[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ 10

Now you are reading [LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ Chapter 10 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วะฮ่าๆๆ น่ายินดี น่ายินดีจริงๆ”

 

หลังเลิกเรียนในวันนั้น ณ ‘ห้องประชุม M’ ตามปกติ

 

ผมรายงานผลลัพธ์ของวันนี้ออกไปอย่างอารมณ์ดี

 

“…ได้ผลจริงๆ เหรอ”

                

ฮ่า อุเอโนะฮาระส่งเสียงออกมาอย่างชื่นชม

                

“ฮ่าๆๆ ชมฉันให้มากกว่านี้อีกสิ”

                

“ไม่ล่ะ ฉันก็แค่แปลกใจเฉยๆ”

                

ทำไมไม่ชมกันนะ

                

“เป็นชัยขนะที่สมบูรณ์แบบจริงๆ! ไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลย!”

                

“หยุดเลย พอได้แล้ว เอาตั้งแต่แรกที่แผนการแบบนั้นได้ผลมันน่าขยะแขยงนะ”

 

“หยุดพูดว่าขยะแขยงได้แล้ว!”

 

มันเจ็บนะ โดนพูดแบบนั้น!

 

“แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลเหมือนกันละนะ…ไอการคัดลอกลายมือแบบนั้น”

 

อุเอโนะฮาระยังคงทำหน้ากึ่งไม่เชื่อพร้อมกับพูดว่า “ล้อเล่นใช่ไหม”

                

—ปัจจัยชี้ขาดของกลยุทธ์นี้

                

นั่นก็คือการอำพรางฉลากด้วยการคัดลอกลายมือ

                

“ฉันซ้อมเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะว่าฉันเป็นหัวหน้าห้องก็เลยมีโอกาสได้เห็นลายมือของทุกคนมาหลายครั้งแล้วละนะ”

                

อันที่จริงแล้วข้อสงสัยของโทริซาวะนั้นถูกต้อง

                

ฉลากที่ผมหยิบออกมาในตอนนั้น อันจริงแล้วมันเป็นฉลากปลอมที่ผมเตรียมไว้ล่วงหน้าและซ่อนมันไว้

                

“วิธีการก็คือเขียนชื่อของคนที่เป็นเป้าหมายลงไป จากนั้นก็แสร้งทำเป็นจับได้โดยบังเอิญ เท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัย”

                

แต่ยังไงมันก็เป็นเพียงฉลากปลอมเท่านั้น ถ้าเกิดถูกตรวจสอบขึ้นมาผมคงจะถึงจุดจบ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเตรียมบางสิ่งเพื่อให้การคัดลอกลายมือเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบและไม่เกิดปัญหาต่อให้โดนตรวจสอบ

                

“โดยทั่วไปการจับฉลากเพื่อเลือกคนมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะโดนเหล่าสมาชิกบ่นหรือเปล่า บางทีแล้วฉันอาจจะไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ …แต่ก็เผื่อเอาไว้”

                

คุณคิโยซาโตะกับโทคิวะนั้นคงจะไม่ได้บ่นอะไรมาก แต่ปฏิกิริยาของโทคิวะจัดว่าสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เนื่องจากการที่เขาจะทำอะไรมันมีกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะทำให้ข้อผิดพลาดในการคาดคะเน

                

แต่ท้ายที่สุดมาตรการรับมือต่างๆ ก็ประสบความสำเร็จ ดีจริงๆ ที่ผมได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ เล่นเอาซะใช้สมุดนักเรียนหมดไปเป็นเล่ม

                

“นี่ ถ้าเกิดนายทำแบบนั้นฉลากของจริงก็ต้องยังอยู่ในกล่องสิ แล้วถ้าเกิดเขาขอให้นายเปิดดูข้างในกล่องนายจะทำยังไงล่ะ”

                

เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ใช่แล้ว ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของผมก็คือการถูกขอดูข้างในกล่อง           

                

“เนื่องจากมันเป็นทริคแบบนี้ก็เลยไม่มีมาตรการตอบโต้ใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงตัดตัวเลือกตรวจดูข้างในกล่องด้วยการชี้นำซะ”

                

ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจงใจวางฉลากที่ถูกจับได้ทิ้งไว้บนโต๊ะ

                

ผมได้แสดงให้เห็นล่วงหน้าไปแล้วว่าไม่มีลูกเล่นใดๆ อยู่ข้างในกล่อง

                

ดังนั้นถ้าหากจะมีลูกเล่นใดๆ แล้วตามปกติก็ต้องไปสงสัยที่ฉลาก

                

ผมได้นำของที่เข้าใจง่ายและน่าสงสัยไปวางไว้เป็นเหยื่อล่อ และชักจูงจิตสำนึกให้ไปทางนั้น

                

ในขณะเดียวกันผมก็รีบหยิบฉลากของจริงที่อยู่ข้างในกล่องออกมา และนำมันไปซ่อนไว้หลังโต๊ะคุณครูทันที หลักฐานได้ถูกปกปิดและอพยพมาอยู่ข้างในกระเป๋าแทน

               

“แต่ยังไงฉันก็ไม่คิดว่าลายมือมันจะถูกเลียนแบบง่ายขนาดนั้นนะ นอกจากนี้ในตอนนั้นเขาจะเขียนด้วยลายมือแปลกๆ ไปรึเปล่าก็ไม่มีใครรู้”

                

“ถ้าเกิดเป็นการเขียนปกติก็คงใช่ แต่รอบนี้เป็นการเขียนชื่อตัวเอง ซึ่งลายมือของทุกคนจะถูกฟิกไว้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นหากเขียนไปแบบไม่รู้ตัว ลายมือทั้งหมดก็จะให้ความรู้สึกเหมือนๆ กัน”

                

อย่างไรก็ดี หากผมปล่อยให้พวกเขาเขียนชื่อลงไปในกระดาษเองก็จะมีความไม่แน่นอนมากมาย

                

ด้วยเหตุนี้ฉลากที่ผมแจกจ่ายออกไปจึงเป็นรูปแบบกรอบแนวตั้งคล้ายกับบัตรลงคะแนน ทำให้ชื่อโดนเขียนอยู่ข้างในกรอบเพื่อให้ง่ายต่อการคัดลอกลายมือ

                

ถ้าหากมีตัวอักษรบางตัวยื่นออกมาจากกรอบ ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่น หรือไม่ก็มีรอยย้ำปากกาผมคงเลิกคิดใช้วิธีนี้ แต่เนื่องจากตอนดูชื่อผมตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหาอย่างที่ว่า ดังนั้นผมจึงคิดว่ามีโอกาสสำเร็จและตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้ต่อ

                

“ก็นะ ในสถานการณ์ที่แย่แบบแย่สุดๆ ฉันคงเลี่ยงใช้ ‘วิธีการพับ’ ไม่ได้ แต่เพราะมันดูเป็นการพนันมากกว่าฉันก็เลยดีใจที่ไม่ต้องใช้มันละนะ”

               

วิธีการพับ เป็นเทคนิคที่จะเปลี่ยนวิธีการพับเฉพาะแค่เป้าหมาย 3 คนและควานหาออกมาด้วยมือ มีข้อดีก็คือจะไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ข้างหลัง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะควานหาฉลากที่ต้องการนานหรือหยิบฉลากออกมาผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

                

หลังจากฝึกไปได้ประมาณ 100 ครั้ง อัตราสำเร็จสุดท้ายอยู่ที่ประมาณ 30% เนื่องจากเวลาเตรียมตัวมีจำกัดจึงเป็นการยากที่จะปรับปรุงให้มีความแม่นยำกว่านี้ เพราะงั้นผมจึงไม่อยากทำถ้าเป็นไปได้

                

“เอ้า มีอะไรจะพูดอีกไหม”

                

“คงไม่มี…แล้วล่ะ”

                

ในที่สุดอุเอโนะฮาระที่เคยตั้งคำถามถึงข้อบกพร่องต่างๆ ก็ได้เงียบไป นับว่าเป็นชัยชนะของผมอย่างสมบูรณ์

                

“เอาเถอะ ถึงจะต้องข้ามสะพานอันตรายมาหลายแห่งขนาดนี้ แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ได้กลับมามันก็คุ้มค่าความท้าทายละนะ แล้วถ้าความเสี่ยงระดับแค่นี้ฉันยังกลัว การทำ ‘แผนการ’ ให้สำเร็จมันคงเป็นได้แค่ฝันข้างในฝัน”             

                

“ก็ดีที่นายไม่ทำมันพังละนะ ฉันรึนึกว่านายจะทำเหมือนกับก่อนหน้านี้”

                

“หยาบคายอะไรอย่างนี้ รอบนี้มันตรงไปตามที่ฉันคิดไว้อย่างสมบูรณ์แบบเชียวนะ แม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับโทริซาวะยังเป็นปัญหาที่ฉันคาดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะงั้นไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก”

                

“อา เข้าใจแล้ว… นายกำลังจะบอกว่าขอแค่เตรียมตัวให้ดีก็จะไม่พลาดใช่ไหม งั้นเรื่องที่ทำพลาดไปในตอนนั้นนายก็แค่เฟอะฟะไปสินะ”

 

“ฮึ ขอโทษละกันที่เฟอะฟะ”

                

ถ้าเกิดผมมีความสามารถที่รับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นคงไม่ต้องมาลำบากงี้หรอก

                

“แต่ที่บอกเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ล้มเหลวมันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เรื่องที่นายทำนี่มันขาดสามัญสำนึกชะมัด”

 

อุเอโนะฮาระพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย

                

ผู้หญิงคนนี้เป็น JK สมัยใหม่และค่อนข้างมีเหตุผลเลยทีเดียว แถมเธอยังอยู่ในห้องอีที่เป็นห้องสายวิทย์อีก รูปร่างหน้าตานั้นช่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้ตัดสินผู้คนได้จริงๆ

                

ทันใดนั้นผมก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังจ้องไปยังอุเอโนะฮาระที่ยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบเข้าปากไปแล้ว

                

วันนี้ผมด้านหลังของเธอถูกรวบเอาไว้และปล่อยลงมาแถวไหล่ซ้าย เนคไทถูกคลาย รอบคอบางๆ ของเธอ โซ่บางอย่างที่เหมือนกับสร้อยคอได้โผล่พ้นออกมา

                

เมื่อมองดูใกล้ๆ จะเห็นได้ว่าขนตาของเธอนั้นเรียวยาวมาก แถมริมฝีปากเรียวเล็กของเธอก็ยังชุ่มไปด้วยลิปสติกจนดูนุ่มนวลหน่อยๆ

                

อื้ม… จากที่ดูๆ มาทั้งหมดแล้วอันดับที่ 7 คงไม่ได้มีไว้แค่โชว์สินะ ถ้าหากว่ามีค่าด้านอื่นๆ ที่สูงกว่านี้

                

“…มีอะไรเหรอ”

                

อุเอโนะฮาระซึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นการจ้องมองของผมได้ทำหน้าสงสัย

                

“อ๊ะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก…จริงสิ ฉันอัดเสียงทั้งหมดของวันนี้เอาไว้ด้วยนะ เธออยากฟังไหม”

                

มันค่อนข้างน่าอายที่โดนจับได้ว่าจ้องมองเธอ ดังนั้นผมจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอย่างรวดเร็ว

                

“อัดเสียง? นั่นมันการดักฟังสินะ”

                

“ไม่ใช่ดักฟังสักหน่อย บันทึกเสียงลับต่างหาก เพราะงั้นถือว่าถูกกฎหมาย”

                

“ไม่ล่ะ ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้น… อ๊า พอแล้ว ฉันมันบ้าเองที่ไปโต้กลับคนบ้าจริงจัง นากาซากะนี่ช่างเหนือความคาดหมายไปซะทุกอย่างเลยจริงๆ”

                

อุเอโนะฮาระทำท่าเคืองๆ ตามปกติและส่งสายตาดูถูก จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ และยกปากขึ้นมานิดๆ เป็นรอยยิ้ม

                

ใบหน้าหายากนั้นได้ทำให้ผมสั่นสะท้าน

 

“…ใบหน้าหายากที่ออกมาในช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้โมเอะกว่าเดิมสินะ”

 

“คือว่านะ ทำไมนายถึงได้พูดจาน่าขยะแขยงแบบนั้นล่ะ”

 

“คร้าบ เอ้าท์แล้ว—!”

 

อย่างน้อยช่วยเขินแล้วก็ตอบกลับแบบตรงไปตรงมาสักหน่อยสิฟะ!

 

ผมยื่นหูฟังออกไปแบบไม่เต็มใจ และเปิดเสียงที่อัดเก็บไว้ในโทรศัพท์

 

“แหม แต่ช่วงนั้นนี่มันยอดเยี่ยมไปเลยน้า~ โดยเฉพาะบทสนทนาอันสมบูรณ์แบบกับโทริซาวะในตอนนั้น… รอก่อนนะ ขอฉันคิดก่อนว่ามันอยู่ตรงไหน”

 

เอ่อ นาทีที่เท่าไหร่หว่า จะให้เปิดตั้งแต่ตอนแรกมันคงจะยาวไปหน่อย…

 

“โทษทีนะ ขอหูฟังฉันคืนหน่อยได้ไหม พอดีฉันอยากจะกรอหาช่วงนั้น”

 

“อ๊ะ นั่นสินะ เอ้า”

 

…อย่างไรก็ตาม มีเพียงหูฟังข้างขวาที่ถูกส่งมาเท่านั้น

 

แน่นอนว่าหูฟังอีกข้างอยู่ในหูของอุเอโนะฮาระ

 

“…รอก่อนนะ นี่เธอจะให้ฉันใส่หูฟังข้างเดียว?”

 

“ก็ใช่น่ะสิ นายจะไปใส่สองข้างได้ยังไงกันล่ะ”

                

ถูกตอบกลับแบบไม่แยแสสักนิด

                

ผมตัวสั่นแล้วก็ตะโกนลั่น

                

“ไม่ใช่แล้วโว้ยยัยบ้า! การแชร์หูฟังกันสองคนนี่มัน… มีไว้สำหรับคู่รักไร้เดียงสาที่เพิ่งเริ่มออกเดตกันไม่ใช่รึไง!”

                

อุเอโนะฮาระนิ่งชะงักไปสักพัก จากนั้นก็หรี่ตาแคบลงยิ่งกว่าเดิม

                

“…หวา อะไรละนั่น เดี๋ยวนี้แล้วยังมีคนใส่ใจเรื่องแบบนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย”

                

“ไม่—ใช่—แล้ว—เฟ้ย! อีเวนต์เลิฟคอมเมดี้อันมีค่าต้องไม่เสียไปอย่างสูญเปล่ากับช่วงเวลาไร้สาระแบบนี้สิ!”

                

“เอ่อ ถ้าเกิดนายว่าแบบนั้นละก็…ไม่สิ แบบนั้นมันยิ่งดูบ้าบอกว่าเดิมอีก”

                

“ไม่ได้บ้าบอเฟ้ย! มันคือเส้นทางเลิฟคอมเมดี้ของฉันต่างหากเล่า!”

                

“ตอบกลับได้น่าขนลุกชะมัด”

                

“ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นจากคำว่าน่าขยะแขยงได้แล้วเรอะ!?”

 

                

ในช่วงที่กำลังเลี่ยงหูฟังคู่รัก อุเอโนะฮาระก็ใช้คำพูดอย่าง “เสียงนายดูสั่นๆ นะ” ไม่ก็ “หวา ตอนโกหกนายพูดติดอ่างหน่อยๆ ปะ” ไม่ก็ “เสียงซื้ดจมูกของนายมันแรงไปนะ เลวร้ายชะมัด” ทำร้ายใส่ผมอย่างนั้นตั้งแต่ต้นยันจบ

                

อุเอโนะฮาระถอดหูฟังออก และค่อยๆ พันสายก่อนจะส่งกลับมาให้ผม พอเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ดูจะใส่ใจรายละเอียดดีนะยัยคนนี้

                

“ถ้าเกิดตัดเรื่องที่ว่านากาซากะน่าขยะแขยงตั้งแต่ต้นจนจบออกไป ก็คงเรียกได้ว่าผ่านไปด้วยดีนั่นแหละ”

                

“ทำไมคนคนนี้ถึงเอาแต่ด่าฉันได้ตลอดเลยนะ แค่ยอมรับอย่างซื่อตรงไม่ได้รึไง”

                

“แต่ฉันไม่คิดว่านายควรจะประมาทเพราะครั้งนี้ไปได้สวยหรอกนะ ยิ่งนายเหลิงไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งพลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”

                

“เรื่องนั้นไม่ต้องมาบอกก็รู้อยู่น่า ฉันพร้อมที่จะเตรียมการให้ละเอียดยิ่งกว่านี้อยู่แล้วล่ะ”

                

“อืม ว่าแต่ฉันขอดูการเตรียมการในส่วนสุดท้ายของนายหน่อยได้ไหม…”

                

“เอ๊ะ อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่านี่เธอเริ่มเดเระแล้ว!?”

                

“อื้ม พอเริ่มดีๆ แล้วก็เป็นซะอย่างนี้ เพราะแบบนี้นายถึงได้น่าขยะแขยงละนะ”

                

“อุก! คำถามชี้นำอีกแล้ว ยัยปีศาจเจ้าเล่ห์! ยักษ์มาร! ท่านฮินามิ!”

                

“การเปรียบเปรยอย่างสุดท้ายมันอะไรกันนั่น จะบอกว่าฉันไม่ใช่มนุษย์?”

                

“นี่หล่อน! ต่อให้ในห้องไม่มีใครคบก็อย่ามาง้อฉันเชียวนะ! ขอโทษซะ! ขอโทษเดี๋ยวนี้! ขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

                

แม้ว่าจะเอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้ แต่เราสองคนก็ยังร่วมกันหารือแผนการในอนาคตกันต่อไป

                

—ด้วยเหตุนี้ ‘แผนการ (โปรเจกต์)’ ของผมจึงได้เข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น

                

ผมมีความสุขมากกับผลที่ได้รับ

                

อย่างที่คิดไว้เลย สิ่งที่ผมควรจะทำนั่นก็คือ—การเตรียมการล่วงหน้าอย่างละเอียดผ่านการหาข้อมูลและฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อมุ่งสู่การทำให้แผนการของผมเป็นความจริง

                

นั่นเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะท้าทายชีวิตจริงที่ไม่ยอมให้ผมมีเลิฟคอมเมดี้นี้ได้

                

—ใช่แล้ว

                

เพราะแบบนั้น

                

ในตอนนั้น เมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้ว

                

สาเหตุของสิ่งนั้นคงจะเป็นเพราะการขาดความพยายามของผม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ 10

Now you are reading [LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ Chapter 10 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วะฮ่าๆๆ น่ายินดี น่ายินดีจริงๆ”

 

หลังเลิกเรียนในวันนั้น ณ ‘ห้องประชุม M’ ตามปกติ

 

ผมรายงานผลลัพธ์ของวันนี้ออกไปอย่างอารมณ์ดี

 

“…ได้ผลจริงๆ เหรอ”

                

ฮ่า อุเอโนะฮาระส่งเสียงออกมาอย่างชื่นชม

                

“ฮ่าๆๆ ชมฉันให้มากกว่านี้อีกสิ”

                

“ไม่ล่ะ ฉันก็แค่แปลกใจเฉยๆ”

                

ทำไมไม่ชมกันนะ

                

“เป็นชัยขนะที่สมบูรณ์แบบจริงๆ! ไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลย!”

                

“หยุดเลย พอได้แล้ว เอาตั้งแต่แรกที่แผนการแบบนั้นได้ผลมันน่าขยะแขยงนะ”

 

“หยุดพูดว่าขยะแขยงได้แล้ว!”

 

มันเจ็บนะ โดนพูดแบบนั้น!

 

“แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลเหมือนกันละนะ…ไอการคัดลอกลายมือแบบนั้น”

 

อุเอโนะฮาระยังคงทำหน้ากึ่งไม่เชื่อพร้อมกับพูดว่า “ล้อเล่นใช่ไหม”

                

—ปัจจัยชี้ขาดของกลยุทธ์นี้

                

นั่นก็คือการอำพรางฉลากด้วยการคัดลอกลายมือ

                

“ฉันซ้อมเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะว่าฉันเป็นหัวหน้าห้องก็เลยมีโอกาสได้เห็นลายมือของทุกคนมาหลายครั้งแล้วละนะ”

                

อันที่จริงแล้วข้อสงสัยของโทริซาวะนั้นถูกต้อง

                

ฉลากที่ผมหยิบออกมาในตอนนั้น อันจริงแล้วมันเป็นฉลากปลอมที่ผมเตรียมไว้ล่วงหน้าและซ่อนมันไว้

                

“วิธีการก็คือเขียนชื่อของคนที่เป็นเป้าหมายลงไป จากนั้นก็แสร้งทำเป็นจับได้โดยบังเอิญ เท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัย”

                

แต่ยังไงมันก็เป็นเพียงฉลากปลอมเท่านั้น ถ้าเกิดถูกตรวจสอบขึ้นมาผมคงจะถึงจุดจบ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเตรียมบางสิ่งเพื่อให้การคัดลอกลายมือเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบและไม่เกิดปัญหาต่อให้โดนตรวจสอบ

                

“โดยทั่วไปการจับฉลากเพื่อเลือกคนมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะโดนเหล่าสมาชิกบ่นหรือเปล่า บางทีแล้วฉันอาจจะไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ …แต่ก็เผื่อเอาไว้”

                

คุณคิโยซาโตะกับโทคิวะนั้นคงจะไม่ได้บ่นอะไรมาก แต่ปฏิกิริยาของโทคิวะจัดว่าสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เนื่องจากการที่เขาจะทำอะไรมันมีกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะทำให้ข้อผิดพลาดในการคาดคะเน

                

แต่ท้ายที่สุดมาตรการรับมือต่างๆ ก็ประสบความสำเร็จ ดีจริงๆ ที่ผมได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ เล่นเอาซะใช้สมุดนักเรียนหมดไปเป็นเล่ม

                

“นี่ ถ้าเกิดนายทำแบบนั้นฉลากของจริงก็ต้องยังอยู่ในกล่องสิ แล้วถ้าเกิดเขาขอให้นายเปิดดูข้างในกล่องนายจะทำยังไงล่ะ”

                

เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ใช่แล้ว ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของผมก็คือการถูกขอดูข้างในกล่อง           

                

“เนื่องจากมันเป็นทริคแบบนี้ก็เลยไม่มีมาตรการตอบโต้ใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงตัดตัวเลือกตรวจดูข้างในกล่องด้วยการชี้นำซะ”

                

ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจงใจวางฉลากที่ถูกจับได้ทิ้งไว้บนโต๊ะ

                

ผมได้แสดงให้เห็นล่วงหน้าไปแล้วว่าไม่มีลูกเล่นใดๆ อยู่ข้างในกล่อง

                

ดังนั้นถ้าหากจะมีลูกเล่นใดๆ แล้วตามปกติก็ต้องไปสงสัยที่ฉลาก

                

ผมได้นำของที่เข้าใจง่ายและน่าสงสัยไปวางไว้เป็นเหยื่อล่อ และชักจูงจิตสำนึกให้ไปทางนั้น

                

