข่าวมาให้เขา บอกว่าฉู่สวินหยางโดนหลัวฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบเป็นการส่วนตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เมื่อรวมกับเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว เป้าหมายที่หลัวฮองเฮาทำแบบนี้ เขาเองก็พอจะเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วน ตอนนั้นเขาเลยอดใจรอเจอนางด้านนอกวังไม่ไหว จึงหาข้ออ้างมายังห้องทรงอักษรให้ได้

ที่จริงดูจากสถานะของเขาแล้ว เขาไม่มีสิทธิมีปากเสียงในเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ ถึงเข้ามาก็ทำได้เพียงมองดู แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตน เมื่อรู้ว่านางอยู่ด้านในก็ดึงดันที่จะเข้ามาให้ได้

ฉู่สวินหยางคุกเข่ายืดตัวตรงอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าสงบเสงี่ยม เปลือกตาปิดลงไปกว่าครึ่ง ไม่เผยให้เห็นความรู้สึกใด

เหยียนหลิงจวินเข้าใจดี ไม่ว่าการตัดสินใจนี้จะมาจากความยินยอมของตัวนางเอง หรือว่าคิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของวังบูรพา ในท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้มันก็จบลงอย่างไม่สวยอยู่ดี แต่ถึงเป็นเยี่ยงนั้น คำพูดชัดเจนไม่ลังเลที่ได้ยินเมื่อครู่ กลับทำให้เขารู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างมาก เจ็บปวดราวกับโดนเม็ดทรายเสียดสีทิ่มแทง อดทนปิดกั้นความรู้สึกโกรธที่บอกไม่ถูกเอาไว้ไม่ได้จนแทบจะระเบิดปะทุออกมา

ถึงแม้มันจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง แต่พูดตามจริงเขาก็ไม่อยากได้ยินคำพูดนี้แม้แต่น้อย

เหยียนหลิงจวินถือกล่องยาเดินออกไป แววตาของเขาสับสนวุ่นวาย แต่หางตากลับมองใบหน้าด้านข้างของฉู่สวินหยางอย่างไม่ลดละ

สีหน้าของนางเงียบสงบ คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษรราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของนางบ่งบอกไม่ได้เลยว่า นางตั้งใจที่จะเล่นแง่ หรือยังคิดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่กันแน่

จิตใจของเหยียนหลิงจวินร้อนรนเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ ทำได้เพียงเดินเฉียดไหล่ของทั่วป๋าไหวอัน แล้วหันไปยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าองค์ชายห้าได้รับบาดเจ็บ หากต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ อย่าได้คิดเกรงใจนะขอรับ”

ทั่วป๋าไหวอันขมวดคิ้วขึ้น พลางมองรอยยิ้มอย่างใจกว้างเหมือนอย่างปกติของเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริง แววตานั้นมีความรู้สึกน่าเกรงขามและเยาะเย้ยอยู่ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่า…

เขากำลังส่งสายตาเตือนอยู่

สายตาของทั่วป๋าไหวอันหันไปมองร่างกายของฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหลังเขา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกแย่ไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

แววตาของเขาเย็นชาลง เบนสายตาออกอย่างไม่แยแส “แค่แผลเล็กน้อย ไม่ต้องรบกวนใต้เท้าเหยียนหลิงหรอกขอรับ!”

เหยียนหลิงจวินยิ้ม จากนั้นก้าวเท้าเดินออกไป

ทางฝั่งฮ่องเต้เองก็อารมณ์ดี รื้อฟื้นรำลึกความหลัง พูดกับฉู่อี้อันขึ้นว่า “ในเมื่อเด็กทั้งสองคนเขามีใจให้กันแล้ว…”

เมื่อฉู่สวินหยางได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว…

มีใจงั้นรึ? นางและทั่วป๋าไหวอันมีใจให้กันจริง ถึงแม้จะไม่ได้พบกันต่อหน้า แต่ก็เจอกันสะสางเรื่องราวด้วยกันลับหลังมาแล้วหลายครั้ง มันไม่ได้เรียกว่ามีใจงั้นรึ?

เป็นเยี่ยงนั้นรึ…

หรือพูดให้ถูกแล้วล่ะก็ ต่างคนต่างมีใจหวังให้อีกฝ่ายลำบากมากกว่ากระมัง!

นางหาได้สนใจไม่ สีหน้าท่าทางรับฟังคำสั่งอย่างโดยดี ทั่วป๋าไหวอันที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็รู้สึกขมขื่นใจ

“กระหม่อมขอขอบพระทัยความรักความเอ็นดูที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมอบให้มากพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” ฮ่องเต้ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ทั่วป๋าไหวอันก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างกายฉู่สวินหยาง

เขาเอ่ยพูดออกมาอย่างไม่ลังเล หางตาอดไม่ได้ที่จะชายมองฉู่สวินหยาง พลางพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “ฝ่าบาททรงถอนคำพูดเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมออกเรือนกับท่านหญิงสวินหยางไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม แต่เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้นก็โยนทิ้งลงพื้นอย่างแรง

สีหน้าของฉู่อี้อันที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปในทันที พลันวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเสียงดัง เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชาว่า “ทั่วป๋าไหวอัน ข้าเห็นแก่พระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ย ถึงได้ยินยอมที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย แต่เจ้ากลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี กล้าดูถูกบุตรสาวของข้าต่อหน้าผู้คน นี่เจ้าต้องการทำให้ข้ารู้สึกเสียหน้าใช่ไหม?”

ในใจของทั่วป๋าไหวอันกรีดร้องโอดครวญ แต่เวลานั้นทำได้เพียงกัดฟันอดทนเอาไว้

ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ก็รู้สึกได้ขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นที่ปกคลุมใบหน้าเอาไว้ เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “ทำไม? สวินหยางเป็นคนที่ข้าแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงเองกับมือ ดีเลิศทั้งหน้าตากิริยาวาจาหาที่ใดเปรียบ หรือว่าขนาดนี้ก็ยังเป็นการดูถูกเจ้าอีกงั้นรึ?”

ความคิดของเขาไม่เหมือนกับคนอื่น ทั่วป๋าไหวอันทำไปเพียงเพราะอยากรู้ความต้องการของเขา จึงตั้งใจพูดปฏิเสธออกไป

ฉู่สวินหยางไร้ที่ติทุกอย่าง ไม่ว่าจะหน้าตาหรืออากัปกิริยา ทำไมทั่วป๋าไหวอันจะไม่รู้เรื่องนี้ ถึงแม้เขาจะตอบรับสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานคู่ครองเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ แต่ในใจของเขารู้ดี…

ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีความคิดกระทำการอื่นเป็นแน่!

หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ช่างเสียเถิด แต่ทุกวันนี้สถานการณ์ของเขาหาได้ปกติดีไม่ ทุกย่างก้าวลำบากลำบน หากฝืนแต่งงานออกเรือนกับฉู่สวินหยาง ถึงเวลานั้นฮ่องเต้ไม่เพียงแต่จะไม่สบายใจ บุตรสาวสุดที่รักของฉู่อี้อันเองก็คงแค้นเคืองเขาอีกแน่ อีกอย่างฉู่สวินหยางเอง…

ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ยอมรับอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้นะ? เกรงว่าจะยอมตกเป็นตัวถ่วงของเขาอย่างเปิดเผยล่ะมั้ง?

แต่ทำไมนางต้องมาเป็นคนน่าชังคนนั้นด้วยเล่า?

