[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ 15

Now you are reading [LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ Chapter 15 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากมองส่งรถเมล์ที่บรรทุกคุณคิโยซาโตะผ่านพ้นไป ผมก็เดินเข้าไปในอาคารสถานี

                

ผมเดินเข้าไปในร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นสถานที่นัดพบล่วงหน้า และจับจองพื้นที่หัวมุมที่ไม่มีคน ผมสั่งแซนวิสทงคัตสึ กาแฟ ตามด้วยชานมไข่มุก แล้วก็นั่งลงไป

                

ดูเหมือนอุเอโนะฮาระจะยังไม่มาสินะ… เอาเถอะ ระหว่างรอเรามาบันทึกข้อมูลใหม่กันดีกว่า ทางที่ดีควรทำในขณะที่หน่วยความจำยังสดใหม่อยู่

                

ในขณะที่ผมกำลังจดเมโมลงไปในโทรศัพท์นั่นเอง ไม่นานอุเอโนะฮาระก็ปรากฏตัวออกมา

                

“เหนื่อยหน่อยนะ เอ้า นั่งก่อนสิ”

                

ถาดที่อยู่ในมือนั้นเต็มไปด้วยขนมปังครีมเมล่อน คอร์เน็ตช็อกโกแลต และโดนัทถั่วแดง แต่เนื่องจากผมเคยชินกับมันไปแล้วก็เลยไม่ได้ตบมุกออกไป

                

นอกจากนี้อุเอโนะฮาระก็ได้ถอดวิก และคืนเครื่องแบบของเธอให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว ผมของเธอทั้งสองข้างได้ถูกมัดอย่างแปลกตา ก็ว่าอยู่ทำไมมาช้าจัง ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าไปถอดชุดปลอมตัวในห้องน้ำก่อนออกมานั่นเอง

                

“…นี่เธอชอบไอ้นั่นเหรอ”

                

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอจึงเหลือแว่นทรงกลมเอาไว้

                

แกร๊ก อุเอโนะฮาระใช้มือข้างหนึ่งดันกรอบล่างของแว่น จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเรียบๆ ตามปกติ

                

“นักเรียนคนอื่นอาจจะเห็นเราก็ได้นี่ ถึงจะเย็นแล้วแต่ก็มันก็เป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดใช่ไหมล่ะ”

                

“ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่คงวิกไว้แบบเดิมล่ะ…”

                

“คือว่านะ ต่อให้จะปลอมตัวเป็นคนอื่นไป แต่ถ้าฉันเหมือนเดิมหมดทุกประการมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ ใช้สามัญสำนึกหน่อยสิ สามัญสำนึกน่ะ”

 

 

“นี่ฉันโดนขโมยคำพูดเรอะ!?”

               

อุตส่าห์คิดว่ามันกลายเป็นประโยคประจำตัวของเราไปแล้วแท้ๆ ใครจะไปคิดว่ายัยนี่จะเอามันมาใช้แก้แค้น!

                

เฮ้อ ขณะที่ผมกำลังลงมือกัดแซนวิสทงคัตสึอย่างหดหู่ อุเอโนะฮาระที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน

                

“เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลยล่ะ… รู้สึกเหมือนนิ้วมันจะเกร็งไปหมด”

                

“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าคงต้องฝึกกล้ามเนื้อนิ้วด้วยสินะ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

               

“คาร์แรกเตอร์ของนากาซากะตอนอยู่กับคุณคิโยซาโตะมันน่าขยะแขยงชะมัด ไอ้การแสดงง่อยๆ นั่นมันอะไร โคตรจะไม่เข้ากับนายเลย”

                

“หมายถึงเมโมเฟ้ย ไม่ใช่ตรงนั้น!”

               

ขนาดเหนื่อยอยู่ยังหาเรื่องมาด่าเราได้อีกเรอะ!

                

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ตรงนั้นฉันก็จดเอาไว้อยู่… เอ้านี่”

                

พูดเสร็จ อุเอโนะฮาระก็ส่งโทรศัพท์มาให้ผม

                

“ดูซิๆ…”

               

ผมเลื่อนหน้าจอลงอย่างรวดเร็ว

                

โอ้ จดไว้ได้ละเอียดเลยนะเนี่ย… ‘ยืดแขน 5 ครั้ง’ ‘ทัดผม 1 ครั้ง’ ‘แตะกระโปรง 3 ครั้ง’ …จดจำนวนครั้งเอาไว้แบบนี้ดีมาก อ๊ะ แต่ตรงที่ ‘นากาซากะทำปากยื่นน่าขยะแขยง’ นี่มันส่วนตัวชัดๆ จะสังเกตเราไปทำไมกันฮะ ลบ

                

หลังจากอ่านจบ ผมก็ถอนหายใจ แล้วก็พยักหน้า

               

“อื้ม ยอดเยี่ยมมาก พอดูทั้งหมดแล้วจดไปได้เกือบ 100 ครั้งเลยนี่นา เธอนี่มันยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”

                

“…ฉันไม่ได้ทำได้ทุกอย่างหรือเป็นยอดมนุษย์หรอก ก่อนอื่น นากาซากะก็ทำได้ดีกว่านี้อีกใช่ไหมล่ะ”

                

“ขนาดฉันยังทำได้ 15 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ยืดอกภูมิใจเข้าไว้เถอะนะ”

                

1 ครั้งของเธอแทบจะเทียบเท่ากับของผม 1 ปี ความแตกต่างของความสามารถมันช่างโหดร้ายจริงๆ

                

ผมยื่นชานมไข่มุกให้กับอุเอโนะฮาระซึ่งกำลังท้าวคางมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ

                

“เอานี่ ของรางวัลวันนี้ รับรองได้เลยว่าเธอจะต้องชอบมันแน่”

                

“ไอ้ ‘ถ้าเป็นเด็ก ม.ปลาย ต้องชอบอันนี้แน่ๆ’ นั่นมันอะไรกันน่ะ ของแบบนี้มันไม่เป็นที่นิยมแล้วละ”

                

“เปล่าสักหน่อย ฉันเลือกมาเพราะว่ามันดูหวานสุดในเมนูต่างหาก”

               

แค่คิดว่าจะเอามันมากินคู่กับขนมปังก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนแล้ว แต่มันคงจะสายไปแล้วกับคนที่กินพายแอปเปิ้ลคู่กับมิลค์เชค

 

อุเอโนะฮาระกะพริบตาปริบด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็พึมพำว่า “…เอาเถอะ ฉันกินก็ได้” พลางยกแก้วขึ้นมา แต่แทนที่จะเอามันเข้าปากทันที เธอกลับใช้หลอดจิ้มไปยังไข่มุกที่อยู่ก้นแก้วแทน

                

“เอาเป็นว่า ฉันได้ตระหนักถึงความศักยภาพสูงของอุเอโนะฮาระอีกครั้งแล้ว และฉันก็ได้รับข้อมูลมามากมายด้วย ฉันดีใจที่เราได้ฝึกนอกสถานที่กันในวันนี้จริงๆ”

                

ดีมากๆ ผมพ่นลมออกจากจมูกอย่างพึงพอใจและยกกาแฟขึ้นมาซด

                

อื้ม รสชาติดีจริงๆ ว่าแล้วกาแฟร้อนต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

                

“…นี่ นากาซากะ”

                

“หืม?”

                

อุเอโนะฮาระพึมพำขณะมองดูไข่มุกจมสู่ก้นแก้ว

 

ดวงตาที่นิ่งงันดูเหมือนจะมีอารมณ์มากกว่าปกติ ผมรีบรั้งตัวเองไว้อย่างไร้เหตุผล

                

“นายน่ะ…ทำแบบนี้ทุกวันเลยจริงๆ เหรอ”

                

“ก็ตามนั้น ยกเว้นว่าฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำน่ะนะ”

                

“ไม่ใช่ว่านายควรจะไปทำอย่างอื่นมากกว่าเหรอ อย่างเช่นเรียนหนังสือ”

                

“ฉันทำมันแค่ในเวลาว่างเท่านั้นน่ะ เพราะว่าถ้าเกรดไม่ดีแล้วมันจะทำอะไรหลายๆ อย่างลำบาก”

                

อย่างที่ได้บอกคุณคิโยซาโตะไป ว่าผมได้ใช้เวลาว่างระหว่างอยู่รถไฟเพื่อเตรียมตัวและทบทวนบทเรียน สำหรับในกรณีของผม ถ้าเกิดไม่ตั้งใจเรียนขึ้นมาเกรดของผมก็จะลดลงจนถึงระดับค่าเฉลี่ยในเวลาไม่นาน

               

ทันใดนั้นมือของอุเอโนะฮาระที่ถือหลอดอยู่ก็หยุดชะงัก

                

จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก

                

“อะไรทำให้นายต้องทำขนาดนั้นเพื่อเลิฟคอมเมดี้ด้วยล่ะ สำหรับนากาซากะแล้วเลิฟคอมเมดี้คืออะไรกันแน่”

               

เธอหันดวงตาสีน้ำตาลแดงซีดมาหาผม และถามเช่นนั้น

                

“…จู่ๆ ก็อะไรของเธอ นอกจากว่า ‘มีเลิฟคอมเมดี้อยู่ตรงนั้น’ แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีกหรือไง”

                

“ไม่เอาแบบนั้นสิ ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย”

                

อุเอโนะฮาระตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้ด่าหรือว่าตบมุกใส่ผม

                

…บรรยากาศเริ่มไม่ธรรมดาและจริงจัง

                

ผมกอดอกและครุ่นคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

                

—เสียงฝูงชนที่คึกคักก้องกังวานมาแต่ไกล

 

ผมหลับตาลงครู่หนึ่ง

                

จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดตาออก—

                

“—เธอรู้ไหมว่าโลกของเลิฟคอมเมดี้คืออะไร มันคือโลกในอุดมคติที่รับประกันว่าจะมีแฮปปี้เอนดิ้งอยู่แน่นอนยังไงละ”

                

“…โลกในอุดมคติ”

                

“ใช่แล้ว ทั้งความรัก มิตรภาพ เรื่องราวดราม่า แล้วก็เหตุการณ์โชคดี… หรือก็คือเต็มไปด้วยทุกอย่างที่นักเรียน ม.ปลาย ทั่วๆ ไปต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเติมเต็มชีวิตของเราได้อย่างแน่นอนหากได้สัมผัสกับมันจริงๆ”

 

“…”

 

“นอกจากนี้ในโลกแห่งความฝันและอุดมคตินั้นก็จะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเสมอ ถึงแม้จะมีเหตุการณ์พลิกผัน ถึงแม้จะมีสิ่งเจ็บปวด และเรื่องน่าเศร้าระหว่างทาง แต่ในบั้นปลายมันก็จะมีค่าตอบแทนให้กับเราอย่างแน่นอน และตัวละครทุกคนที่มาถึงในตอนจบก็จะได้สิ่งที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้”

                

“สิ่งที่…ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้”

                

อุเอโนะฮาระทวนคำพูดนั้นและเงียบลงไปอีกครั้ง

                

“แต่ว่านะ…”

               

ผมก้มหน้า แล้วก็พูดต่อ

                

“ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง อุดมคติก็คืออุดมคติ อย่างน้อยที่สุด…ฉันก็ตระหนักมาได้นานแล้วว่าชีวิตจริงของฉันเองมันห่างไกลจากเลิฟคอมเมดี้เพียงใด ฉันไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหมือนกับพระเอกเลย แถมไม่มีสาวที่มีคุณสมบัติเหมือนกับนางเอกอยู่รอบตัวแม้แต่คนเดียว”

                

ผมชะเง้อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ฝูงชนกำลังเดินขวักไขว่กันอย่างเบ็ดเตล็ด

                

“ด้วยเหตุนี้ ฉันผู้ซึ่งเคยเป็นเพียงหนึ่งในนักอ่านไลท์โนเวลที่ชื่นชอบเลิฟคอมเมดี้หลายล้านคนทั่วประเทศ ฉันผู้ซึ่งเป็นเพียง ‘นักเรียน ม.ปลาย A’ คนหนึ่งจึงอยากจะมีชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบนั้นเหมือนกับเขาบ้าง”

                

ผมซึ่งเป็นหนึ่งในคนนิรนามหลายล้านคนได้เข้าใจ (ยอมแพ้) ถึงสิ่งนั้น

                

“ว่าต่อให้ชีวิตจริงจะดำเนินต่อไป ก็จะไม่มีการพบเจอที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้แบบเลิฟคอมเมดี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตประจำวันอันน่าพอใจเหมือนกับเลิฟคอมเมดี้ แล้วก็…ถ้าเกิดใช้ชีวิตแบบจืดชืดไร้รสชาติแบบนั้นต่อไปทุกๆ วัน ก็จะไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะไปถึงแฮปปี้เอนดิ้งได้”

 

ด้วยเหตุนี้

                

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉัน—เกลียดชีวิตจริงแบบนั้น เกลียดตัวเองเสมอที่ถูกพัดพาไปตามคลื่นของชีวิตจริงแบบนั้น”

                

เมื่อพูดจบ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

 

—แต่ว่าในตอนนั้น

 

“อยู่มาวันหนึ่ง…ก็ได้บังเอิญมีเหตุการณ์เลิฟคอมเมดี้เกิดขึ้นกับฉัน”

                

มันเป็นเพียงทริกเกอร์ขนาดเล็ก

                

ขณะที่ผมกำลังวางแผนทัศนศึกษา และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ค้นคว้ามาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานอดิเรกของผม

                

เมื่อเพื่อนร่วมชั้นสาวได้ยินแบบนั้น เธอก็กระซิบออกมาว่า “อยากจะไปกับฉันไหม”

               

มันเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เล็กมาก แต่ว่า—

                

“ในตอนนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่า โลกในอุดมคตินั้น…บางทีแล้วฉันอาจจะเอื้อมถึงมันได้ก็เป็นได้”

               

ผมยึดมือแน่นไว้กับโต๊ะ

               

“ความจริงถ้าเธอลองคิดดูดีๆ แล้ว จะพบว่าตัวเอกเลิฟคอมเมดี้มีความหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ อย่างแนวคลาสสิคตัวเอกก็จะมีสูตรสำเร็จเป็นนักเรียน ม.ปลายธรรมดาเท่านั้น แต่ในตอนนี้คนโดดเดี่ยวกับโอตาคุก็ได้กลายเป็นกระแสหลักแทนไปแล้ว แถมแม้แต่เรียจูที่ชีวิตควรได้รับการเติมเต็มไปแล้วก็ยังได้รับบทนำได้”

                

กล่าวสั้นๆ ก็คือ

                

“ทั้งลักษณะส่วนบุคคล และสภาพแวดล้อม องค์ประกอบเหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลย”

                

ผมกล่าวอย่างชัดเจน ราวกับกำลังเค้นคำพูดทีละคำ

                

“ไม่ว่าจะเก่งกาจมากเพียงใด สภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยขนาดไหน หรือจะโชคร้ายมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญเลย… หากมีเพียงเงื่อนไขข้อเดียว—”

            

—องค์ประกอบที่ตัวเอกทุกคนมีเหมือนกันนั้นก็คือ

                

“เป็นตัวของตัวเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ นากาซากะ โคเฮย์ ก็ควรทำในสิ่งที่ นากาซากะ โคเฮย์ ทำได้เท่านั้น นั่นเป็นเงื่อนไขเพียงข้อเดียวสำหรับการสร้างเลิฟคอมเมดี้ขึ้นมาในชีวิตจริงที่ฉันคงอยู่—ไม่สิ เปลี่ยนแปลงชีวิตจริงให้กลายเป็นเลิฟคอมเมดี้ต่างหาก”

                

พูดจบ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

                

“…เอาเป็นว่า ‘เพราะอุดมคติอยู่ใกล้แค่เอื้อม ฉันก็เลยเอื้อมไปหามัน’ ก็เท่านั้นแหละ”

                

บางทีผมอาจจะพูดมากไปทำหน่อย คอของผมจึงได้กระหายน้ำมาก

                

ผมซดกาแฟอุ่นๆ เข้าไปทีเดียวเพื่อให้ชุ่มคอ อื้ม กาแฟร้อนก็ยังล้มเหลวอยู่ดีสินะ จากนี้ไปจะขอใช้น้ำเปล่าแทนละกันนะ

                

“…งั้นเหรอ”

               

อุเอโนะฮาระที่เงียบไปนานได้หลับตาลง แล้วก็พูดเบาๆ

                

ท่าทางนั้นดูมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าทุกที แต่ในไม่นานเธอก็เริ่มพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ ตามปกติเหมือนเดิม

                

“อื้ม สรุปคือนายคิดว่า ‘ฉันกำลังพูดอะไรเจ๋งๆ อยู่นะ’ เธอจะต้องซาบซึ้งกินใจแน่ๆ จากนั้นก็เริ่มสาธยายถึงเงื่อนไขการเป็นตัวเอกออกมาโดยที่ไม่มีใครถามสินะ”

                

“เฮ้ย! ฉันอุตส่าห์ให้คำตอบจริงจังกับเธอไปแล้วนะ เลิกด่ากันได้แล้ว!”

                

“ก็ถ้าตัดเรื่องเลิฟคอมเมดี้นั่นนี่นู่นออกไป นากาซากะก็ยังไม่ได้อธิบายเลยว่าทำไมถึงอยากให้มันเกิดขึ้นมานี่นา”

                

อ๊าโว้ย! ปกติก็เห็นจะฉลาดแท้ๆ ทำไมถึงยังไม่เข้าใจอีกกันนะ

                

“ก็ฉันบอกเธอไปแล้วใช่ไหม ว่าเลิฟคอมเมดี้น่ะคือโลกในอุดมคติที่จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน”

                

“ก็บอกไปแล้วแหละ แต่…”

                

อุเอโนะฮาระเอียงหัวเล็กน้อย เหมือนจะยังไงก็ไม่เข้าใจคำตอบ

                

กล่าวอีกอย่างก็คือ ผมตอบหลังจากกระแอมไปหนึ่งที

                

“ถ้าเกิดลองคิดในทางกลับกัน—หากว่าเธอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตจริงให้เป็นเลิฟคอมเมดี้ได้ เธอก็จะมีความสุขอย่างแน่นอนใช่ไหม เพื่อที่จะทำให้ชีวิต ม.ปลาย จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งให้ได้ ฉันจะทำให้เลิฟคอมเมดี้เป็นจริงขึ้นมาให้ดูเอง”

                

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของอุเอโนะฮาระก็เปิดกว้าง เธอทำปากพะงาบๆ ราวกับกำลังกินอากาศ

                

ช่างเป็นใบหน้าประหลาดที่หาได้ยากจริงๆ

                

“นี่… นั่นน่ะ นายพูดจริงใช่ไหม”

                

“ก็แน่อยู่แล้ว มีใครบ้างที่ไม่ชอบตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งล่ะ”

                

“…นายนี่มันตาบ้าตัวพ่อจริงๆ สินะ”

                

“นั่นคือข้อสรุปของเธอเรอะ!?”

                

“คำพูดของนายมันบ้าบอจนฉันพูดไม่ออกเลยล่ะ อย่างแรกคือมันไม่มีความสมเหตุสมผลเลย ต่อมาไอ้แฮปปี้เอนดิ้งของนายมันก็คลุมเครือและไร้ความหมายเกินไป”

                

“อ๊าโว้ย ยัยคนหัวดื้อคนนี้!”

                

อย่าพยายามหาเหตุผลไปซะทุกอย่างแบบนั้นสิฟะ!

                

และในขณะที่ผมกำลังขอทวงชานมไข่มุกคืนมานั้น

                

“แต่ว่านะ…”

                

อุเอโนะฮาระก็

                

เหม่อมองไปในที่ไกลๆ พร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของเธอ

                

“ไอ้ความบ้าบอตัวพ่อแบบนั้น ก็สมกับเป็นนากาซากะดีละนะ”

                

พูดจบ เธอก็ค่อยๆ ยกชานมไข่มุกที่อยู๋ในมือเข้าปาก

               

—สมกับเป็นเรา…เหรอ

                

มันเป็นสิ่งที่ผมใช้เฝ้าบอกกับตัวเองมาตลอด แต่…

                

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นมาพูดกับผมแบบนี้

                

จู่ๆ ผมก็รู้สึกเขินจนตัวบิดไปมา

                

“น่านะ… ถ้าคิดแบบนั้นก็ดีแล้วละนะ”

               

“ถ้าเป็นฉันคงทำแบบนายไม่ได้แน่ๆ ทั้งสิ่งที่ยึดมั่นก็ดี เอกลักษณ์เฉพาะตัวดี ของแบบนั้นฉันไม่มีเลย”

 

“เอ๊ะ?”