ในขณะเดียวกันผมก็รีบหยิบฉลากของจริงที่อยู่ข้างในกล่องออกมา และนำมันไปซ่อนไว้หลังโต๊ะคุณครูทันที หลักฐานได้ถูกปกปิดและอพยพมาอยู่ข้างในกระเป๋าแทน

               

“แต่ยังไงฉันก็ไม่คิดว่าลายมือมันจะถูกเลียนแบบง่ายขนาดนั้นนะ นอกจากนี้ในตอนนั้นเขาจะเขียนด้วยลายมือแปลกๆ ไปรึเปล่าก็ไม่มีใครรู้”

                

“ถ้าเกิดเป็นการเขียนปกติก็คงใช่ แต่รอบนี้เป็นการเขียนชื่อตัวเอง ซึ่งลายมือของทุกคนจะถูกฟิกไว้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นหากเขียนไปแบบไม่รู้ตัว ลายมือทั้งหมดก็จะให้ความรู้สึกเหมือนๆ กัน”

                

อย่างไรก็ดี หากผมปล่อยให้พวกเขาเขียนชื่อลงไปในกระดาษเองก็จะมีความไม่แน่นอนมากมาย

                

ด้วยเหตุนี้ฉลากที่ผมแจกจ่ายออกไปจึงเป็นรูปแบบกรอบแนวตั้งคล้ายกับบัตรลงคะแนน ทำให้ชื่อโดนเขียนอยู่ข้างในกรอบเพื่อให้ง่ายต่อการคัดลอกลายมือ

                

ถ้าหากมีตัวอักษรบางตัวยื่นออกมาจากกรอบ ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่น หรือไม่ก็มีรอยย้ำปากกาผมคงเลิกคิดใช้วิธีนี้ แต่เนื่องจากตอนดูชื่อผมตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหาอย่างที่ว่า ดังนั้นผมจึงคิดว่ามีโอกาสสำเร็จและตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้ต่อ

                

“ก็นะ ในสถานการณ์ที่แย่แบบแย่สุดๆ ฉันคงเลี่ยงใช้ ‘วิธีการพับ’ ไม่ได้ แต่เพราะมันดูเป็นการพนันมากกว่าฉันก็เลยดีใจที่ไม่ต้องใช้มันละนะ”

               

วิธีการพับ เป็นเทคนิคที่จะเปลี่ยนวิธีการพับเฉพาะแค่เป้าหมาย 3 คนและควานหาออกมาด้วยมือ มีข้อดีก็คือจะไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ข้างหลัง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะควานหาฉลากที่ต้องการนานหรือหยิบฉลากออกมาผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

                

หลังจากฝึกไปได้ประมาณ 100 ครั้ง อัตราสำเร็จสุดท้ายอยู่ที่ประมาณ 30% เนื่องจากเวลาเตรียมตัวมีจำกัดจึงเป็นการยากที่จะปรับปรุงให้มีความแม่นยำกว่านี้ เพราะงั้นผมจึงไม่อยากทำถ้าเป็นไปได้

                

“เอ้า มีอะไรจะพูดอีกไหม”

                

“คงไม่มี…แล้วล่ะ”

                

ในที่สุดอุเอโนะฮาระที่เคยตั้งคำถามถึงข้อบกพร่องต่างๆ ก็ได้เงียบไป นับว่าเป็นชัยชนะของผมอย่างสมบูรณ์

                

“เอาเถอะ ถึงจะต้องข้ามสะพานอันตรายมาหลายแห่งขนาดนี้ แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ได้กลับมามันก็คุ้มค่าความท้าทายละนะ แล้วถ้าความเสี่ยงระดับแค่นี้ฉันยังกลัว การทำ ‘แผนการ’ ให้สำเร็จมันคงเป็นได้แค่ฝันข้างในฝัน”             

                

“ก็ดีที่นายไม่ทำมันพังละนะ ฉันรึนึกว่านายจะทำเหมือนกับก่อนหน้านี้”

                

“หยาบคายอะไรอย่างนี้ รอบนี้มันตรงไปตามที่ฉันคิดไว้อย่างสมบูรณ์แบบเชียวนะ แม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับโทริซาวะยังเป็นปัญหาที่ฉันคาดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะงั้นไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก”

                

“อา เข้าใจแล้ว… นายกำลังจะบอกว่าขอแค่เตรียมตัวให้ดีก็จะไม่พลาดใช่ไหม งั้นเรื่องที่ทำพลาดไปในตอนนั้นนายก็แค่เฟอะฟะไปสินะ”

 

“ฮึ ขอโทษละกันที่เฟอะฟะ”

                

ถ้าเกิดผมมีความสามารถที่รับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นคงไม่ต้องมาลำบากงี้หรอก

                

“แต่ที่บอกเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ล้มเหลวมันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เรื่องที่นายทำนี่มันขาดสามัญสำนึกชะมัด”

 

อุเอโนะฮาระพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย

                

ผู้หญิงคนนี้เป็น JK สมัยใหม่และค่อนข้างมีเหตุผลเลยทีเดียว แถมเธอยังอยู่ในห้องอีที่เป็นห้องสายวิทย์อีก รูปร่างหน้าตานั้นช่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้ตัดสินผู้คนได้จริงๆ

                

ทันใดนั้นผมก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังจ้องไปยังอุเอโนะฮาระที่ยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบเข้าปากไปแล้ว

                

วันนี้ผมด้านหลังของเธอถูกรวบเอาไว้และปล่อยลงมาแถวไหล่ซ้าย เนคไทถูกคลาย รอบคอบางๆ ของเธอ โซ่บางอย่างที่เหมือนกับสร้อยคอได้โผล่พ้นออกมา

                

เมื่อมองดูใกล้ๆ จะเห็นได้ว่าขนตาของเธอนั้นเรียวยาวมาก แถมริมฝีปากเรียวเล็กของเธอก็ยังชุ่มไปด้วยลิปสติกจนดูนุ่มนวลหน่อยๆ

                

อื้ม… จากที่ดูๆ มาทั้งหมดแล้วอันดับที่ 7 คงไม่ได้มีไว้แค่โชว์สินะ ถ้าหากว่ามีค่าด้านอื่นๆ ที่สูงกว่านี้

                

“…มีอะไรเหรอ”

                

อุเอโนะฮาระซึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นการจ้องมองของผมได้ทำหน้าสงสัย

                

“อ๊ะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก…จริงสิ ฉันอัดเสียงทั้งหมดของวันนี้เอาไว้ด้วยนะ เธออยากฟังไหม”

                

มันค่อนข้างน่าอายที่โดนจับได้ว่าจ้องมองเธอ ดังนั้นผมจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอย่างรวดเร็ว

                

“อัดเสียง? นั่นมันการดักฟังสินะ”

                

“ไม่ใช่ดักฟังสักหน่อย บันทึกเสียงลับต่างหาก เพราะงั้นถือว่าถูกกฎหมาย”

                

“ไม่ล่ะ ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้น… อ๊า พอแล้ว ฉันมันบ้าเองที่ไปโต้กลับคนบ้าจริงจัง นากาซากะนี่ช่างเหนือความคาดหมายไปซะทุกอย่างเลยจริงๆ”

                

อุเอโนะฮาระทำท่าเคืองๆ ตามปกติและส่งสายตาดูถูก จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ และยกปากขึ้นมานิดๆ เป็นรอยยิ้ม

                

ใบหน้าหายากนั้นได้ทำให้ผมสั่นสะท้าน

 

“…ใบหน้าหายากที่ออกมาในช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้โมเอะกว่าเดิมสินะ”

 

“คือว่านะ ทำไมนายถึงได้พูดจาน่าขยะแขยงแบบนั้นล่ะ”

 

“คร้าบ เอ้าท์แล้ว—!”

 

อย่างน้อยช่วยเขินแล้วก็ตอบกลับแบบตรงไปตรงมาสักหน่อยสิฟะ!

 

ผมยื่นหูฟังออกไปแบบไม่เต็มใจ และเปิดเสียงที่อัดเก็บไว้ในโทรศัพท์

 

“แหม แต่ช่วงนั้นนี่มันยอดเยี่ยมไปเลยน้า~ โดยเฉพาะบทสนทนาอันสมบูรณ์แบบกับโทริซาวะในตอนนั้น… รอก่อนนะ ขอฉันคิดก่อนว่ามันอยู่ตรงไหน”

 

เอ่อ นาทีที่เท่าไหร่หว่า จะให้เปิดตั้งแต่ตอนแรกมันคงจะยาวไปหน่อย…

 

“โทษทีนะ ขอหูฟังฉันคืนหน่อยได้ไหม พอดีฉันอยากจะกรอหาช่วงนั้น”

 

“อ๊ะ นั่นสินะ เอ้า”

 

…อย่างไรก็ตาม มีเพียงหูฟังข้างขวาที่ถูกส่งมาเท่านั้น

 

แน่นอนว่าหูฟังอีกข้างอยู่ในหูของอุเอโนะฮาระ

 

“…รอก่อนนะ นี่เธอจะให้ฉันใส่หูฟังข้างเดียว?”

 

“ก็ใช่น่ะสิ นายจะไปใส่สองข้างได้ยังไงกันล่ะ”

                

ถูกตอบกลับแบบไม่แยแสสักนิด

                

ผมตัวสั่นแล้วก็ตะโกนลั่น

                

“ไม่ใช่แล้วโว้ยยัยบ้า! การแชร์หูฟังกันสองคนนี่มัน… มีไว้สำหรับคู่รักไร้เดียงสาที่เพิ่งเริ่มออกเดตกันไม่ใช่รึไง!”