“ฝ่าบาท โปรดยกโทษให้ข้ากระหม่อมด้วยเถิด องค์รัชทายาทใจเย็นก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาได้คิดดูถูกท่านหญิงสวินหยางไม่ ในทางกลับกัน ท่านหญิงทั้งฉลาดเฉลียวงดงาม ข้ากระหม่อมเองก็ชื่นชมมาโดยตลอด แต่เป็นเพราะกระหม่อมโชคไม่ดี…” ทั่วป๋าไหวอันกล่าว ความนึกคิดในใจสับสนว้าวุ่น แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเฉย “หากฝ่าบาททรงประทานให้ก่อนหน้านี้ กระหม่อมจะยอมรับแต่โดยดี แต่มาวันนี้ หากกระหม่อมตอบรับเรื่องนี้ไป มันจะกลายเป็นไม่ให้ความเคารพแก่ท่านหญิง ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเมืองนี้หรือแคว้นโม่เป่ยของกระหม่อม คงไม่ได้เป็นพันธมิตรกันอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความแค้นต่างหากพ่ะย่ะค่ะ!”

สีหน้าของฮ่องเต้มืดมนจนน่าเกลียด กำลังจะพูดเถียง แต่ฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากขึ้น

“พูดอ้อมค้อมมาตั้งนาน เจ้าก็แค่ต้องการพูดแค่ประโยคเดียว นั่นก็คือไม่อยากผูกสัมพันธ์กับวังบูรพาของข้าต่างหาก!” นางหันไปมองทั่วป๋าไหวอัน ใบหน้าไร้ซึ่งความเขินอาย แต่กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง “เดิมทีข้าตอบรับเรื่องนี้เพราะเห็นแก่หน้าของท่านปู่ แต่ตอนนี้กลับดีเจ้าไม่อยากสู่ขอข้า ข้าเองก็หาได้อยากแต่งกับเจ้าตั้งแต่แรกไม่ แต่พวกเราต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อน เรื่องนี้หาใช่เป็นสิ่งที่เราทั้งสองฝ่ายต่างต้องการไม่ สิ่่งที่ท่านปู่ทำไปก็ทำเพื่อบ้านเมืองเท่านั้น  ไม่ถึงขนาดต้องบีบบังคับคนอื่นเพื่องานแต่งงานหมั้นหมายของลูกหลานตน ข้าเสียหน้าแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะมาดูหมิ่นหยามเกียรติราชวงศ์ซีเยว่ของเราเช่นนี้ไม่ได้ วันนี้เจ้าจำเป็นต้องให้คำตอบเราอย่างเหมาะสม มิเช่นนั้นแล้วจะโดนจับตัวในโทษฐานหมิ่นประมาทความหวังดีจากฮ่องเต้ ทั้งยังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซีเยว่และแคว้นโม่เป่ยอีกด้วย ถึงคราวนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ร้ายคดีติดตัวไปชั่วนิรันดร์!”

คำพูดพวกนี้น่าเกรงขาม ทำให้ฮ่องเต้อึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก

ริมฝีปากของทั่วป๋าไหวอันกระตุกยิ้มเยาะดูถูกตนเอง หลับตาลงแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมรู้ดีว่าข้าได้หยามเกียรติท่านหญิงไป แต่ทว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะว่า…”

คำพูดของเขายังไม่ทันจบ ก็มีเสียงผู้คนโหวเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากด้านนอก

ที่แห่งนี้คือสถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษร คนปกติธรรมดาไม่มีสิทธิที่จะเฉียดเข้าใกล้

สมาธิของฮ่องเต้ถูกดึงออกไป ใบหน้าที่หมองคล้ำก็ยิ่งมืดมนจนไม่น่ามองขึ้นไปอีก

หลี่รุ่ยเสียงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตะโกนขึ้นถามฝั่งตรงข้าม “มีเรื่องอะไรถึงได้มาโวยวาย?”