 

คำพูดเบาๆ เหล่านั้นได้ทำให้ผมรู้สึกติดใจ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป อุเอโนะฮาระก็ได้พูดออกมาต่อด้วยสีหน้าอย่างเคย

                

“นากาซากะเนี่ย นอกจากจะขาดสามัญสำนึก กับเพ้อฝันแล้ว ก็ยังหลงตัวเองอีก สำหรับผู้หญิงแล้วเป็นประเภทที่เอาท์สุดๆ ไปเลยล่ะ”

                

“นั่นมันหนักกว่าเก่าอีกไม่ใช่เรอะ!?”

                

นี่เธอไม่ได้คิดว่าเรามีดีเลยรึไงกันนะ…

 

                

ต่อจากนั้นพวกเรานำข้อมูลที่ได้มาแชร์ด้วยกันแบบเร็วๆ และสรุปผลข้อมูล ไปจนถึงกำหนดการประชุมสิ่งที่ต้องทำครั้งถัดไป

                

“—งั้นเอาเป็นว่าครั้งหน้าเรามาประชุมเรื่องซ้อมเชียร์กันนะ นี่คือสิ่งที่ฉันสรุปได้ทั้งหมดในตอนนี้ เธอมีอะไรจะถามอีกไหม”

                

ผมถามขณะที่ขณะที่ปิดเอกสารบนแท็บเล็ต

                

อุเอโนะฮาระยกมือป้องปากและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วก็พูดออกมาว่า

 

“…ฉันขอยืนยันอะไรหน่อยสิ นากาซากะนายไม่ได้ฉีดน้ำหอมใช่ไหม”

 

“ฮะ? ทำไมถึงถามเรื่องนั้น?”

                

“อื้อ เปล่า โทษที ไม่มีอะไรหรอก”

                

อุเอโนะฮาระโบกมือปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะป้องปากพึมพำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว

                

เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า…ตัวเราจะมีกลิ่นเหงื่ออะไรแบบนั้น ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น…คงไม่หรอกมั้ง

                

“เอ่อ ถ้าเธอหมายถึงเรื่องกลิ่นละก็ เดี๋ยวฉันใช้สเปรย์ระงับ…”

 

“พอเถอะ มันน่าขยะแขยงนะ หุบปากได้แล้ว”

 

“ไร้เหตุผลชะมัด!”

                

นี่เธอเป็นคนถามฉันก่อนเองนะ!

                

ในขณะที่ผมกำลังตรวจสอบว่ามีกลิ่นแปลกๆ บนมือและเสื้อผ้าไหม อุเอโนะฮาระก็ได้ส่ายหัวแล้วก็ถอนหายใจ

                

“…งั้นก็เหลือแค่แบบนั้นเท่านั้นสินะ ยังไงตอนนี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”

                

“นั่นเธอพูดเรื่องอะไรน่ะ”

                

มันทำให้อยากรู้อยากเห็นนะ

               

“ว่าแต่ ต่อไปฉันควรจะหาข้อมูลยังไงดีล่ะ”

                

“หือ…”

               

โอ้ นี่เธอถึงกับยอมหางานด้วยตัวเองเลยเหรอเนี่ย รู้สึกดีใจจริงๆ ที่การล้างสม—อะแฮ่ม จิตสำนึกของการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดงอกเงยขึ้นมาแล้ว

                

ผมคิดอยู่สักพัก ก่อนจะบอกให้เธอฟัง

                

“เอาเถอะ เรื่องการหาข้อมูลรายวันกับพวกเรื่องจุกจิกเดี๋ยวฉันเป็นคนทำเอง เธอไม่ต้องมาช่วยก็ได้ อันนี้ต่อให้อุเอโนะฮาระไม่ช่วย ฉันก็ทำเองได้อยู่แล้ว”

                

“งั้นเหรอ”

                

อุเอโนะฮาระหันไปมองที่หน้าต่าง และพึมพำกับตัวเอง

                

“กลับกัน ฉันต้องการให้เธอรับผิดชอบเรื่องการเก็บข้อมูลตัวต่อตัวเพื่อรวบรวมข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงแทน ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็เหมาะกว่าฉันในเรื่องนี้ และฉันก็มั่นใจว่าเธอจะไม่ทำพลาดง่ายๆ”

                

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อุเอโนะฮาระก็หันกลับมาทางนี้ ก่อนจะเล่นผมที่อยู่หลังหัวแล้วก็ตอบ

                

“เอาเถอะ…ฉันจะทำเท่าที่ทำได้ละกัน มีบางอย่างที่ฉันติดใจเป็นการส่วนตัวพอดี ดีนะที่นายไม่บอกให้ฉันต้องทำเรื่องแบบนี้ทุกวัน”

 

เมื่อพูดเสร็จ อุเอโนะฮาระก็ดันแว่นของเธอขึ้น

                

…นี่เธอชอบแว่นนั่นจริงๆ ใช่ไหม

                

“…หรือฉันควรจะให้นั่นเธอไปไหม ยังไงมันก็ไม่ได้แพงมากอยู่แล้ว”

                

“เอ๊ะ? ไม่เอาด้วยหรอก อย่างแรกเลยมันเชยจะตาย ต่อให้จะเป็นแค่แว่นปลอมตัว นายก็ควรเลือกให้มันมีรสนิยมดีกว่านี้ไม่ใช่รึไง”

                

“เฮ้ย การให้แว่นตาเป็นของขวัญมันเป็นธงอีเวนต์อันสำคัญเลยนะรู้ไหม! ถึงมันจะสลับตำแหน่งกับเรื่อง ปั้น〇บ้าน ก็เถอะนะ!”

 

“จ้าๆ ขยะแขยงๆ”

                

ลงท้ายพวกเราก็ปิดฉากด้วยบรรยากาศแบบปกติ และออกจากร้านไป

                

—ว่าแล้วเชียว การตัดสินใจชักชวนอุเอโนะฮาระในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ

                

เดิมทีแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะแสดงหลังฉากของเลิฟคอมเมดี้ให้ใครดู แต่…การที่มีผู้สมรู้สมรู้ร่วมคิดมาคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเบื้องหลังมันจะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน

                

ผมแน่ใจว่าสิ่งนี้จะต้องทำให้

                

แผนการของผม—แผนการของพวกผมประสบความสำเร็จได้

                

แต่ว่า…

                

ในชีวิตจริงนี้ ไม่มีทางที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ 15

Now you are reading [LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ Chapter 15 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากมองส่งรถเมล์ที่บรรทุกคุณคิโยซาโตะผ่านพ้นไป ผมก็เดินเข้าไปในอาคารสถานี

                

ผมเดินเข้าไปในร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นสถานที่นัดพบล่วงหน้า และจับจองพื้นที่หัวมุมที่ไม่มีคน ผมสั่งแซนวิสทงคัตสึ กาแฟ ตามด้วยชานมไข่มุก แล้วก็นั่งลงไป

                

ดูเหมือนอุเอโนะฮาระจะยังไม่มาสินะ… เอาเถอะ ระหว่างรอเรามาบันทึกข้อมูลใหม่กันดีกว่า ทางที่ดีควรทำในขณะที่หน่วยความจำยังสดใหม่อยู่

                

ในขณะที่ผมกำลังจดเมโมลงไปในโทรศัพท์นั่นเอง ไม่นานอุเอโนะฮาระก็ปรากฏตัวออกมา

                

“เหนื่อยหน่อยนะ เอ้า นั่งก่อนสิ”

                

ถาดที่อยู่ในมือนั้นเต็มไปด้วยขนมปังครีมเมล่อน คอร์เน็ตช็อกโกแลต และโดนัทถั่วแดง แต่เนื่องจากผมเคยชินกับมันไปแล้วก็เลยไม่ได้ตบมุกออกไป

                

นอกจากนี้อุเอโนะฮาระก็ได้ถอดวิก และคืนเครื่องแบบของเธอให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว ผมของเธอทั้งสองข้างได้ถูกมัดอย่างแปลกตา ก็ว่าอยู่ทำไมมาช้าจัง ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าไปถอดชุดปลอมตัวในห้องน้ำก่อนออกมานั่นเอง

                

“…นี่เธอชอบไอ้นั่นเหรอ”

                

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอจึงเหลือแว่นทรงกลมเอาไว้

                

แกร๊ก อุเอโนะฮาระใช้มือข้างหนึ่งดันกรอบล่างของแว่น จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเรียบๆ ตามปกติ

                

“นักเรียนคนอื่นอาจจะเห็นเราก็ได้นี่ ถึงจะเย็นแล้วแต่ก็มันก็เป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดใช่ไหมล่ะ”

                

“ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่คงวิกไว้แบบเดิมล่ะ…”

                

“คือว่านะ ต่อให้จะปลอมตัวเป็นคนอื่นไป แต่ถ้าฉันเหมือนเดิมหมดทุกประการมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ ใช้สามัญสำนึกหน่อยสิ สามัญสำนึกน่ะ”

 

 

“นี่ฉันโดนขโมยคำพูดเรอะ!?”

               

อุตส่าห์คิดว่ามันกลายเป็นประโยคประจำตัวของเราไปแล้วแท้ๆ ใครจะไปคิดว่ายัยนี่จะเอามันมาใช้แก้แค้น!

                

เฮ้อ ขณะที่ผมกำลังลงมือกัดแซนวิสทงคัตสึอย่างหดหู่ อุเอโนะฮาระที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน

                

“เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลยล่ะ… รู้สึกเหมือนนิ้วมันจะเกร็งไปหมด”

                

“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าคงต้องฝึกกล้ามเนื้อนิ้วด้วยสินะ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

               

“คาร์แรกเตอร์ของนากาซากะตอนอยู่กับคุณคิโยซาโตะมันน่าขยะแขยงชะมัด ไอ้การแสดงง่อยๆ นั่นมันอะไร โคตรจะไม่เข้ากับนายเลย”

                

“หมายถึงเมโมเฟ้ย ไม่ใช่ตรงนั้น!”

               

ขนาดเหนื่อยอยู่ยังหาเรื่องมาด่าเราได้อีกเรอะ!

                

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ตรงนั้นฉันก็จดเอาไว้อยู่… เอ้านี่”

                

พูดเสร็จ อุเอโนะฮาระก็ส่งโทรศัพท์มาให้ผม

                

“ดูซิๆ…”

               

ผมเลื่อนหน้าจอลงอย่างรวดเร็ว

                

โอ้ จดไว้ได้ละเอียดเลยนะเนี่ย… ‘ยืดแขน 5 ครั้ง’ ‘ทัดผม 1 ครั้ง’ ‘แตะกระโปรง 3 ครั้ง’ …จดจำนวนครั้งเอาไว้แบบนี้ดีมาก อ๊ะ แต่ตรงที่ ‘นากาซากะทำปากยื่นน่าขยะแขยง’ นี่มันส่วนตัวชัดๆ จะสังเกตเราไปทำไมกันฮะ ลบ

                

หลังจากอ่านจบ ผมก็ถอนหายใจ แล้วก็พยักหน้า

               

“อื้ม ยอดเยี่ยมมาก พอดูทั้งหมดแล้วจดไปได้เกือบ 100 ครั้งเลยนี่นา เธอนี่มันยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”

                

“…ฉันไม่ได้ทำได้ทุกอย่างหรือเป็นยอดมนุษย์หรอก ก่อนอื่น นากาซากะก็ทำได้ดีกว่านี้อีกใช่ไหมล่ะ”

                

“ขนาดฉันยังทำได้ 15 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ยืดอกภูมิใจเข้าไว้เถอะนะ”

                

1 ครั้งของเธอแทบจะเทียบเท่ากับของผม 1 ปี ความแตกต่างของความสามารถมันช่างโหดร้ายจริงๆ

                

ผมยื่นชานมไข่มุกให้กับอุเอโนะฮาระซึ่งกำลังท้าวคางมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ

                

“เอานี่ ของรางวัลวันนี้ รับรองได้เลยว่าเธอจะต้องชอบมันแน่”

                

“ไอ้ ‘ถ้าเป็นเด็ก ม.ปลาย ต้องชอบอันนี้แน่ๆ’ นั่นมันอะไรกันน่ะ ของแบบนี้มันไม่เป็นที่นิยมแล้วละ”

                

“เปล่าสักหน่อย ฉันเลือกมาเพราะว่ามันดูหวานสุดในเมนูต่างหาก”

               

แค่คิดว่าจะเอามันมากินคู่กับขนมปังก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนแล้ว แต่มันคงจะสายไปแล้วกับคนที่กินพายแอปเปิ้ลคู่กับมิลค์เชค

 

อุเอโนะฮาระกะพริบตาปริบด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็พึมพำว่า “…เอาเถอะ ฉันกินก็ได้” พลางยกแก้วขึ้นมา แต่แทนที่จะเอามันเข้าปากทันที เธอกลับใช้หลอดจิ้มไปยังไข่มุกที่อยู่ก้นแก้วแทน

                

“เอาเป็นว่า ฉันได้ตระหนักถึงความศักยภาพสูงของอุเอโนะฮาระอีกครั้งแล้ว และฉันก็ได้รับข้อมูลมามากมายด้วย ฉันดีใจที่เราได้ฝึกนอกสถานที่กันในวันนี้จริงๆ”

                

ดีมากๆ ผมพ่นลมออกจากจมูกอย่างพึงพอใจและยกกาแฟขึ้นมาซด

                

อื้ม รสชาติดีจริงๆ ว่าแล้วกาแฟร้อนต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

                

“…นี่ นากาซากะ”

                

“หืม?”

                

อุเอโนะฮาระพึมพำขณะมองดูไข่มุกจมสู่ก้นแก้ว

 

ดวงตาที่นิ่งงันดูเหมือนจะมีอารมณ์มากกว่าปกติ ผมรีบรั้งตัวเองไว้อย่างไร้เหตุผล

                

“นายน่ะ…ทำแบบนี้ทุกวันเลยจริงๆ เหรอ”

                

“ก็ตามนั้น ยกเว้นว่าฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำน่ะนะ”

                

“ไม่ใช่ว่านายควรจะไปทำอย่างอื่นมากกว่าเหรอ อย่างเช่นเรียนหนังสือ”

                

“ฉันทำมันแค่ในเวลาว่างเท่านั้นน่ะ เพราะว่าถ้าเกรดไม่ดีแล้วมันจะทำอะไรหลายๆ อย่างลำบาก”

                

อย่างที่ได้บอกคุณคิโยซาโตะไป ว่าผมได้ใช้เวลาว่างระหว่างอยู่รถไฟเพื่อเตรียมตัวและทบทวนบทเรียน สำหรับในกรณีของผม ถ้าเกิดไม่ตั้งใจเรียนขึ้นมาเกรดของผมก็จะลดลงจนถึงระดับค่าเฉลี่ยในเวลาไม่นาน

               

ทันใดนั้นมือของอุเอโนะฮาระที่ถือหลอดอยู่ก็หยุดชะงัก

                

จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก

                

“อะไรทำให้นายต้องทำขนาดนั้นเพื่อเลิฟคอมเมดี้ด้วยล่ะ สำหรับนากาซากะแล้วเลิฟคอมเมดี้คืออะไรกันแน่”

               

เธอหันดวงตาสีน้ำตาลแดงซีดมาหาผม และถามเช่นนั้น

                

“…จู่ๆ ก็อะไรของเธอ นอกจากว่า ‘มีเลิฟคอมเมดี้อยู่ตรงนั้น’ แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีกหรือไง”

                

“ไม่เอาแบบนั้นสิ ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย”

                

อุเอโนะฮาระตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้ด่าหรือว่าตบมุกใส่ผม

                

…บรรยากาศเริ่มไม่ธรรมดาและจริงจัง

                

ผมกอดอกและครุ่นคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

                

—เสียงฝูงชนที่คึกคักก้องกังวานมาแต่ไกล

 

ผมหลับตาลงครู่หนึ่ง

                

จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดตาออก—

                

“—เธอรู้ไหมว่าโลกของเลิฟคอมเมดี้คืออะไร มันคือโลกในอุดมคติที่รับประกันว่าจะมีแฮปปี้เอนดิ้งอยู่แน่นอนยังไงละ”

                

“…โลกในอุดมคติ”

                

“ใช่แล้ว ทั้งความรัก มิตรภาพ เรื่องราวดราม่า แล้วก็เหตุการณ์โชคดี… หรือก็คือเต็มไปด้วยทุกอย่างที่นักเรียน ม.ปลาย ทั่วๆ ไปต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเติมเต็มชีวิตของเราได้อย่างแน่นอนหากได้สัมผัสกับมันจริงๆ”

 

“…”

 

“นอกจากนี้ในโลกแห่งความฝันและอุดมคตินั้นก็จะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเสมอ ถึงแม้จะมีเหตุการณ์พลิกผัน ถึงแม้จะมีสิ่งเจ็บปวด และเรื่องน่าเศร้าระหว่างทาง แต่ในบั้นปลายมันก็จะมีค่าตอบแทนให้กับเราอย่างแน่นอน และตัวละครทุกคนที่มาถึงในตอนจบก็จะได้สิ่งที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้”

                

“สิ่งที่…ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้”

                

อุเอโนะฮาระทวนคำพูดนั้นและเงียบลงไปอีกครั้ง

                

“แต่ว่านะ…”

               

ผมก้มหน้า แล้วก็พูดต่อ

                

“ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง อุดมคติก็คืออุดมคติ อย่างน้อยที่สุด…ฉันก็ตระหนักมาได้นานแล้วว่าชีวิตจริงของฉันเองมันห่างไกลจากเลิฟคอมเมดี้เพียงใด ฉันไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหมือนกับพระเอกเลย แถมไม่มีสาวที่มีคุณสมบัติเหมือนกับนางเอกอยู่รอบตัวแม้แต่คนเดียว”

                

ผมชะเง้อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ฝูงชนกำลังเดินขวักไขว่กันอย่างเบ็ดเตล็ด

                

“ด้วยเหตุนี้ ฉันผู้ซึ่งเคยเป็นเพียงหนึ่งในนักอ่านไลท์โนเวลที่ชื่นชอบเลิฟคอมเมดี้หลายล้านคนทั่วประเทศ ฉันผู้ซึ่งเป็นเพียง ‘นักเรียน ม.ปลาย A’ คนหนึ่งจึงอยากจะมีชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบนั้นเหมือนกับเขาบ้าง”

                

ผมซึ่งเป็นหนึ่งในคนนิรนามหลายล้านคนได้เข้าใจ (ยอมแพ้) ถึงสิ่งนั้น

                

“ว่าต่อให้ชีวิตจริงจะดำเนินต่อไป ก็จะไม่มีการพบเจอที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้แบบเลิฟคอมเมดี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตประจำวันอันน่าพอใจเหมือนกับเลิฟคอมเมดี้ แล้วก็…ถ้าเกิดใช้ชีวิตแบบจืดชืดไร้รสชาติแบบนั้นต่อไปทุกๆ วัน ก็จะไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะไปถึงแฮปปี้เอนดิ้งได้”

 

ด้วยเหตุนี้

                

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉัน—เกลียดชีวิตจริงแบบนั้น เกลียดตัวเองเสมอที่ถูกพัดพาไปตามคลื่นของชีวิตจริงแบบนั้น”

                

เมื่อพูดจบ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

 

—แต่ว่าในตอนนั้น

 

“อยู่มาวันหนึ่ง…ก็ได้บังเอิญมีเหตุการณ์เลิฟคอมเมดี้เกิดขึ้นกับฉัน”

                

มันเป็นเพียงทริกเกอร์ขนาดเล็ก

                

ขณะที่ผมกำลังวางแผนทัศนศึกษา และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ค้นคว้ามาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานอดิเรกของผม

                

เมื่อเพื่อนร่วมชั้นสาวได้ยินแบบนั้น เธอก็กระซิบออกมาว่า “อยากจะไปกับฉันไหม”

               

มันเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เล็กมาก แต่ว่า—

                

“ในตอนนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่า โลกในอุดมคตินั้น…บางทีแล้วฉันอาจจะเอื้อมถึงมันได้ก็เป็นได้”

               

ผมยึดมือแน่นไว้กับโต๊ะ

               

“ความจริงถ้าเธอลองคิดดูดีๆ แล้ว จะพบว่าตัวเอกเลิฟคอมเมดี้มีความหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ อย่างแนวคลาสสิคตัวเอกก็จะมีสูตรสำเร็จเป็นนักเรียน ม.ปลายธรรมดาเท่านั้น แต่ในตอนนี้คนโดดเดี่ยวกับโอตาคุก็ได้กลายเป็นกระแสหลักแทนไปแล้ว แถมแม้แต่เรียจูที่ชีวิตควรได้รับการเติมเต็มไปแล้วก็ยังได้รับบทนำได้”

                

กล่าวสั้นๆ ก็คือ

                

“ทั้งลักษณะส่วนบุคคล และสภาพแวดล้อม องค์ประกอบเหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลย”

                

ผมกล่าวอย่างชัดเจน ราวกับกำลังเค้นคำพูดทีละคำ

                

“ไม่ว่าจะเก่งกาจมากเพียงใด สภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยขนาดไหน หรือจะโชคร้ายมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญเลย… หากมีเพียงเงื่อนไขข้อเดียว—”

            

—องค์ประกอบที่ตัวเอกทุกคนมีเหมือนกันนั้นก็คือ

                

“เป็นตัวของตัวเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ นากาซากะ โคเฮย์ ก็ควรทำในสิ่งที่ นากาซากะ โคเฮย์ ทำได้เท่านั้น นั่นเป็นเงื่อนไขเพียงข้อเดียวสำหรับการสร้างเลิฟคอมเมดี้ขึ้นมาในชีวิตจริงที่ฉันคงอยู่—ไม่สิ เปลี่ยนแปลงชีวิตจริงให้กลายเป็นเลิฟคอมเมดี้ต่างหาก”

                

พูดจบ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

                

“…เอาเป็นว่า ‘เพราะอุดมคติอยู่ใกล้แค่เอื้อม ฉันก็เลยเอื้อมไปหามัน’ ก็เท่านั้นแหละ”

                

บางทีผมอาจจะพูดมากไปทำหน่อย คอของผมจึงได้กระหายน้ำมาก

                

ผมซดกาแฟอุ่นๆ เข้าไปทีเดียวเพื่อให้ชุ่มคอ อื้ม กาแฟร้อนก็ยังล้มเหลวอยู่ดีสินะ จากนี้ไปจะขอใช้น้ำเปล่าแทนละกันนะ

                

“…งั้นเหรอ”

               

อุเอโนะฮาระที่เงียบไปนานได้หลับตาลง แล้วก็พูดเบาๆ

                

ท่าทางนั้นดูมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าทุกที แต่ในไม่นานเธอก็เริ่มพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ ตามปกติเหมือนเดิม

                

“อื้ม สรุปคือนายคิดว่า ‘ฉันกำลังพูดอะไรเจ๋งๆ อยู่นะ’ เธอจะต้องซาบซึ้งกินใจแน่ๆ จากนั้นก็เริ่มสาธยายถึงเงื่อนไขการเป็นตัวเอกออกมาโดยที่ไม่มีใครถามสินะ”

                

“เฮ้ย! ฉันอุตส่าห์ให้คำตอบจริงจังกับเธอไปแล้วนะ เลิกด่ากันได้แล้ว!”

                

“ก็ถ้าตัดเรื่องเลิฟคอมเมดี้นั่นนี่นู่นออกไป นากาซากะก็ยังไม่ได้อธิบายเลยว่าทำไมถึงอยากให้มันเกิดขึ้นมานี่นา”

                

อ๊าโว้ย! ปกติก็เห็นจะฉลาดแท้ๆ ทำไมถึงยังไม่เข้าใจอีกกันนะ

                

“ก็ฉันบอกเธอไปแล้วใช่ไหม ว่าเลิฟคอมเมดี้น่ะคือโลกในอุดมคติที่จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน”

                

“ก็บอกไปแล้วแหละ แต่…”

                

อุเอโนะฮาระเอียงหัวเล็กน้อย เหมือนจะยังไงก็ไม่เข้าใจคำตอบ

                

กล่าวอีกอย่างก็คือ ผมตอบหลังจากกระแอมไปหนึ่งที

                

“ถ้าเกิดลองคิดในทางกลับกัน—หากว่าเธอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตจริงให้เป็นเลิฟคอมเมดี้ได้ เธอก็จะมีความสุขอย่างแน่นอนใช่ไหม เพื่อที่จะทำให้ชีวิต ม.ปลาย จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งให้ได้ ฉันจะทำให้เลิฟคอมเมดี้เป็นจริงขึ้นมาให้ดูเอง”

                

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของอุเอโนะฮาระก็เปิดกว้าง เธอทำปากพะงาบๆ ราวกับกำลังกินอากาศ

                

ช่างเป็นใบหน้าประหลาดที่หาได้ยากจริงๆ

                

“นี่… นั่นน่ะ นายพูดจริงใช่ไหม”

                

“ก็แน่อยู่แล้ว มีใครบ้างที่ไม่ชอบตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งล่ะ”

                

“…นายนี่มันตาบ้าตัวพ่อจริงๆ สินะ”

                

“นั่นคือข้อสรุปของเธอเรอะ!?”

                

“คำพูดของนายมันบ้าบอจนฉันพูดไม่ออกเลยล่ะ อย่างแรกคือมันไม่มีความสมเหตุสมผลเลย ต่อมาไอ้แฮปปี้เอนดิ้งของนายมันก็คลุมเครือและไร้ความหมายเกินไป”

                

“อ๊าโว้ย ยัยคนหัวดื้อคนนี้!”

                

อย่าพยายามหาเหตุผลไปซะทุกอย่างแบบนั้นสิฟะ!

                

และในขณะที่ผมกำลังขอทวงชานมไข่มุกคืนมานั้น

                

“แต่ว่านะ…”

                

อุเอโนะฮาระก็

                

เหม่อมองไปในที่ไกลๆ พร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของเธอ

                

“ไอ้ความบ้าบอตัวพ่อแบบนั้น ก็สมกับเป็นนากาซากะดีละนะ”

                

พูดจบ เธอก็ค่อยๆ ยกชานมไข่มุกที่อยู๋ในมือเข้าปาก

               

—สมกับเป็นเรา…เหรอ

                

มันเป็นสิ่งที่ผมใช้เฝ้าบอกกับตัวเองมาตลอด แต่…

                

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นมาพูดกับผมแบบนี้

                

จู่ๆ ผมก็รู้สึกเขินจนตัวบิดไปมา

                

“น่านะ… ถ้าคิดแบบนั้นก็ดีแล้วละนะ”

               

“ถ้าเป็นฉันคงทำแบบนายไม่ได้แน่ๆ ทั้งสิ่งที่ยึดมั่นก็ดี เอกลักษณ์เฉพาะตัวดี ของแบบนั้นฉันไม่มีเลย”

 

“เอ๊ะ?”

 

คำพูดเบาๆ เหล่านั้นได้ทำให้ผมรู้สึกติดใจ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป อุเอโนะฮาระก็ได้พูดออกมาต่อด้วยสีหน้าอย่างเคย

                

“นากาซากะเนี่ย นอกจากจะขาดสามัญสำนึก กับเพ้อฝันแล้ว ก็ยังหลงตัวเองอีก สำหรับผู้หญิงแล้วเป็นประเภทที่เอาท์สุดๆ ไปเลยล่ะ”

                

“นั่นมันหนักกว่าเก่าอีกไม่ใช่เรอะ!?”

                

นี่เธอไม่ได้คิดว่าเรามีดีเลยรึไงกันนะ…

 

                

ต่อจากนั้นพวกเรานำข้อมูลที่ได้มาแชร์ด้วยกันแบบเร็วๆ และสรุปผลข้อมูล ไปจนถึงกำหนดการประชุมสิ่งที่ต้องทำครั้งถัดไป

                

“—งั้นเอาเป็นว่าครั้งหน้าเรามาประชุมเรื่องซ้อมเชียร์กันนะ นี่คือสิ่งที่ฉันสรุปได้ทั้งหมดในตอนนี้ เธอมีอะไรจะถามอีกไหม”

                

ผมถามขณะที่ขณะที่ปิดเอกสารบนแท็บเล็ต

                

อุเอโนะฮาระยกมือป้องปากและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วก็พูดออกมาว่า

 

“…ฉันขอยืนยันอะไรหน่อยสิ นากาซากะนายไม่ได้ฉีดน้ำหอมใช่ไหม”

 

“ฮะ? ทำไมถึงถามเรื่องนั้น?”

                

“อื้อ เปล่า โทษที ไม่มีอะไรหรอก”

                

อุเอโนะฮาระโบกมือปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะป้องปากพึมพำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว

                

เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า…ตัวเราจะมีกลิ่นเหงื่ออะไรแบบนั้น ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น…คงไม่หรอกมั้ง

                

“เอ่อ ถ้าเธอหมายถึงเรื่องกลิ่นละก็ เดี๋ยวฉันใช้สเปรย์ระงับ…”

 

“พอเถอะ มันน่าขยะแขยงนะ หุบปากได้แล้ว”

 

“ไร้เหตุผลชะมัด!”

                

นี่เธอเป็นคนถามฉันก่อนเองนะ!

                

ในขณะที่ผมกำลังตรวจสอบว่ามีกลิ่นแปลกๆ บนมือและเสื้อผ้าไหม อุเอโนะฮาระก็ได้ส่ายหัวแล้วก็ถอนหายใจ

                

“…งั้นก็เหลือแค่แบบนั้นเท่านั้นสินะ ยังไงตอนนี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”

                

“นั่นเธอพูดเรื่องอะไรน่ะ”

                

มันทำให้อยากรู้อยากเห็นนะ

               

“ว่าแต่ ต่อไปฉันควรจะหาข้อมูลยังไงดีล่ะ”

                

“หือ…”

               

โอ้ นี่เธอถึงกับยอมหางานด้วยตัวเองเลยเหรอเนี่ย รู้สึกดีใจจริงๆ ที่การล้างสม—อะแฮ่ม จิตสำนึกของการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดงอกเงยขึ้นมาแล้ว

                

ผมคิดอยู่สักพัก ก่อนจะบอกให้เธอฟัง

                

“เอาเถอะ เรื่องการหาข้อมูลรายวันกับพวกเรื่องจุกจิกเดี๋ยวฉันเป็นคนทำเอง เธอไม่ต้องมาช่วยก็ได้ อันนี้ต่อให้อุเอโนะฮาระไม่ช่วย ฉันก็ทำเองได้อยู่แล้ว”

                

“งั้นเหรอ”

                

อุเอโนะฮาระหันไปมองที่หน้าต่าง และพึมพำกับตัวเอง

                

“กลับกัน ฉันต้องการให้เธอรับผิดชอบเรื่องการเก็บข้อมูลตัวต่อตัวเพื่อรวบรวมข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงแทน ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็เหมาะกว่าฉันในเรื่องนี้ และฉันก็มั่นใจว่าเธอจะไม่ทำพลาดง่ายๆ”

                

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อุเอโนะฮาระก็หันกลับมาทางนี้ ก่อนจะเล่นผมที่อยู่หลังหัวแล้วก็ตอบ

                

“เอาเถอะ…ฉันจะทำเท่าที่ทำได้ละกัน มีบางอย่างที่ฉันติดใจเป็นการส่วนตัวพอดี ดีนะที่นายไม่บอกให้ฉันต้องทำเรื่องแบบนี้ทุกวัน”

 

เมื่อพูดเสร็จ อุเอโนะฮาระก็ดันแว่นของเธอขึ้น

                

…นี่เธอชอบแว่นนั่นจริงๆ ใช่ไหม

                

“…หรือฉันควรจะให้นั่นเธอไปไหม ยังไงมันก็ไม่ได้แพงมากอยู่แล้ว”

                

“เอ๊ะ? ไม่เอาด้วยหรอก อย่างแรกเลยมันเชยจะตาย ต่อให้จะเป็นแค่แว่นปลอมตัว นายก็ควรเลือกให้มันมีรสนิยมดีกว่านี้ไม่ใช่รึไง”

                

“เฮ้ย การให้แว่นตาเป็นของขวัญมันเป็นธงอีเวนต์อันสำคัญเลยนะรู้ไหม! ถึงมันจะสลับตำแหน่งกับเรื่อง ปั้น〇บ้าน ก็เถอะนะ!”

 

“จ้าๆ ขยะแขยงๆ”

                

ลงท้ายพวกเราก็ปิดฉากด้วยบรรยากาศแบบปกติ และออกจากร้านไป

                

—ว่าแล้วเชียว การตัดสินใจชักชวนอุเอโนะฮาระในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ

                

เดิมทีแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะแสดงหลังฉากของเลิฟคอมเมดี้ให้ใครดู แต่…การที่มีผู้สมรู้สมรู้ร่วมคิดมาคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเบื้องหลังมันจะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน

                

ผมแน่ใจว่าสิ่งนี้จะต้องทำให้

                

แผนการของผม—แผนการของพวกผมประสบความสำเร็จได้

                

แต่ว่า…

                

ในชีวิตจริงนี้ ไม่มีทางที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+