                

อุเอโนะฮาระนิ่งชะงักไปสักพัก จากนั้นก็หรี่ตาแคบลงยิ่งกว่าเดิม

                

“…หวา อะไรละนั่น เดี๋ยวนี้แล้วยังมีคนใส่ใจเรื่องแบบนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย”

                

“ไม่—ใช่—แล้ว—เฟ้ย! อีเวนต์เลิฟคอมเมดี้อันมีค่าต้องไม่เสียไปอย่างสูญเปล่ากับช่วงเวลาไร้สาระแบบนี้สิ!”

                

“เอ่อ ถ้าเกิดนายว่าแบบนั้นละก็…ไม่สิ แบบนั้นมันยิ่งดูบ้าบอกว่าเดิมอีก”

                

“ไม่ได้บ้าบอเฟ้ย! มันคือเส้นทางเลิฟคอมเมดี้ของฉันต่างหากเล่า!”

                

“ตอบกลับได้น่าขนลุกชะมัด”

                

“ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นจากคำว่าน่าขยะแขยงได้แล้วเรอะ!?”

 

                

ในช่วงที่กำลังเลี่ยงหูฟังคู่รัก อุเอโนะฮาระก็ใช้คำพูดอย่าง “เสียงนายดูสั่นๆ นะ” ไม่ก็ “หวา ตอนโกหกนายพูดติดอ่างหน่อยๆ ปะ” ไม่ก็ “เสียงซื้ดจมูกของนายมันแรงไปนะ เลวร้ายชะมัด” ทำร้ายใส่ผมอย่างนั้นตั้งแต่ต้นยันจบ

                

อุเอโนะฮาระถอดหูฟังออก และค่อยๆ พันสายก่อนจะส่งกลับมาให้ผม พอเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ดูจะใส่ใจรายละเอียดดีนะยัยคนนี้

                

“ถ้าเกิดตัดเรื่องที่ว่านากาซากะน่าขยะแขยงตั้งแต่ต้นจนจบออกไป ก็คงเรียกได้ว่าผ่านไปด้วยดีนั่นแหละ”

                

“ทำไมคนคนนี้ถึงเอาแต่ด่าฉันได้ตลอดเลยนะ แค่ยอมรับอย่างซื่อตรงไม่ได้รึไง”

                

“แต่ฉันไม่คิดว่านายควรจะประมาทเพราะครั้งนี้ไปได้สวยหรอกนะ ยิ่งนายเหลิงไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งพลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”

                

“เรื่องนั้นไม่ต้องมาบอกก็รู้อยู่น่า ฉันพร้อมที่จะเตรียมการให้ละเอียดยิ่งกว่านี้อยู่แล้วล่ะ”

                

“อืม ว่าแต่ฉันขอดูการเตรียมการในส่วนสุดท้ายของนายหน่อยได้ไหม…”

                

“เอ๊ะ อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่านี่เธอเริ่มเดเระแล้ว!?”

                

“อื้ม พอเริ่มดีๆ แล้วก็เป็นซะอย่างนี้ เพราะแบบนี้นายถึงได้น่าขยะแขยงละนะ”

                

“อุก! คำถามชี้นำอีกแล้ว ยัยปีศาจเจ้าเล่ห์! ยักษ์มาร! ท่านฮินามิ!”

                

“การเปรียบเปรยอย่างสุดท้ายมันอะไรกันนั่น จะบอกว่าฉันไม่ใช่มนุษย์?”

                

“นี่หล่อน! ต่อให้ในห้องไม่มีใครคบก็อย่ามาง้อฉันเชียวนะ! ขอโทษซะ! ขอโทษเดี๋ยวนี้! ขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

                

แม้ว่าจะเอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้ แต่เราสองคนก็ยังร่วมกันหารือแผนการในอนาคตกันต่อไป

                

—ด้วยเหตุนี้ ‘แผนการ (โปรเจกต์)’ ของผมจึงได้เข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น

                

ผมมีความสุขมากกับผลที่ได้รับ

                

อย่างที่คิดไว้เลย สิ่งที่ผมควรจะทำนั่นก็คือ—การเตรียมการล่วงหน้าอย่างละเอียดผ่านการหาข้อมูลและฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อมุ่งสู่การทำให้แผนการของผมเป็นความจริง

                

นั่นเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะท้าทายชีวิตจริงที่ไม่ยอมให้ผมมีเลิฟคอมเมดี้นี้ได้

                

—ใช่แล้ว

                

เพราะแบบนั้น

                

ในตอนนั้น เมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้ว

                

สาเหตุของสิ่งนั้นคงจะเป็นเพราะการขาดความพยายามของผม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+