ไม่นานหลังจากนั้น เย่าสุ่ยวิ่งเข้ามาอย่างร้อนเหงื่ออาบไปทั่วหน้า คุกเข่ากราบทูลอย่างหวาดกลัว “ฝ่าบาท โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยพะยะค่ะ ข้าน้อยทำงานพลั้งพลาด ซื่อจื่อซู[1]แห่งจวนอ๋องฉางซุ่นมาเข้าเฝ้าบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนพะยะค่ะ ข้าน้อยห้ามแล้วแต่ห้ามเอาไว้ไม่ได้”

ซูหลินรึ?

ถึงแม้ผู้รับช่วงต่อแห่งสกุลซูจะเป็นคนเหลาะแหละไม่ได้เรื่อง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะแยกแยะเรื่องราวใดไม่ถูกหรอกกระมัง

ฮ่องเต้รู้สึกสงสัย

ฉู่อี้อันลืมตาดูเหตุการณ์ด้านนอก แล้วพูดว่า “ใช่ว่าจะเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาเสียหน่อย เหตุใดซื่อจื่อซูถึงรีบร้อนจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่มีเรื่องอะไรจะกราบทูลเสด็จพ่อหรอกใช่ไหมขอรับ?”

ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางที่ทำความดีความชอบ ฮ่องเต้เองก็ยากที่จะปฏิเสธเขาต่อหน้าคนอื่น

หลี่รุ่ยเสียงเห็นเขาเงียบเป็นนัยว่าอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ จึงหันไปส่งสายตาให้เย่าสุ่ย “เรียกให้ซื่อจื่อซูเข้ามา!”

“ขอรับ!” เย่าสุ่ยขานตอบ รีบลุกขึ้นมาออกไปบอกต่อ

ไม่นานหลังจากนั้น ซูหลินก้าวเข้ามาจากด้านนอกตำหนักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห เขาปรายตามองผ่านแผ่นหลังของทั่วป๋าไหวอันและฉู่สวินหยาง แล้วเดินผ่านสองคนไป จากนั้นคุกเข่าถวายความเคารพให้ฮ่องเต้ลงที่เบื้องหน้าโต๊ะทรงอักษร “กระหม่อมซูหลิน ขอถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นหมื่นปี!”

ฮ่องเต้พิงพนักเก้าอี้ ลืมตาขึ้นมอง น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ความน่าเกรงขามก็หาได้ลดหย่อนไม่ “ริอาจบุกรุกเข้ามาถึงห้องทรงอักษร เจ้านี่กล้ามากขึ้นทุกวันเชียวนะ!”

ถึงแม้เข้าจะไม่โมโห แต่เมื่อซูหลินได้ยินดังนั้นก็กลัวจนตัวสั่นเหมือนกัน

แต่ว่าตอนนั้นเขากำลังโมโห และยอมรับว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล ถึงทำจิตใจให้สงบ จากนั้นก้มหัวคำนับฮ่องเต้เป็นการขออภัยโทษ จากนั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย กระหม่อมควรได้รับโทษฐานก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นด้านหน้าตำหนัก แต่กระหม่อมมีเหตุให้ต้องทำเยี่ยงนี้ ข้ากระหม่อมทำไปเพื่อชีวิตการแต่งงานของน้องสาว หวังว่าฝ่าบาทจะออกหน้าทวงคืนความยุติธรรมให้กับน้องสาวของข้าด้วยเถิด!”

ทั่วป๋าไหวอันหลับตาลง ถอนหายใจขึ้นในใจ แต่ไม่นานนัก สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าซูหลินจะถึงขั้นบุกรุกเข้ามาในวัง เพียงเพราะเรื่องแต่งงานของซูหว่าน เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนไป ปัดถ้วยชาด้านข้างลงอย่างแรง พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ระยำ! เจ้าริอาจบุกรุกเข้ามาถึงสถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษร เพียงเพราะเรื่องส่วนตัวแค่นี้ เจ้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่? ทหาร…”

————————————————————————

[1] ซื่อจื่อ หมายถึง ลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา โดยส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ ตามแต่ความตั้งใจของผู้เป็นบิดา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด