P.Plan เส้นทางลิขิต ปฏิวัติโลก 169
“พอสติหลุดที….อ๊า…โถ่!ลำบากชะมัด” นาระที่เดินพเนจรขึ้นเนินสูงเพื่อหาทิศทาง แต่ตรงหน้าคือดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นพร้อมกับท้องฟ้าสีเหลืองนวลที่ส่องสว่างกับมวลอีเลเมนต์บนฟ้าที่เหมือนกับคลื่นทะเล
“เออ….ใช่ เวลา!” นาระพยายามค้นนาฬิกาหน้า แต่ก็พบว่าเขาไม่มีนาฬิกากันกระแทก…ไม่สิ เขากำลังเปลือยล่อนจ้อนไม่ใส่เสื้อสักตัว!
นาระนั่งลงบนกองขยะและกอดเข่าพลางยิ้มแห้งๆ
เขาแพ้….
แพ้ให้กับนิล
ครั้งนี้เขาแพ้หมดรูปแบบหาข้อโต้แย้งไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจในหลายๆเรื่องและรู้สึกอิ่มเอิ่มลึกๆ นาระเอนตัวนอนบนกองขยะอย่างสบายอารมณ์
นาระที่รู้สึกพ่ายแพ้อย่างเต็มใจมองท้องฟ้าที่กลายเป็นทะเลสีแสด เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตอนที่เขาสู้กับนิล เขาจำได้ว่ากำลังอยู่ที่โบราณสถานใต้ดินที่ขั้วโลกเหนือ และหลังจากที่เขาหมดสติ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่ทะเลขยะแห่งนี้
“เห้! ใครอยู่ตรงนั้น”
นาระตกใจและมองไปข้างล่าง เขาเห็นชายในชุดป้องกันขนาดใหญ่ที่เหมือนกับคนหลังค่อมกำลังเก็บขยะ
เมื่อสายตาชนกัน คนเก็บขยะก็เกาหัว “มันเอาคนมาทิ้งในที่ของฉันอีกแล้ว”
“ขอโทษครับ” นาระที่ตัวล่อนจ้อนส่ายมือ “ได้ยินมั้ย” เขาที่เห็นว่าอีกฝ่ายพูดภาษาที่เขารู้จักก็แสดงว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง
คนเก็บขยะที่สังเกตเห็นว่าคนที่ถูกจับมาทิ้งไม่เหลือแม้แต่ของปิดส่วนล่วงถึงกับส่ายหน้า “รายนี้หนักที่สุด เฮ้! เจ้าหนูลงมาก่อน เย็นแบบนั้นเดียวก็เป็นหวัดหรอก!”
นาระที่เอามือปิดส่วนล่างกระโดดลงมา ส่วนคนเก็บขยะก็โยนผ้าเก่าๆให้นาระใช่เป็นกระโปรง
นาระที่เดินตามคนเก็บขยะมอบรอบตัวที่ดูเป็นกองขยะที่ยังกับทะเลทรายอันกว้างขวาง
“ผมชื่อนาระแล้วคุณ?” นาระเป็นฝ่ายทักก่อน
คนเก็บขยะที่ลากถุงใบใหญ่พร้อมกับตะวัดไม้คล้ำไปมาหยุดนิ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้า
นาระที่เห็นว่าคนเก็บขยะไม่คิดที่จะบอกชื่อก็เลยเดินตามไป และคนเก็บขยะก็พานาระมาถึงกระตอบที่ทำจากขยะ
“เข้ามาสิ”
นาระเดินเข้ากระตอบของคนเก็บขยะ ข้างในมีชายคนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงที่เขารู้จักรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณเหยิน!”
เหยินวางถ้วยน้ำชา และมองไปยังนาระ “สภาพยังดีอยู่…ฮึ…ไม่เลวๆ”
นาระนั่งคุกเข่ามองดูนาระกับมาโคโตะที่กำลังรอเขา “ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี้?”
“เหยินหวางนี้คนของแกหรอ?” คนเก็บขยะชี้ไปยังนาระ
“เปล่า เด็กคนนี้เป็นคนรู้จักของเพื่อนข้า” เหยินทักทายเพื่อนเก่าเพื่อนแก่
คนเก็บขยะมองดูที่หน้าตาของนาระก่อนที่จะสะดุ้งตกใจและพยักหน้า “อย่างนี้ๆเอง เจ้าหนุ่มเธอพักที่นี้ก่อนเถอะ”
เมื่อคนเก็บขยะจากไป นาระจึงเอามือลูบใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เขารู้จักร่างต้นแบบของผม!?”
“ใช่” เหยินตอบ “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนของพ่อเจ้า”
“ผมไม่มีพ่อ”
เหยินหัวเราะเบาๆ ถ้าเขาคนนั้นรู้ว่ามีร่างโคลนของเขาในมิตินี้คงจะบ้าตาย…
“ที่นี้ที่ไหน?” นาระถามเหยินหวาง เขาไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่มีเกลียวคลื่นอีเลเมนต์มหาศาลพอๆกับมหาสมุทรแบบนี้มาก่อน ต่อให้เป็นขั้วโลกที่อนุภาคหนาแน่นที่สุดก็ไม่หนาแน่นถึงขนาดนี้เลย
“ที่นี้คือรอยต่อระหว่างมิติ”
นาระขมวดคิ้ว “แต่ที่นี้มัน…” เขาเคยผ่านช่องระหว่างมิติ แต่ที่นี้ไม่เหมือนกับที่เขาเคยผ่านมา ปกติมันต้องมืดสนิทและเต็มไปด้วยซากปรักหักพังหรืออุโมงค์สีดำแบบที่โคบอลต์ใช้กัน
“กบในกะลา”
“เอ๋?”
เหยินถอนหายใจ “อย่าใช้เหตุผลของตัวเองตัดสินทุกอย่าง สถานที่แห่งนี้เช่นกัน ตราบเท่าที่จิตใจของเธอเข้มแข็ง ทุกอย่างจะสะท้อนตัวต้นของเธอออกมา”
นาระได้ยินที่เหยินพูดกระพริบตา
‘จิตใจ’ เป็นคำที่เหมือนกับสิ่งหลอกหลวงตำนานเทพนิยาย แต่เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างมาก่อน แสดงว่ามีบางอย่างที่ผิดเปลี่ยนไปจากเดิม
โดโรธี
ผู้หญิงที่มีความสามารถในการเปิดช่องว่างระหว่างมิติเพื่อไปยังสถานที่ต่างๆตามที่เธอต้องการ แสดงว่าโลกที่เหยินบอกคือ
“โลกในอุดมคติ”
เหยินพยักหน้า เขาพอใจกับคำตอบของนาระ
“ถูกต้อง ช่องว่างระหว่างมิติก็เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ที่เธอเห็นเป็นวัตถุที่สะท้อนจิตใจของเขา” เหยินพูดถึงเพื่อนของเขา “เพื่อนของข้าอยู่อย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน เทียบกับโลกในอุดมคติของคนอื่น ที่นี้ถือว่าปลอดภัยและสงบที่สุด”
นาระหัวเราะ เหยินพูดไม่ผิด เพราะสภาพจิตใจเบื้องลึกของแต่ละคนต่างกันมาก และมนุษย์ที่หลุดเข้ามาอาจจะเสียสติและกลายเป็นบ้า เมื่อเป็นแบบนั้นโลกที่ถือกำเนิดในช่องว่างต้องเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“ตอนนี้เวลา….” นาระถามเวลา เขาอย่างรู้ว่าเขาหลุดเข้ามาในโลกนี้นานขนาดไหน
“อึม” เหยินลูบเครา “เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ว่าสำหรับเธอ…..หนึ่งวินาทีของที่นี้จะเท่ากับสองวันของโลกภายนอก”
“อะไรกัน!!!”
เหยินยกมือห้าม “ใจเย็นๆ ตราบเท่าที่เธออยู่ที่นี้ เวลาจะไหลช้าลง ดังนั้นเธออยู่ที่นี้ครบปีก็ไม่ถึงเสี้ยววินาทีของโลก”
“แล้วตอนที่ผมพเนจรอยู่ เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว”
“สองเดือน”
?
นาระสงสัยเขาจำได้ว่าตัวเองหมดสตินานอยู่ และตอนที่เขาตามคนเก็บขยะ เวลาน่าจะไหล่ผ่านไปหลายชั่วโมง เวลาน่าจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วสิ
“เธอยังไม่รู้ตัวรึ” เหยินลูบเครา “แต่โทษเธอไม่ได้ …”
นาระที่ได้ยินจึงครุ่นคิด เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน…ไม่เท่ากัน
หนึ่งวินาทีของโลกนี้เท่ากับสองวันของโลกภายนอก….
“มันไม่ใช่เวลาของผม?”
เหยินยิ้ม “ความรู้สึกของเธอเร็วกว่าโลกนี้มาก เวลาจึงเทียบไม่ได้จริงๆทำได้แค่การประมาณ แต่สองเดือนคือเวลาขั้นต่ำ”
“แล้วไป” นาระเกือบใจหาย ความรู้สึกของแต่ละคนไม่เท่ากัน และจากคำพูดของเหยินที่ว่าโลกนี้ถูกสร้างจากจิตใจของคนอื่น พอเป็นแบบนั้นเวลาของคนที่เป็นเจ้าของโลกในอุดมคติกับคนนอกอย่างเขาจึงเทียบกันไม่ได้
“ผมหายไปหลายเดือน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้างครับ”
“มีหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ที่เธอรู้คือตระกูลยูเรียลใช่ไหม” เหยินรู้ความต้องการในการทำลายยูเรียลของนาระ การกระทำของเขาวนกับเรื่องนี้ตลอดจนทายการกระทำได้ง่ายมาก
นาระหลับตา “ผมไม่รู้…”
“ฮ่า…” เหยินหัวเราะ “จะรู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากัน”
“ทำไมกันครับ?”
“แผนการของยูเรียลเกือบสำเร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น”
“อะไร! ทำไมคุณไม่หยุดพวกมัน คุณรู้มากกว่าผมว่าพวกมันต้องการอะไร และทำไม…”
“ข้าไม่มีสิทธิ์….ฉันไม่ใช่ของโลกนี้”
นาระตาตั้ง คุณเหยินบอกว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้
“ทุกทีล้วนแต่มีกฎของมัน และคนนอกไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับมันได้ โลกนี้เป็นของยูเรียลมาตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาจึงมีความชอบธรรมในทุกการกระทำ” เหยินอธิบาย เขาเชื่อว่าเมื่อใครเป็นเจ้าของหรือลงแรงอะไร พวกเขาล้วนแต่มีสิทธิ์ในสิ่งนั้น
“มันเป็นการสังหารหมู่ โลกนี้จะล้มสลาย! ความยุติธรรมของคุณเป็นแค่คำหลอกลวงหรือไง” นาระโกรธ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเหยินแต่สิ่งที่เหยินทำในตอนนี้เหมือนกับทอดทิ้งโลกทั้งใบไปเฉยๆทั้งที่เขาสามารถช่วยได้ แต่กลับไม่ทำ เรื่องแบบนี้มันเลวร้ายกว่าพวกยูเรียลเสียอีก
“ความยุติธรรมของฉันมีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่เธอ แต่รวมถึงศัตรูของเธอด้วย นิลกับยูเรียลล้วนแต่เป็นศัตรูของเธอ เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากจะกำจัดใคร นาระ..เธอต้องลงมือด้วยตัวเอง” เหยินกำมือและคลายออก มือของเขามีแผลเล็บจิกลึกถึงกระดูก
นาระที่ดูมือทำตาโต เขาขมวดคิ้ว “ทุกคนมีกฎของตัวเอง ถ้าไม่อาจรักษากฎนั้นได้ เราก็ไม่ต่างจากคนที่เราเกลียด” นาระยิ้มและพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
“ดี ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คือพัก”
“คุณไม่คิดบอกวิธีเหรอครับ” นาระจิตใจห่อเหี่ยว เขาคิดว่าเหยินที่ช่วยไม่ได้จะบอกวิธีให้เขาสักอีก
“คิดตัดช่องน้อยรึ ต่อให้อยากก็ทำไม่ได้” เหยินกระพริบตา แต่ก่อนข้าเคยแผนการของยูเรียลในขั้นตอนนี้ไม่มีทางหยุดได้ ถ้านาระเธอคิดที่จะหยุดยูเรียล เมื่อเวลามาถึงโอกาสจะเรียกหา”
……………….
“ฟื้นแล้ว!”
“อุก!”
วิลที่นั่งข้างๆใช้มือห้าม “ร่างกายของคุณยังไม่ฟื้นตัวดี”
นาระสะบัดหน้า ตรงหน้าเขาคือวิลสันที่ระเบิดหัวเขา แต่แววตาที่ปล่อยออกมานั้นแตกต่าง “งั้นเมื่อกี้ก็…ฝันหรอ” เขาพยายามลุกขึ้น แต่ก็พบว่าถูกหมัดไว้กับตัวถังของฟิลิบ
“ไม่มีอะไร” นาระถอนหายใจ เขานึกถึงคำพูดของคุณเหยินที่ให้เขาพักเป็นการชั่วคราวเพื่อรอโอกาส ตอนนั้นเหยินก็พานาระไปเป็นครูที่ประเทศญี่ปุ่นหลายปี จนกระทั้งมีข่าวคราวของเจสสิก้า ยูเรียลทำให้นาระต้องกลับมาปฏิบัติการณ์อีกครั้ง
ความฝันที่นึกถึงอดีตทำให้นาระเข้าใจ…ตอนนี้คือโอกาสที่คุณเหยินบอกสิน่ะ โชคชะตานำพาให้เขาต้องหวนคืน คำพูดบลัฟเพื่อช่วยเพื่อนเก่าของคนกลุ่มหนึ่งเป็นชนวนให้เขากำจัดยูเรียล
นาระที่ถูกผูกกับกระป๋องเหล็กแบบหงายตัวขึ้นฟ้าเห็นแต่ท้องฟ้าสีดำที่มีประกายจุดเรืองแสงที่คล้ายกับดวงดาวยามราตรี ด้านข้างเขาเห็นคนอื่นๆที่เดินกันเป็นขบวนตามหางสีเทาทีสะบั้นไปมา
“พอจะปล่อยที่รัดได้ไหม มันแน่นเกิ๊น!” นาระบิดเขาถูกรัดไว้แบบนี้มันทรามานใช่ย่อย
“ไม่ได้” หวังลี้ที่เดินถือตะเกียงอยู่หลังสุดพูด “คุณเป็นสัตว์ประหลาดมัดไว้ดีที่สุด”
“สัตว์ประหลาด?” นาระขมิบปาก “ผมกลายเป็นตัวอะไร?”
“รู้ตัวเอง?” วิลที่ถือตะเกียงอยู่ฝั่งขวาของฟิลิบกระพริบตา ถามไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร “นกเหล็ก”
“ขนาดเท่าไร?” นาระกระดิกหัว
“2 – 3 เมตร” นกเหล็กที่รูปร่างเหมือนกับมนุษย์นกขยับไปมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดภาพติดตา วิลที่ถกกับวิลสันจึงทำได้แค่กะขนาดแบบคราวๆเท่านั้น
“โอ๊ะ…เล็กลง”
หวังลี้สะบัดตะเกียง “หมายความว่ายังไงค่ะ”
“เรื่องมันยาว แต่สั้นๆก็..อืม…” นาระนึกพร้อมกับขบฟัน “ผมเป็นมนุษย์โคลน”
“เห้! มนุษย์โคลนที่ดัดแปลงใช่บ่ แบบในหนังไซไฟสนุกๆ” ราชิดิยิ้ม เรื่องมนุษย์ดัดแปลงเคยลงข่าวเมื่อหลายปีก่อน จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก แต่ก็แค่นั้นเอง ประเทศโลกเสรีในซีกโลกตะวันตกคงสั่งแบน แต่ที่อื่นการใช้อาวุธชีวภาพเพื่อความได้เปรียบในสงครามเป็นเรื่องที่รับได้
“ก็ตอนนี้ประชากรของโลกเราน้อยโคตรๆ” บุ๊คแมนเห็นด้วย เขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์แบบราชิดิ แต่เป็นเผ่ามนุษย์สุนัขที่อาศัยอยู่ใต้ดิน แต่สงครามของมนุษย์บนดินก็สร้างความเสียหายทำให้จำนวนของโคบอลต์ที่เดิมทีน้อยอยู่แล้วลดลงไปอีก
โคบอลต์ที่ไม่ได้มีโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานจากมือแทน พอเป็นแบบนั้นโคบอลต์จึงเริ่มการดัดแปลงพันธุกรรมลูกหลานตัวเองเพื่อพยายามเพิ่มอัตราเกิด (แต่ไม่ผลก็ออกมาแปลกๆสักหน่อย)
นาระมองดูทุกคนที่กำลังเดินทางในโลกในอุดมคติของโดโรธี…
‘โดโรธี/ซานะ, วิล/วิลสัน, หวังลี้, ฟิลิบ,ราชิดิ, บุ๊คแมน และเขา’
“รวมเจ็ดคน อีกสามคนที่ญี่ปุ่น สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร” นาระที่ถูกรัดตัวขมวดคิ้ว
“จำนวนนั้นมัน…” โดโรธีที่นำหน้าอยู่ทำหูผึ่ง
“คนที่ต้านทานอีเลเมนต์”
“ว่าแล้วเชียว” โดโรธีหยุดเดิน เธอหันหลังและนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย “พวกเราพักกันก่อนค่ะ”
“ในนี้?” หวังลี้ถาม “ไม่ฝืนเกินไปหรอค่ะ”
โดโรธีเอียงคอยิ้ม “ไม่ต้องห่วงคะ ตอนนี้ดิฉันสามารถอาศัยในนี้ได้โดยไม่เกิดผลเสีย”
“พัก!” ราชิดิตะโกนขึ้นและนั่งลงในทันที พวกเขาเดินตามผู้หญิงที่ชื่อว่าโดโรธีหลายชั่วโมง ราชิดิที่ลองคำนวณดูก็คิดว่าพวกเขาเดินมาเกือบร้อยกิโล
นอกจากวิล/วิลสันกับเขา คนอื่นๆล้วนแต่มีเครื่องมือช่วยเหลือในการเดินทางใกล้กันทุกคน ฟิลิบที่ตีนตะขาบ, บุ๊คแมนที่ใส่ชุดเสริมส่วนสูงก็ปรับให้ชุดเดินให้เอง, เจ๊หุ่นยนต์หวังลี้ก็ไม่มีทางเหนื่อย ,โดโรธีที่เป็นมนุษย์จิ้งจอกที่แข็งแรงกว่ามนุษย์แบบเขา และยิ่งนาระที่ถูกผูกถังสบายๆไม่สนใจใครอีก น่าอิจฉา
โดโรธีเปิดมิติขึ้นเพิ่มเติมและล้วงผ้าปูพื้นกับขนมจัดเตรียมไว้บนพื้นให้ทุกคนทานกัน ทุกคนจึงเริ่มนั่งล้อมวงและคนที่ทานขนมได้จึงเริ่มทานกัน
เธอมองทุกคนในห้องและทำท่านับนิ้ว สุดท้ายก็หันไปมองนาระที่ถูกมัดอยู่
“คุณหวังลี้ช่วยแก้มัดให้เขาด้วย” โดโรธีพูดพร้อมกับยกมือแตกที่ปากของหวังลี้และยิ้มอ่อนๆ
“เข้าใจแล้ว” หวังลี้รับคำ ตอนแรกเธอกะที่จะเตือนโดโรธีถึงความอันตรายของนาระ แต่โดโรธีไม่สนใจและยังใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของเธออีก รอยยิ้มที่โดโรธีที่ปล่อยออกมาเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดของหล่อนก่อนที่โดโรธีจะหายสาบสูญ
“แน่ใจ?” วิลยกมือห้าม
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน” โดโรธีพูดพร้อมกับทานขนมอย่างงดงาม
ปึ๊ด!
คิ้ววิลกระดกอย่างแรง วิลสันในหัวเอามือกอดอกและกระดิกนิ้ว
‘เธอเหมือนกับปีศาจทามะมิเลย’
“โอเค”
‘เอาจริงหรอวิลมันค่อนข้างเสี่ยงเลยน่ะ’
“วิลสันเราเสี่ยงทุกครั้ง” วิลแก้ปมเชือกตายที่รัดตัวนาระออก
“ขอบคุณ” นาระกระโดดลงมาและบิดกล้ามเนื้อตามตัว เขากระโดดตีลังกากลางอากาศลงมานั่งคุกเข่าบนพื้น
“มีสไตล์” ราชิดิที่นั่งกระดกเท้ากินขนมพร้อมกับเคาะตัวฟิลิบ
“เห้! เลิกเคาะได้ไหมมันน่ารำคาญ”
ราชิดิที่ถูกเอ็ดเลิกเคาะและกินขนมต่อ
โดโรธีที่จัดเรียงของหวานแบบมืออาชีพ เธอจัดเรียงอย่างรวดเร็วและประณีตไม่มีจุดด่างพร่อย แต่จำนวนของของหวานที่วางกองกันตอนนี้มากมายมหาศาลพอๆกับขนาดรถยนต์เลยทีเดียว
“คุณทามะมิสอนมาดีสิน่ะครับ” นาระที่ดูการบริการของโดโรธีที่กองของหวานมากมายมหาศาลในดูตาโต
“ค่ะ คุณทามะมิสอนทุกอย่างให้กับดิฉัน” โดโรธีเอามือวางที่อก
“โดโรธี…ซานะ เริ่มแล้วสินะครับ” นาระเผลอหลุดปากก่อนที่จะรีบอุดปากตัวเอง เขาคิดว่าตัวโดโรธีได้รับอิทธิพลการกินจุของซานะเข้าไป เขาจึงหลุดปากออกมา
!
โดโรธีทำสีหน้าตกใจที่นาระรู้เรื่องของซานะ แต่พอลองนึกดู ซานะสนิทกับนาระมาก ทั้งคู่ใกล้ชิดแบบเพื่อนสนิท และนาระน่าจะรู้ว่าทามะมิใช้ร่างกายของเธอเป็นภาชนะให้กับซานะ
‘เราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่นาระกลัวทามะมิสุดๆไปเลยละ เห็นคุณแม่เคยบอกว่านาระเคยฉี่ราดเพราะได้ยินชื่อของคุณแม่ด้วยละ’ ซานะหัวเราะ
“เข้าใจแล้วๆ”
หวังลี้มองไปยังนาระที่หลุดปากพูดคำว่า ‘ซานะ’ และเธอสามารถจับการเต้นของโดโรธีที่เต้นเร็วขึ้นเพียงฉับพลัน หลังจากนี้รู้สึกว่าเธอมีเรื่องต้องถามจากปากของนาระให้รู้เรื่อง ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น
“หยุดเดียวนี้” โดโรธีเอยขึ้นและมองไปยังหวังลี้
“อะไ..”
‘ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่’
หวังลี้ได้ยินเสียงดังขึ้นในหัวของตัวเอง ‘โทรจิต?’
‘เพราะฉะนั้นช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของดิฉันด้วยคะ เมื่อเวลามาถึง โดโรธีคนนี้จะเล่าทุกอย่างให้คุณฟังเอง’ โดโรธีขอร้องแกมข่มขู่ ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอจะทำให้การติดสินใจของหวังลี้ผิดพลาด
โดโรธีเริ่มกินขนมที่ตัวเองจัดเตรียม ซานะได้รับการฝึกเปิดช่องว่างจึงสามารถไปได้ทุกที่ทั่วโลก แต่เธอไม่ใช่ซานะ การเปิดช่องว่างของเธอจำเป็นต้องใช้พลังอีเลเมนต์ซึ่งสร้างภาระให้กับร่างกายของเธอ การเปิดประตูเพื่อไปที่ต่างๆไม่สนระยะทาง แต่เกี่ยวกับจำนวนครั้ง โดโรธีต้องเข้าออกถี่ๆเพื่อป้องกันถูกตรวจจับ และตอนนี้เธอก็กำลังเหนื่อยมาก ถ้าไม่ใช่ซานะค่อยให้ความช่วยเหลือ ตัวเธอคงหมดสติอย่างแน่นอน
‘อร่อยจัง’ ซานะทำปากบวมและเคี้ยวไม่หยุด เธอสามารถรับรู้รสชาติที่อยู่ในปากของโดโรธีได้ และมันหวานมาก และอร่อยมาก!
‘หวานเกินไป’ โดโรธีฝืนกินต่อ เธอไม่ชอบขนมที่หวานมากต่างกับซานะ ร่างกายของคิสึเนะอาจจะกินแล้วไม่อ้วนจนกลายเป็นศัตรูของผู้หญิงเผ่ามนุษย์ แต่พอกินแบบนี้มากๆเข้า เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียดมาก และหวังลี้ที่เห็นเธอจกของหวานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยังปล่อยตกตะลึงออกทางสีหน้า
“กินเยอะมาก!” บุ๊คแมนที่เห็นโดโรธีกินไม่หยุดเกิดความสงสัย เขาไม่รู้หลักสรีระวิทยาของคิสึเนะ สิ่งที่เขาทำได้คือสงสัยกับปริมาณการกินที่เหมือนกับกำลังกินวัวถึงสามตัว!
‘ซานะพอได้แล้ว! ภาพพจน์ของฉันมันจะพักเอา’ โดโรธีพยายามห้ามซานะ เธอไม่ได้ควบคุมร่างกายได้เต็มที กระเพาะของเธอมีซานะเป็นคนควบคุม และนั้นทำให้เธอหิวมากและกินไม่หยุด
‘ฉันกั้นคุณแม่ออกไป ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายละกัน’ ซานะเลียปาก เธอได้สติขึ้นมาตอนที่ทามะมิใช้จิตกดดันโดโรธีจนฝ่ายหลังทำอะไรไม่ได้ และเป็นเพราะเธอไปปลุกโดโรธีที่กำลังสะลึมสะลือ เธอจึงได้สติขึ้นมา
เรื่องนี้ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับคุณแม่ แต่ซานะอยากมีอิสระในช่วงเวลาสั้นๆจึงตัดสินใจช่วยโดโรธี และหนีออกจากบ้านชั่วคราว พอเธอเล่นจนพอใจแล้วค่อยกลับบ้าน
‘คุณทามะมิคงเป็นลม’
‘พูดยังงี้ก็รู้สึกผิดดูเนรคุณยังไงไม่รู้’ ซานะเกาแก้ม เธอเบื่อและอยากให้อะไรสนุกทำบ้าง หลังจากที่เผลอกินชาวางยาพิษของนาระเข้าไป คุณแม่ก็เป็นห่วงเธอมากขึ้นและสอดส่องการกระทำของเธอทุกอย่างจนไม่เหลืออิสระ เมื่อเอาทั้งหมดมาบวกลบคูณหารกัน ด้านรักสนุกเลยชนะขาดลอย ถ้าจวนตัวจริงๆเธอก็มีวิธีเอาตัวรอดในแบบของเธอที่แม้แต่โดโรธีก็ยังไม่รู้
“เอิ่ก!” โดโรธีเรอออกมารีบปิดปาก เธอกินจนจุท้องและทานอย่างอื่นไม่ลงอีก แต่คนอื่นๆที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความสนใจทำให้เธออยากร้องไห้ ภาพพจน์ของเธอกลายเป็นคนตะกละกินจุ กินไม่เลือก กินจนปล่อยลม และตอนนี้เธอรู้สึกจะมีลมออกทางก้น ซึ่งเธอยอมให้มันออกมาไม่ได้โดยเด็ดขาด ขืนออกมาอีกละก็มันคงไม่เหลือ!
“ถึงแล้ว!”
“อ๊า!”
ตูม!
ปึง!
นาระตะโกนขึ้นพร้อมกับเอาเท้ากระแทกพื้นสุดแรง
ซึ่งดังพร้อมกับเสียงตะโกนของหวังลี้ที่ตะโกนขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น มิติแตกหรอ!” ราชิดิที่ตกใจกอดบุ๊คแมนที่กระโดดรัดตัวเขาเช่นกัน
“อุ๊ย!” ฟิลิบใช้แขนกลลูบสีข้างของเขาที่ถูกหวังลี้ทุบจนโครงนอกบุบเข้าไปข้างใน โชคดีที่ไม่ลึกถึงวงจรสำคัญ
“โทษที่คือลืมตัว” นาระเกาหัว “บังเอิญเพิ่งนึกได้ว่าแทงม้าไป รู้สึกว่าดวงกำลังเฮงด้วย!” เขาลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น และสายตาได้จ้องไปที่โดโรธีและพยักหน้าให้
แก้มของโดโรธีแดง เธอขบฟันและค่อยๆหันไปยังหวังลี้ที่ตอนที่กำลังหมุนแขนของตัวเองเหมือนกับใบพัด
“แขนฉันมันเสีย เดียว….” หวังลี้ปิดไฟและถอดแขนของตัวเองออก “พังซ่ะละ บุ๊คแมนฝากดูวงจรให้หน่อย” เธอโยนของตัวเองใส่บุ๊คแมน
“เอ่อ” บุ๊คแมนที่กอดตัวราชิดิอยู่ถูกแขนกลเข้าหน้าจนล้มลง “ครับ” เขารับแขนหวังลี้มาตรวจขณะที่กำลังนอนแผ่อยู่ “ไฟมันช็อตนิดหน่อย คงทำให้แขนเกร็ง”
หวังลี้พยักหน้าก่อนที่จะเห็นสายตาน่าสงสารของโดโรธี เธอขบฟันและเอียงหัวให้
‘ขะ…ขอบคุณค่ะ’
โดโรธีที่มีหูจิ้งจอกทำหน้าหมาง่อยจนเหมือนกับสุนัขที่ถูกเจ้าของดุ เมื่อกี้เธอตกใจจนปล่อยออกเป็นที่เรียบร้อย
โดโรธีรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของนาระกับหวังลี้มาก เธอที่ลมเดินอย่างแรงทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ เสียงดังเมื่อครู่ทำให้เธอปล่อยลมออกทั้งทางปากกับทางก้นเป็นที่เรียบร้อย
“โล่ง/โล่ง/โล่ง” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกับและมองหน้ากันเอง
ฟิลิบที่ดูอยู่เขย่าตัวถัง นี้มันนานมากแล้วที่เขารู้สึกสนุกขนาดนี้ การดูพวกผู้ใหญ่ทำตัวแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่เรื่องที่ทำลายภาพพจน์ของกุลสตรีไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปนินทาได้ ขอแค่เจ้าโง่สองคนอย่างราชิดิกับบุ๊คแมนไม่รู้ก็พอแล้ว
Comments
P.Plan เส้นทางลิขิต ปฏิวัติโลก 169
“พอสติหลุดที….อ๊า…โถ่!ลำบากชะมัด” นาระที่เดินพเนจรขึ้นเนินสูงเพื่อหาทิศทาง แต่ตรงหน้าคือดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นพร้อมกับท้องฟ้าสีเหลืองนวลที่ส่องสว่างกับมวลอีเลเมนต์บนฟ้าที่เหมือนกับคลื่นทะเล
“เออ….ใช่ เวลา!” นาระพยายามค้นนาฬิกาหน้า แต่ก็พบว่าเขาไม่มีนาฬิกากันกระแทก…ไม่สิ เขากำลังเปลือยล่อนจ้อนไม่ใส่เสื้อสักตัว!
นาระนั่งลงบนกองขยะและกอดเข่าพลางยิ้มแห้งๆ
เขาแพ้….
แพ้ให้กับนิล
ครั้งนี้เขาแพ้หมดรูปแบบหาข้อโต้แย้งไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจในหลายๆเรื่องและรู้สึกอิ่มเอิ่มลึกๆ นาระเอนตัวนอนบนกองขยะอย่างสบายอารมณ์
นาระที่รู้สึกพ่ายแพ้อย่างเต็มใจมองท้องฟ้าที่กลายเป็นทะเลสีแสด เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตอนที่เขาสู้กับนิล เขาจำได้ว่ากำลังอยู่ที่โบราณสถานใต้ดินที่ขั้วโลกเหนือ และหลังจากที่เขาหมดสติ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่ทะเลขยะแห่งนี้
“เห้! ใครอยู่ตรงนั้น”
นาระตกใจและมองไปข้างล่าง เขาเห็นชายในชุดป้องกันขนาดใหญ่ที่เหมือนกับคนหลังค่อมกำลังเก็บขยะ
เมื่อสายตาชนกัน คนเก็บขยะก็เกาหัว “มันเอาคนมาทิ้งในที่ของฉันอีกแล้ว”
“ขอโทษครับ” นาระที่ตัวล่อนจ้อนส่ายมือ “ได้ยินมั้ย” เขาที่เห็นว่าอีกฝ่ายพูดภาษาที่เขารู้จักก็แสดงว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง
คนเก็บขยะที่สังเกตเห็นว่าคนที่ถูกจับมาทิ้งไม่เหลือแม้แต่ของปิดส่วนล่วงถึงกับส่ายหน้า “รายนี้หนักที่สุด เฮ้! เจ้าหนูลงมาก่อน เย็นแบบนั้นเดียวก็เป็นหวัดหรอก!”
นาระที่เอามือปิดส่วนล่างกระโดดลงมา ส่วนคนเก็บขยะก็โยนผ้าเก่าๆให้นาระใช่เป็นกระโปรง
นาระที่เดินตามคนเก็บขยะมอบรอบตัวที่ดูเป็นกองขยะที่ยังกับทะเลทรายอันกว้างขวาง
“ผมชื่อนาระแล้วคุณ?” นาระเป็นฝ่ายทักก่อน
คนเก็บขยะที่ลากถุงใบใหญ่พร้อมกับตะวัดไม้คล้ำไปมาหยุดนิ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้า
นาระที่เห็นว่าคนเก็บขยะไม่คิดที่จะบอกชื่อก็เลยเดินตามไป และคนเก็บขยะก็พานาระมาถึงกระตอบที่ทำจากขยะ
“เข้ามาสิ”
นาระเดินเข้ากระตอบของคนเก็บขยะ ข้างในมีชายคนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงที่เขารู้จักรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณเหยิน!”
เหยินวางถ้วยน้ำชา และมองไปยังนาระ “สภาพยังดีอยู่…ฮึ…ไม่เลวๆ”
นาระนั่งคุกเข่ามองดูนาระกับมาโคโตะที่กำลังรอเขา “ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี้?”
“เหยินหวางนี้คนของแกหรอ?” คนเก็บขยะชี้ไปยังนาระ
“เปล่า เด็กคนนี้เป็นคนรู้จักของเพื่อนข้า” เหยินทักทายเพื่อนเก่าเพื่อนแก่
คนเก็บขยะมองดูที่หน้าตาของนาระก่อนที่จะสะดุ้งตกใจและพยักหน้า “อย่างนี้ๆเอง เจ้าหนุ่มเธอพักที่นี้ก่อนเถอะ”
เมื่อคนเก็บขยะจากไป นาระจึงเอามือลูบใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เขารู้จักร่างต้นแบบของผม!?”
“ใช่” เหยินตอบ “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนของพ่อเจ้า”
“ผมไม่มีพ่อ”
เหยินหัวเราะเบาๆ ถ้าเขาคนนั้นรู้ว่ามีร่างโคลนของเขาในมิตินี้คงจะบ้าตาย…
“ที่นี้ที่ไหน?” นาระถามเหยินหวาง เขาไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่มีเกลียวคลื่นอีเลเมนต์มหาศาลพอๆกับมหาสมุทรแบบนี้มาก่อน ต่อให้เป็นขั้วโลกที่อนุภาคหนาแน่นที่สุดก็ไม่หนาแน่นถึงขนาดนี้เลย
“ที่นี้คือรอยต่อระหว่างมิติ”
นาระขมวดคิ้ว “แต่ที่นี้มัน…” เขาเคยผ่านช่องระหว่างมิติ แต่ที่นี้ไม่เหมือนกับที่เขาเคยผ่านมา ปกติมันต้องมืดสนิทและเต็มไปด้วยซากปรักหักพังหรืออุโมงค์สีดำแบบที่โคบอลต์ใช้กัน
“กบในกะลา”
“เอ๋?”
เหยินถอนหายใจ “อย่าใช้เหตุผลของตัวเองตัดสินทุกอย่าง สถานที่แห่งนี้เช่นกัน ตราบเท่าที่จิตใจของเธอเข้มแข็ง ทุกอย่างจะสะท้อนตัวต้นของเธอออกมา”
นาระได้ยินที่เหยินพูดกระพริบตา
‘จิตใจ’ เป็นคำที่เหมือนกับสิ่งหลอกหลวงตำนานเทพนิยาย แต่เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างมาก่อน แสดงว่ามีบางอย่างที่ผิดเปลี่ยนไปจากเดิม
โดโรธี
ผู้หญิงที่มีความสามารถในการเปิดช่องว่างระหว่างมิติเพื่อไปยังสถานที่ต่างๆตามที่เธอต้องการ แสดงว่าโลกที่เหยินบอกคือ
“โลกในอุดมคติ”
เหยินพยักหน้า เขาพอใจกับคำตอบของนาระ
“ถูกต้อง ช่องว่างระหว่างมิติก็เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ที่เธอเห็นเป็นวัตถุที่สะท้อนจิตใจของเขา” เหยินพูดถึงเพื่อนของเขา “เพื่อนของข้าอยู่อย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน เทียบกับโลกในอุดมคติของคนอื่น ที่นี้ถือว่าปลอดภัยและสงบที่สุด”
นาระหัวเราะ เหยินพูดไม่ผิด เพราะสภาพจิตใจเบื้องลึกของแต่ละคนต่างกันมาก และมนุษย์ที่หลุดเข้ามาอาจจะเสียสติและกลายเป็นบ้า เมื่อเป็นแบบนั้นโลกที่ถือกำเนิดในช่องว่างต้องเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“ตอนนี้เวลา….” นาระถามเวลา เขาอย่างรู้ว่าเขาหลุดเข้ามาในโลกนี้นานขนาดไหน
“อึม” เหยินลูบเครา “เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ว่าสำหรับเธอ…..หนึ่งวินาทีของที่นี้จะเท่ากับสองวันของโลกภายนอก”
“อะไรกัน!!!”
เหยินยกมือห้าม “ใจเย็นๆ ตราบเท่าที่เธออยู่ที่นี้ เวลาจะไหลช้าลง ดังนั้นเธออยู่ที่นี้ครบปีก็ไม่ถึงเสี้ยววินาทีของโลก”
“แล้วตอนที่ผมพเนจรอยู่ เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว”
“สองเดือน”
?
นาระสงสัยเขาจำได้ว่าตัวเองหมดสตินานอยู่ และตอนที่เขาตามคนเก็บขยะ เวลาน่าจะไหล่ผ่านไปหลายชั่วโมง เวลาน่าจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วสิ
“เธอยังไม่รู้ตัวรึ” เหยินลูบเครา “แต่โทษเธอไม่ได้ …”
นาระที่ได้ยินจึงครุ่นคิด เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน…ไม่เท่ากัน
หนึ่งวินาทีของโลกนี้เท่ากับสองวันของโลกภายนอก….
“มันไม่ใช่เวลาของผม?”
เหยินยิ้ม “ความรู้สึกของเธอเร็วกว่าโลกนี้มาก เวลาจึงเทียบไม่ได้จริงๆทำได้แค่การประมาณ แต่สองเดือนคือเวลาขั้นต่ำ”
“แล้วไป” นาระเกือบใจหาย ความรู้สึกของแต่ละคนไม่เท่ากัน และจากคำพูดของเหยินที่ว่าโลกนี้ถูกสร้างจากจิตใจของคนอื่น พอเป็นแบบนั้นเวลาของคนที่เป็นเจ้าของโลกในอุดมคติกับคนนอกอย่างเขาจึงเทียบกันไม่ได้
“ผมหายไปหลายเดือน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้างครับ”
“มีหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ที่เธอรู้คือตระกูลยูเรียลใช่ไหม” เหยินรู้ความต้องการในการทำลายยูเรียลของนาระ การกระทำของเขาวนกับเรื่องนี้ตลอดจนทายการกระทำได้ง่ายมาก
นาระหลับตา “ผมไม่รู้…”
“ฮ่า…” เหยินหัวเราะ “จะรู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากัน”
“ทำไมกันครับ?”
“แผนการของยูเรียลเกือบสำเร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น”
“อะไร! ทำไมคุณไม่หยุดพวกมัน คุณรู้มากกว่าผมว่าพวกมันต้องการอะไร และทำไม…”
“ข้าไม่มีสิทธิ์….ฉันไม่ใช่ของโลกนี้”
นาระตาตั้ง คุณเหยินบอกว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้
“ทุกทีล้วนแต่มีกฎของมัน และคนนอกไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับมันได้ โลกนี้เป็นของยูเรียลมาตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาจึงมีความชอบธรรมในทุกการกระทำ” เหยินอธิบาย เขาเชื่อว่าเมื่อใครเป็นเจ้าของหรือลงแรงอะไร พวกเขาล้วนแต่มีสิทธิ์ในสิ่งนั้น
“มันเป็นการสังหารหมู่ โลกนี้จะล้มสลาย! ความยุติธรรมของคุณเป็นแค่คำหลอกลวงหรือไง” นาระโกรธ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเหยินแต่สิ่งที่เหยินทำในตอนนี้เหมือนกับทอดทิ้งโลกทั้งใบไปเฉยๆทั้งที่เขาสามารถช่วยได้ แต่กลับไม่ทำ เรื่องแบบนี้มันเลวร้ายกว่าพวกยูเรียลเสียอีก
“ความยุติธรรมของฉันมีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่เธอ แต่รวมถึงศัตรูของเธอด้วย นิลกับยูเรียลล้วนแต่เป็นศัตรูของเธอ เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากจะกำจัดใคร นาระ..เธอต้องลงมือด้วยตัวเอง” เหยินกำมือและคลายออก มือของเขามีแผลเล็บจิกลึกถึงกระดูก
นาระที่ดูมือทำตาโต เขาขมวดคิ้ว “ทุกคนมีกฎของตัวเอง ถ้าไม่อาจรักษากฎนั้นได้ เราก็ไม่ต่างจากคนที่เราเกลียด” นาระยิ้มและพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
“ดี ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คือพัก”
“คุณไม่คิดบอกวิธีเหรอครับ” นาระจิตใจห่อเหี่ยว เขาคิดว่าเหยินที่ช่วยไม่ได้จะบอกวิธีให้เขาสักอีก
“คิดตัดช่องน้อยรึ ต่อให้อยากก็ทำไม่ได้” เหยินกระพริบตา แต่ก่อนข้าเคยแผนการของยูเรียลในขั้นตอนนี้ไม่มีทางหยุดได้ ถ้านาระเธอคิดที่จะหยุดยูเรียล เมื่อเวลามาถึงโอกาสจะเรียกหา”
……………….
“ฟื้นแล้ว!”
“อุก!”
วิลที่นั่งข้างๆใช้มือห้าม “ร่างกายของคุณยังไม่ฟื้นตัวดี”
นาระสะบัดหน้า ตรงหน้าเขาคือวิลสันที่ระเบิดหัวเขา แต่แววตาที่ปล่อยออกมานั้นแตกต่าง “งั้นเมื่อกี้ก็…ฝันหรอ” เขาพยายามลุกขึ้น แต่ก็พบว่าถูกหมัดไว้กับตัวถังของฟิลิบ
“ไม่มีอะไร” นาระถอนหายใจ เขานึกถึงคำพูดของคุณเหยินที่ให้เขาพักเป็นการชั่วคราวเพื่อรอโอกาส ตอนนั้นเหยินก็พานาระไปเป็นครูที่ประเทศญี่ปุ่นหลายปี จนกระทั้งมีข่าวคราวของเจสสิก้า ยูเรียลทำให้นาระต้องกลับมาปฏิบัติการณ์อีกครั้ง
ความฝันที่นึกถึงอดีตทำให้นาระเข้าใจ…ตอนนี้คือโอกาสที่คุณเหยินบอกสิน่ะ โชคชะตานำพาให้เขาต้องหวนคืน คำพูดบลัฟเพื่อช่วยเพื่อนเก่าของคนกลุ่มหนึ่งเป็นชนวนให้เขากำจัดยูเรียล
นาระที่ถูกผูกกับกระป๋องเหล็กแบบหงายตัวขึ้นฟ้าเห็นแต่ท้องฟ้าสีดำที่มีประกายจุดเรืองแสงที่คล้ายกับดวงดาวยามราตรี ด้านข้างเขาเห็นคนอื่นๆที่เดินกันเป็นขบวนตามหางสีเทาทีสะบั้นไปมา
“พอจะปล่อยที่รัดได้ไหม มันแน่นเกิ๊น!” นาระบิดเขาถูกรัดไว้แบบนี้มันทรามานใช่ย่อย
“ไม่ได้” หวังลี้ที่เดินถือตะเกียงอยู่หลังสุดพูด “คุณเป็นสัตว์ประหลาดมัดไว้ดีที่สุด”
“สัตว์ประหลาด?” นาระขมิบปาก “ผมกลายเป็นตัวอะไร?”
“รู้ตัวเอง?” วิลที่ถือตะเกียงอยู่ฝั่งขวาของฟิลิบกระพริบตา ถามไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร “นกเหล็ก”
“ขนาดเท่าไร?” นาระกระดิกหัว
“2 – 3 เมตร” นกเหล็กที่รูปร่างเหมือนกับมนุษย์นกขยับไปมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดภาพติดตา วิลที่ถกกับวิลสันจึงทำได้แค่กะขนาดแบบคราวๆเท่านั้น
“โอ๊ะ…เล็กลง”
หวังลี้สะบัดตะเกียง “หมายความว่ายังไงค่ะ”
“เรื่องมันยาว แต่สั้นๆก็..อืม…” นาระนึกพร้อมกับขบฟัน “ผมเป็นมนุษย์โคลน”
“เห้! มนุษย์โคลนที่ดัดแปลงใช่บ่ แบบในหนังไซไฟสนุกๆ” ราชิดิยิ้ม เรื่องมนุษย์ดัดแปลงเคยลงข่าวเมื่อหลายปีก่อน จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก แต่ก็แค่นั้นเอง ประเทศโลกเสรีในซีกโลกตะวันตกคงสั่งแบน แต่ที่อื่นการใช้อาวุธชีวภาพเพื่อความได้เปรียบในสงครามเป็นเรื่องที่รับได้
“ก็ตอนนี้ประชากรของโลกเราน้อยโคตรๆ” บุ๊คแมนเห็นด้วย เขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์แบบราชิดิ แต่เป็นเผ่ามนุษย์สุนัขที่อาศัยอยู่ใต้ดิน แต่สงครามของมนุษย์บนดินก็สร้างความเสียหายทำให้จำนวนของโคบอลต์ที่เดิมทีน้อยอยู่แล้วลดลงไปอีก
โคบอลต์ที่ไม่ได้มีโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานจากมือแทน พอเป็นแบบนั้นโคบอลต์จึงเริ่มการดัดแปลงพันธุกรรมลูกหลานตัวเองเพื่อพยายามเพิ่มอัตราเกิด (แต่ไม่ผลก็ออกมาแปลกๆสักหน่อย)
นาระมองดูทุกคนที่กำลังเดินทางในโลกในอุดมคติของโดโรธี…
‘โดโรธี/ซานะ, วิล/วิลสัน, หวังลี้, ฟิลิบ,ราชิดิ, บุ๊คแมน และเขา’
“รวมเจ็ดคน อีกสามคนที่ญี่ปุ่น สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร” นาระที่ถูกรัดตัวขมวดคิ้ว
“จำนวนนั้นมัน…” โดโรธีที่นำหน้าอยู่ทำหูผึ่ง
“คนที่ต้านทานอีเลเมนต์”
“ว่าแล้วเชียว” โดโรธีหยุดเดิน เธอหันหลังและนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย “พวกเราพักกันก่อนค่ะ”
“ในนี้?” หวังลี้ถาม “ไม่ฝืนเกินไปหรอค่ะ”
โดโรธีเอียงคอยิ้ม “ไม่ต้องห่วงคะ ตอนนี้ดิฉันสามารถอาศัยในนี้ได้โดยไม่เกิดผลเสีย”
“พัก!” ราชิดิตะโกนขึ้นและนั่งลงในทันที พวกเขาเดินตามผู้หญิงที่ชื่อว่าโดโรธีหลายชั่วโมง ราชิดิที่ลองคำนวณดูก็คิดว่าพวกเขาเดินมาเกือบร้อยกิโล
นอกจากวิล/วิลสันกับเขา คนอื่นๆล้วนแต่มีเครื่องมือช่วยเหลือในการเดินทางใกล้กันทุกคน ฟิลิบที่ตีนตะขาบ, บุ๊คแมนที่ใส่ชุดเสริมส่วนสูงก็ปรับให้ชุดเดินให้เอง, เจ๊หุ่นยนต์หวังลี้ก็ไม่มีทางเหนื่อย ,โดโรธีที่เป็นมนุษย์จิ้งจอกที่แข็งแรงกว่ามนุษย์แบบเขา และยิ่งนาระที่ถูกผูกถังสบายๆไม่สนใจใครอีก น่าอิจฉา
โดโรธีเปิดมิติขึ้นเพิ่มเติมและล้วงผ้าปูพื้นกับขนมจัดเตรียมไว้บนพื้นให้ทุกคนทานกัน ทุกคนจึงเริ่มนั่งล้อมวงและคนที่ทานขนมได้จึงเริ่มทานกัน
เธอมองทุกคนในห้องและทำท่านับนิ้ว สุดท้ายก็หันไปมองนาระที่ถูกมัดอยู่
“คุณหวังลี้ช่วยแก้มัดให้เขาด้วย” โดโรธีพูดพร้อมกับยกมือแตกที่ปากของหวังลี้และยิ้มอ่อนๆ
“เข้าใจแล้ว” หวังลี้รับคำ ตอนแรกเธอกะที่จะเตือนโดโรธีถึงความอันตรายของนาระ แต่โดโรธีไม่สนใจและยังใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของเธออีก รอยยิ้มที่โดโรธีที่ปล่อยออกมาเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดของหล่อนก่อนที่โดโรธีจะหายสาบสูญ
“แน่ใจ?” วิลยกมือห้าม
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน” โดโรธีพูดพร้อมกับทานขนมอย่างงดงาม
ปึ๊ด!
คิ้ววิลกระดกอย่างแรง วิลสันในหัวเอามือกอดอกและกระดิกนิ้ว
‘เธอเหมือนกับปีศาจทามะมิเลย’
“โอเค”
‘เอาจริงหรอวิลมันค่อนข้างเสี่ยงเลยน่ะ’
“วิลสันเราเสี่ยงทุกครั้ง” วิลแก้ปมเชือกตายที่รัดตัวนาระออก
“ขอบคุณ” นาระกระโดดลงมาและบิดกล้ามเนื้อตามตัว เขากระโดดตีลังกากลางอากาศลงมานั่งคุกเข่าบนพื้น
“มีสไตล์” ราชิดิที่นั่งกระดกเท้ากินขนมพร้อมกับเคาะตัวฟิลิบ
“เห้! เลิกเคาะได้ไหมมันน่ารำคาญ”
ราชิดิที่ถูกเอ็ดเลิกเคาะและกินขนมต่อ
โดโรธีที่จัดเรียงของหวานแบบมืออาชีพ เธอจัดเรียงอย่างรวดเร็วและประณีตไม่มีจุดด่างพร่อย แต่จำนวนของของหวานที่วางกองกันตอนนี้มากมายมหาศาลพอๆกับขนาดรถยนต์เลยทีเดียว
“คุณทามะมิสอนมาดีสิน่ะครับ” นาระที่ดูการบริการของโดโรธีที่กองของหวานมากมายมหาศาลในดูตาโต
“ค่ะ คุณทามะมิสอนทุกอย่างให้กับดิฉัน” โดโรธีเอามือวางที่อก
“โดโรธี…ซานะ เริ่มแล้วสินะครับ” นาระเผลอหลุดปากก่อนที่จะรีบอุดปากตัวเอง เขาคิดว่าตัวโดโรธีได้รับอิทธิพลการกินจุของซานะเข้าไป เขาจึงหลุดปากออกมา
!
โดโรธีทำสีหน้าตกใจที่นาระรู้เรื่องของซานะ แต่พอลองนึกดู ซานะสนิทกับนาระมาก ทั้งคู่ใกล้ชิดแบบเพื่อนสนิท และนาระน่าจะรู้ว่าทามะมิใช้ร่างกายของเธอเป็นภาชนะให้กับซานะ
‘เราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่นาระกลัวทามะมิสุดๆไปเลยละ เห็นคุณแม่เคยบอกว่านาระเคยฉี่ราดเพราะได้ยินชื่อของคุณแม่ด้วยละ’ ซานะหัวเราะ
“เข้าใจแล้วๆ”
หวังลี้มองไปยังนาระที่หลุดปากพูดคำว่า ‘ซานะ’ และเธอสามารถจับการเต้นของโดโรธีที่เต้นเร็วขึ้นเพียงฉับพลัน หลังจากนี้รู้สึกว่าเธอมีเรื่องต้องถามจากปากของนาระให้รู้เรื่อง ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น
“หยุดเดียวนี้” โดโรธีเอยขึ้นและมองไปยังหวังลี้
“อะไ..”
‘ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่’
หวังลี้ได้ยินเสียงดังขึ้นในหัวของตัวเอง ‘โทรจิต?’
‘เพราะฉะนั้นช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของดิฉันด้วยคะ เมื่อเวลามาถึง โดโรธีคนนี้จะเล่าทุกอย่างให้คุณฟังเอง’ โดโรธีขอร้องแกมข่มขู่ ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอจะทำให้การติดสินใจของหวังลี้ผิดพลาด
โดโรธีเริ่มกินขนมที่ตัวเองจัดเตรียม ซานะได้รับการฝึกเปิดช่องว่างจึงสามารถไปได้ทุกที่ทั่วโลก แต่เธอไม่ใช่ซานะ การเปิดช่องว่างของเธอจำเป็นต้องใช้พลังอีเลเมนต์ซึ่งสร้างภาระให้กับร่างกายของเธอ การเปิดประตูเพื่อไปที่ต่างๆไม่สนระยะทาง แต่เกี่ยวกับจำนวนครั้ง โดโรธีต้องเข้าออกถี่ๆเพื่อป้องกันถูกตรวจจับ และตอนนี้เธอก็กำลังเหนื่อยมาก ถ้าไม่ใช่ซานะค่อยให้ความช่วยเหลือ ตัวเธอคงหมดสติอย่างแน่นอน
‘อร่อยจัง’ ซานะทำปากบวมและเคี้ยวไม่หยุด เธอสามารถรับรู้รสชาติที่อยู่ในปากของโดโรธีได้ และมันหวานมาก และอร่อยมาก!
‘หวานเกินไป’ โดโรธีฝืนกินต่อ เธอไม่ชอบขนมที่หวานมากต่างกับซานะ ร่างกายของคิสึเนะอาจจะกินแล้วไม่อ้วนจนกลายเป็นศัตรูของผู้หญิงเผ่ามนุษย์ แต่พอกินแบบนี้มากๆเข้า เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียดมาก และหวังลี้ที่เห็นเธอจกของหวานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยังปล่อยตกตะลึงออกทางสีหน้า
“กินเยอะมาก!” บุ๊คแมนที่เห็นโดโรธีกินไม่หยุดเกิดความสงสัย เขาไม่รู้หลักสรีระวิทยาของคิสึเนะ สิ่งที่เขาทำได้คือสงสัยกับปริมาณการกินที่เหมือนกับกำลังกินวัวถึงสามตัว!
‘ซานะพอได้แล้ว! ภาพพจน์ของฉันมันจะพักเอา’ โดโรธีพยายามห้ามซานะ เธอไม่ได้ควบคุมร่างกายได้เต็มที กระเพาะของเธอมีซานะเป็นคนควบคุม และนั้นทำให้เธอหิวมากและกินไม่หยุด
‘ฉันกั้นคุณแม่ออกไป ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายละกัน’ ซานะเลียปาก เธอได้สติขึ้นมาตอนที่ทามะมิใช้จิตกดดันโดโรธีจนฝ่ายหลังทำอะไรไม่ได้ และเป็นเพราะเธอไปปลุกโดโรธีที่กำลังสะลึมสะลือ เธอจึงได้สติขึ้นมา
เรื่องนี้ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับคุณแม่ แต่ซานะอยากมีอิสระในช่วงเวลาสั้นๆจึงตัดสินใจช่วยโดโรธี และหนีออกจากบ้านชั่วคราว พอเธอเล่นจนพอใจแล้วค่อยกลับบ้าน
‘คุณทามะมิคงเป็นลม’
‘พูดยังงี้ก็รู้สึกผิดดูเนรคุณยังไงไม่รู้’ ซานะเกาแก้ม เธอเบื่อและอยากให้อะไรสนุกทำบ้าง หลังจากที่เผลอกินชาวางยาพิษของนาระเข้าไป คุณแม่ก็เป็นห่วงเธอมากขึ้นและสอดส่องการกระทำของเธอทุกอย่างจนไม่เหลืออิสระ เมื่อเอาทั้งหมดมาบวกลบคูณหารกัน ด้านรักสนุกเลยชนะขาดลอย ถ้าจวนตัวจริงๆเธอก็มีวิธีเอาตัวรอดในแบบของเธอที่แม้แต่โดโรธีก็ยังไม่รู้
“เอิ่ก!” โดโรธีเรอออกมารีบปิดปาก เธอกินจนจุท้องและทานอย่างอื่นไม่ลงอีก แต่คนอื่นๆที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความสนใจทำให้เธออยากร้องไห้ ภาพพจน์ของเธอกลายเป็นคนตะกละกินจุ กินไม่เลือก กินจนปล่อยลม และตอนนี้เธอรู้สึกจะมีลมออกทางก้น ซึ่งเธอยอมให้มันออกมาไม่ได้โดยเด็ดขาด ขืนออกมาอีกละก็มันคงไม่เหลือ!
“ถึงแล้ว!”
“อ๊า!”
ตูม!
ปึง!
นาระตะโกนขึ้นพร้อมกับเอาเท้ากระแทกพื้นสุดแรง
ซึ่งดังพร้อมกับเสียงตะโกนของหวังลี้ที่ตะโกนขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น มิติแตกหรอ!” ราชิดิที่ตกใจกอดบุ๊คแมนที่กระโดดรัดตัวเขาเช่นกัน
“อุ๊ย!” ฟิลิบใช้แขนกลลูบสีข้างของเขาที่ถูกหวังลี้ทุบจนโครงนอกบุบเข้าไปข้างใน โชคดีที่ไม่ลึกถึงวงจรสำคัญ
“โทษที่คือลืมตัว” นาระเกาหัว “บังเอิญเพิ่งนึกได้ว่าแทงม้าไป รู้สึกว่าดวงกำลังเฮงด้วย!” เขาลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น และสายตาได้จ้องไปที่โดโรธีและพยักหน้าให้
แก้มของโดโรธีแดง เธอขบฟันและค่อยๆหันไปยังหวังลี้ที่ตอนที่กำลังหมุนแขนของตัวเองเหมือนกับใบพัด
“แขนฉันมันเสีย เดียว….” หวังลี้ปิดไฟและถอดแขนของตัวเองออก “พังซ่ะละ บุ๊คแมนฝากดูวงจรให้หน่อย” เธอโยนของตัวเองใส่บุ๊คแมน
“เอ่อ” บุ๊คแมนที่กอดตัวราชิดิอยู่ถูกแขนกลเข้าหน้าจนล้มลง “ครับ” เขารับแขนหวังลี้มาตรวจขณะที่กำลังนอนแผ่อยู่ “ไฟมันช็อตนิดหน่อย คงทำให้แขนเกร็ง”
หวังลี้พยักหน้าก่อนที่จะเห็นสายตาน่าสงสารของโดโรธี เธอขบฟันและเอียงหัวให้
‘ขะ…ขอบคุณค่ะ’
โดโรธีที่มีหูจิ้งจอกทำหน้าหมาง่อยจนเหมือนกับสุนัขที่ถูกเจ้าของดุ เมื่อกี้เธอตกใจจนปล่อยออกเป็นที่เรียบร้อย
โดโรธีรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของนาระกับหวังลี้มาก เธอที่ลมเดินอย่างแรงทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ เสียงดังเมื่อครู่ทำให้เธอปล่อยลมออกทั้งทางปากกับทางก้นเป็นที่เรียบร้อย
“โล่ง/โล่ง/โล่ง” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกับและมองหน้ากันเอง
ฟิลิบที่ดูอยู่เขย่าตัวถัง นี้มันนานมากแล้วที่เขารู้สึกสนุกขนาดนี้ การดูพวกผู้ใหญ่ทำตัวแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่เรื่องที่ทำลายภาพพจน์ของกุลสตรีไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปนินทาได้ ขอแค่เจ้าโง่สองคนอย่างราชิดิกับบุ๊คแมนไม่รู้ก็พอแล้ว
Comments