สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 91.2 จะเป็นกับดักหรือไม่ (2)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 Chapter 91.2 จะเป็นกับดักหรือไม่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 91 จะเป็นกับดักหรือไม่ (2)

หลังจากผ่านยามอู่ไป ท้องฟ้าที่เดิมสว่างหมื่นลี้จู่ๆ ถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม เสียงลมคำราม พัดจนกระดาษที่ติดอยู่ตรงหน้าต่างเกิดเป็นเสียงดัง

ผ่านไปสักพัก ประตูใหญ่ห้องหนังสือที่ปิดแน่นมาตลอดก็ถูกคนผลักออกเห็นเป็นร่อง หลี่รุ่ยเสียงกอดแส้ปัดออกมา เมื่อโผล่หัวออกมาครู่หนึ่งก็โดนลมหนาวข้างนอกโชยใส่จนต้องหดไหล่

“ท่านชาย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปแล้วขอรับ” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย

“รบกวนท่านขันทีด้วย” ฉู่ฉีเฟิงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นและเดินตามเข้าไป

ในตำหนักกว้างขวาง แต่หลังโต๊ะกว้างใหญ่ฮ่องเต้นั้นมีฮ่องเต้นั่งอยู่เพียงผู้เดียว ในห้องจุดตะเกียงแปดดวง แม้จะอบอุ่น แต่เถ้าถ่านจะดีอย่างไรก็ไม่อาจจะไร้ควันได้ ฮ่องเต้นั่งนานแล้วเลยไม่รู้สึก แต่ฉู่ฉีเฟิงที่เพิ่งเข้ามาก็สูดเอากลิ่นหนักๆ นี้เข้าไปเต็มปอด

แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดใด เดินตรงเข้าไปในตำหนักใหญ่และคุกเข่าลงอย่างแรงต่อหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉีเฟิงบุ่มบ่าม ทำตัวผิดกฎ หลานมาเพื่อขอรับโทษโดยเฉพาะ”

สายตาของฮ่องเต้ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาษ หนังตาไม่กระตุกแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ย “ขอรับโทษ? ข้าฟังน้ำเสียงเจ้านี้ คงจะไม่ใช่มาถามโทษเสด็จปู่หรอกกระมัง”

เขาเรียกแทนตัวเองว่า ‘เสด็จปู่’ สามคำนี้ ก็เห็นปัญหาท่าทีได้ชัด

“ฉีเฟิงไม่กล้า!” ฉู่ฉีเฟิงรีบเอ่ย ก้มสายตาลงเล็กน้อย เกร็งหลังจนตรึง

ฮ่องเต้อ่านกระดาษในมือจนจบแล้วจึงพิงไปยังพนักพิงของเก้าอี้ด้านหลัง เอ่ย “ในเมื่อมาขอรับความผิด เช่นนั้นจงพูดเถิด เจ้ามีความผิดอันใด?”

“ฉีเฟิงบุ่มบ่าม ไม่ควรเห็นแก่ตัวแอบทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน เข้าไปและหักหน้าเสด็จปู่ต่อหน้าคนนอก และยังเกือบขายหน้าท่านชายของกระหม่อมเอง” ฉู่ฉีเฟิงพูด วรรคแต่ละคำได้สละสลวยกว่าบทความเสียอีก ก่อนจะแหงนมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ “ข้านำซูซื่อจื่อมาเอง”

เรื่องของซูหลิน ในใจของฮ่องเต้ก็แอบสงสัยเล็กน้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าจึงครึ้มลงอย่างอดไม่ได้ ก่อนเอ่ยด่าทอขึ้นมา “รู้ว่าบุ่มบ่ามเจ้ายังจะทำอีกหรือ? รู้ว่าไม่ควรทำเจ้ายังจะทำอีก? ตอนนี้รู้จักมาขอรับโทษต่อหน้าข้าอีก เจ้าเห็นว่ากฎหมายบ้านเมืองของเมืองซีเยว่นั้นตั้งไว้เล่นๆ อย่างนั้นหรือ?”

“ฉีเฟิงมิกล้า” ฉู่ฉีเฟิงก้มหัวแนบติดกับพื้น ท่าทียังคงสุขุมเหมือนเดิม ไม่ลนลานใดใด

ฮ่องเต้เห็นดังนั้น แม้ในใจจะโกรธเคืองมากเท่าใดก็พูดไม่ออกแล้ว

เขาชื่นชมหลานชายผู้นี้มาก ตอนแรกเป็นเพราะว่าชั่วยามที่เด็กทารกทั้งสองของวังบูรพาถือกำเนิดประจวบเหมาะดี เลยจดจำอยู่ในใจ และต่อมา เขากลับหวังกับนิสัยของหลานชายผู้นี้เข้าจริงๆ ทั้งฉลาดทั้งมีความคิด มีความสามารถด้านงานศิลปะตั้งแต่วัยเยาว์ กับเรื่องใดใดก็ไม่ยโสโอหัง นิสัยยังสุขุมนุ่มลึกอีกเสียด้วย

ตามจริงถ้าพูดตามทฤษฎีถึงเรื่องความรู้แล้ว ฉู่ฉีเหยียนเองก็ไม่น้อยหน้า แต่ในความรู้สึกของเขา แม้ฉู่ฉีเหยียนจะทำเรื่องรอบคอบ แต่นิสัยกลับเก็บกดเงียบไว้ภายในเกินไป

คงจะเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ เดิมทีตัวฮ่องเต้เองก็เป็นคนนิสัยเช่นนี้ ถึงยามนี้ก็อายุมากแล้ว ทว่ากลับทนดูนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายตนของฉู่ฉีเหยียนไม่ลง

ฉู่ฉีเฟิงคุกเข่าอยู่ด้านหน้า ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกและถ่อมตัวใดใด ทว่าท่าทีกลับเผยให้เห็นถึงเจตนาซื่อสัตย์จริงใจ

ฮ่องเต้จิตล่องลอยไปเล็กน้อย และหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาจิบหนึ่งอึก ก่อนจะเอ่ย “เจ้าพูดปาวๆ กับข้าว่าไม่กล้า ทว่ากลับกล้าดีไปทำเรื่องที่มิควรทำมาก่อนแล้ว ยามนี้ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าบอกข้าเสียหน่อยเถิด ว่าในใจเจ้าคิดอย่างไรกัน”

“สวินหยางเป็นน้องสาวของหลาน!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฮ่องเต้

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไร หยิบถ้วยชาขึ้นมาเป่าข้างปากและดื่มต่อ

“มีเรื่องของท่านหญิงซูเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แม้ไม่มีหลานสอดมือเข้าไปตาม มินานซูซื่อจื่อก็ต้องเข้าวังขอเข้าเฝ้าเป็นแน่” ฉู่ฉีเฟิงเหมือนกับไม่ได้สังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ และยังคงเอ่ยต่อ “หลานยอมรับว่าเรื่องนี้หลานมีเจตนา ส่วนตัวแฝงจริง ใจหนึ่งก็เพียงมิอยากให้สวินหยางหลุดเข้ามาในวังวนนี้ แต่ถ้ามองอีกมุม หากซูซื่อจื่อมิได้ มาหยุดเรื่องนี้ก่อน รอจนเสด็จปู่ออกราชโองการอภิเษกให้สวินหยาง เมื่อเขารู้เรื่องนี้ ยามนั้นเสด็จพ่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เสด็จปู่เป็นถึงราชาแห่งแผ่นดิน ล้วนต้องให้ประชาชนมาที่หนึ่ง คงจะทำเพื่อปกป้องเข้าข้างสวิน

หยางโดยมิสนใจความเป็นความตายของท่านหญิงซูมิได้หรอกกระมัง ในเมื่อไม่ว่าถึงอย่างไรก็เป็นผลลัพธ์เดียวกัน เหตุใดจึงต้องให้สวินหยางแบกชื่อเสียงเข้าไป แล้วเหตุใดจะต้องให้เสด็จปู่ผิดคำพูดต่อหน้าผู้อื่นเล่า”

เรื่องของซูหว่าน ฮ่องเต้เองโดนทั่วป๋าไหวอันโจมตีอย่างมิทันตั้งตัว ตามจริงถึงยามนี้ที่ใช้วิธีเช่นนั้นจัดการ นับว่าเป็นการลดผลกระทบให้น้อยลงที่สุดแล้ว

ฉู่ฉีเฟิงยุยงให้ซูหลินเข้าวังฟังพระราชโองการ นี่ก็นับว่าเป็นผลพลอยได้

ฮ่องเต้เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ควรทำอย่างไร ผ่านไปได้สักพักจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าบอกว่าที่เจ้าทำเช่นนี้ ทำเพื่อสวินหยางอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจตนาส่วนตัวของฉีเฟิง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ฉีเฟิงคิดต้านไม่ฟังคำสั่งของเสด็จปู่นั้นผิดจริง ฉีเฟิงมิกล้าแก้ต่างให้ตนเอง ขอเสด็จปู่ประทานโทษทัณฑ์แก่หลานด้วยเถิด” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย

ตามจริงเรื่องนี้จะดีจะร้ายอย่างไรก็นับว่าช่วยฮ่องเต้ไว้ มิเช่นนั้นก็ทำตามที่เขาบอกเมื่อครู่ ประการแรกหากให้ฮ่องเต้ออกพระราชโองการอภิเษกให้กับฉู่สวินหยางและทั่วป๋าไหวอัน ต่อมาซูหลินอาละวาดอีก พระราชโองการก็คงต้องล้มไม่เป็นท่าเหมือนเก่า เมื่อถึงยามนั้นสิ่งที่จะเสียก็คือความน่าเกรงขามของราชวงศ์และหน้าขององค์ฮ่องเต้เอง

หากเขาใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างกับฮ่องเต้ ไม่เพียงจะไม่มีความผิด กลับกันยังได้ความดีความชอบ!

แต่ทำไม…

เขากลับเอ่ยย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการกระทำครั้งนี้ของเขาเป็นเพียงเจตนาส่วนตัวที่ปกป้องฉู่สวินหยางเท่านั้น

สีหน้าของฮ่องเต้สงบลง ดีใจหรือโกรธยากจะมองออก เมื่อมองชายหนุ่มที่คุกเขาอยู่ตรงหน้า สายตาที่มองก็เปลี่ยนไปหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายจึงถอนหายใจเบาๆ และเอ่ย “ฉีเฟิงเอ๋ย เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ไม่ควรต้านเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวเล็กๆ นี้ แม้ใจรักหวงแหนสวินหยางนั้นจะมีค่านัก แต่ในยามเดียวกันเจ้าก็ควรรู้ว่าจากฐานะที่พ่อของเจ้าเป็นอยู่ในยามนี้ และจากฐานะของเจ้ายามนี้ เจ้าพูดจาเช่นนี้…ช่างทำให้ปู่ผิดหวังยิ่งนัก!”

ฉู่ฉีเฟิงเงยหน้าสบสายตาของฮ่องเต้ สีหน้ายังคงราบเรียบตามเดิม “เสด็จปู่เป็นผู้มองการณ์ไกล ฉีเฟิง…แค่ทำตามสิ่งที่ควร”

ฮ่องเต้เบือนสายตา ขยับมุมปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงโบกมือเบาๆ “เจ้าออกไปเสีย แล้วกลับไปคิดดีๆ เถิด!”

เมื่อไม่ได้สั่งลงโทษอย่างชัดเจน ก็หมายถึงเรื่องนี้คงไม่เอาความอะไรมาก

“พ่ะย่ะค่ะ! ฉีเฟิงทูลลา!” ฉู่ฉีเฟิงก้มหัวตนอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นออกไป

ฮ่องเต้พิงไปยังพนักพิงเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเขาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าหนุ่มนี่ เจ้าว่าข้าควรชื่นชมที่เขามีแผนการ หรือว่าควรชมเชยที่เขามีจิตใจดีกัน”

ในยามนี้ ในตำหนักไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเท่านั้น

หลี่รุ่ยเสียงยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ…

คำพูดของฮ่องเต้นั้นเอ่ยกับเขา แต่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา

สายตาของเขาทอดไกลออกไปนอกตำหนัก มองเงาหลังที่ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเบือนสายตาหนี

คังจวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่แปลกเลยที่จะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ มัดใจของพระองค์ไว้อยู่หมัดเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ข้อบกพร่องใดใด

ตามจริงเขาจะเอาเรื่องที่ไปยุยงซูหลินมาขอความดีความชอบจากฮ่องเต้ก็ย่อมได้ ยามนั้นฮ่องเต้ไม่เพียงจะไม่ลงโทษ อีกทั้งยังให้รางวัลแก่เขาด้วย แต่เมื่อทำเช่นนี้ ความดีความชอบที่ตั้งใจวางแผนฮ่องเต้ก็ทรงเห็น แม้ฮ่องเต้จะไม่อาจหาข้อผิดจากเขาได้ ในใจคงก่อกำแพงนำเรื่องทั้งหมดโยนให้กับเจตนาส่วนตัว แต่เมื่อบอกว่าเป็นการกระทำที่ปกป้องฉู่สวินหยาง ถือเป็นการเผยจุดบอดของตนต่อหน้าฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ได้รู้อุปสรรคข้อผิดของเขา ทำให้วางใจได้ทั้งสองฝ่าย อีกอย่าง…

การสารภาพของเขา ตรงกับปรารถนาของฮ่องเต้ไปกว่านี้มิได้แล้ว

ทว่ายามนี้

ต้องบอกว่ายามนี้อารมณ์ของฮ่องเต้สับสนเป็นอย่างมาก ทางหนึ่งอยากชุบเลี้ยงผู้สืบทอดราชาแผ่นดินที่ไร้ซึ่งข้อบกพร่องใดใด แต่ในเวลาเดียวกัน…

ตำแหน่งของเขาในเวลานี้ไม่ใช่ว่าอยากจะให้ใครเป็นก็ได้ ฉะนั้นการสารภาพของฉู่ฉีเฟิงนี้กลับทำให้เขารู้สึกมีประโยชน์มาก

เพียงความเคยชินหลายปีมานี้ เขากลับยังสงสัยว่าคำพูดนี้ของฉู่ฉีเฟิงเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจหรือว่ามีจุดประสงค์อื่น

พระราชโองการอภิเษกก็ออกมาแล้ว เรื่องนี้ก็พักไว้เท่านี้ก่อน

ยามบ่ายวันนั้นเมื่อซูหว่านสะลึมสะลือตื่นมาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะอาละวาดเสียงดัง

——————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด