STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา 34.3 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)

Now you are reading STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา Chapter 34.3 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 34 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)

“วันที่ 17 แล้ว”

หลี่ฮ่าวเปิดผ้าม่านมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง วันนี้อากาศเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์เจิดจ้ากลับมีลมเย็นๆ พัดโชยมา

เหมือนบนท้องฟ้าจะมีนกเริ่มสุมหัวชุมนุมกันแล้ว

“พรุ่งนี้อาจจะฝนตก”

จากวันที่เขารู้ว่าเงาโลหิตเป็นฆาตกรและเป้าหมายต่อไปก็คือเขา กระทั่งวันนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันนี้เอง หลายวันนี้กลับทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปราวหนึ่งศตวรรษได้

เขาเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร เข้าร่วมทีมล่าปีศาจ ค้นหาวิธีการใช้พลังจี้หยกกระบี่และหินมีดเจอ จนสุดท้ายได้เรียนรู้ ‘วิชายคายรับห้าปาณภูต’ และ ‘เก้าหลอมแรงปราณ’

บางทีชั่วชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางได้เจอสิ่งเหล่านี้

“ถือว่าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”

หลี่ฮ่าวในเวลานี้กลับเฝ้ารอคอยการมาเยือนของเงาโลหิต

ต่อให้เขาจะรู้ว่าตนอ่อนแอ แต่ถูกบีบให้รอวันเวลาแห่งความตายมาเยือนนานขนาดนี้ เขากลับรู้สึกกดดันไม่น้อยเลย

เขาลูบจี้หยกกระบี่ตรงทรวงอกอย่างเบามือ

จนป่านนี้หลี่ฮ่าวก็ยังคงไม่รู้ว่าจะใช้กระบี่นี้เช่นไร อีกทั้งยังเล็กเกินไปด้วย หวังจะให้เขาใช้กระบี่เล่มนี้ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ

แล้วแบบนี้จะต่างอะไรกับเอาไม้จิ้มฟันแทงคนเล่า

“กระบี่เล่มนี้คงมีผลอะไรต่อเงาโลหิตแน่นอน เพราะทุกครั้งมักมีปฏิกิริยาตอบสนองผิดปกติบางอย่าง…แต่ว่า…เราคงใช้แค่สองนิ้วคว้าจี้หยกกระบี่มาฆ่าเงาโลหิตไม่ได้หรอกมั้ง”

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลี่ฮ่าวกลัดกลุ้มปวดศีรษะที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว

เขาไม่ชินเลยสักนิด!

ใครจะถนัดใช้ไม้จิ้มฟันแทงคนกันเล่า

สำหรับหลี่ฮ่าวแล้ว…เงาโลหิตต่างหากถึงจะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็น หากไม่ระวังตัวแม้แต่นิดเดียว เงาโลหิตเข้ามาประชิดตัวแล้วเผาหลี่ฮ่าวจนมอดไหม้ คนอื่นๆ ก็คงมาช่วยเขาไม่ทัน และนี่คือปัญหาที่หลี่ฮ่าวต้องเป็นคนจัดการเอง

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ

หลี่ฮ่าวถอดสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับด้ามของจี้หยกกระบี่ทรงไม้กางเขนไว้แล้วลองแทงไปข้างหน้า!

ดูพิลึกแฮะ!

“ช่างเถอะ พิลึกก็พิลึกไป บางทีอาจจะเป็นประโยชน์มากก็ได้ ถึงแม้จะใช้ลำบากไปสักหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้อยู่…แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว”

หลี่ฮ่าวสวมจี้หยกกระบี่อีกครั้งแล้วลองทดสอบความเร็วท่าปลดสร้อยออกดู…ด้วยมือเปล่า

กระชากสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับไว้แทงไปข้างหน้า แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว

เพียงแต่ถ้าเป็นพลังซ้อนจะใช้ไม่ค่อยถนัดนัก ผลลัพธ์ของพลังซ้อนขึ้นอยู่กับนิ้วทั้งสอง แต่หลี่ฮ่าวยังเรียนไม่มาถึงขั้นนี้

“สำหรับเงาโลหิตแล้ว บางทีจะปล่อยพลังซ้อนหรือไม่ก็คงเหมือนกัน”

หลี่ฮ่าวไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เอาตามนี้แล้วกัน

นี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว สิ่งที่ควรเตรียมพร้อม เรื่องที่ควรร้องขอให้ช่วย แม้แต่ขั้นตอนช่วยให้อาจารย์เลื่อนขั้น เขาล้วนทำมาหมดแล้ว หากเทียบกับว่าต้องสู้ด้วยตัวเองเพียงลำพังอย่างเมื่อก่อนก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลายร้อยเท่าแล้ว!

หากตัวเขาในตอนนี้ยังเอาชนะด่านนี้ไม่ได้ แบบนั้นก็ช่างมันเถอะ

ขณะที่คิดจะไปล้างหน้าบ้วนปาก จู่ๆ เวลานี้ในห้องก็ปรากฏความเคลื่อนไหวบางอย่าง จากมุมที่ไม่ไกลนัก ฉับพลันเจ้าเสือดำก็เหวี่ยงขาหน้าใส่เศษโต๊ะชาที่พังลงมาก

วินาทีต่อมาเสียงร้องเจ็บปวดของสุนัขก็ดังขึ้น

“เอ๋ง!”

เจ้าเสือดำมองขาหน้าที่บวมเป่งของตนแล้วมองหลี่ฮ่าวด้วยท่าทีเจ็บปวด นี่มันอะไรกัน

ทำไมสุนัขอย่างมันถึงทุบโต๊ะชาไม่หักล่ะ

หลี่ฮ่าวหมดคำพูด!

หลี่ฮ่าวดูดซับพลังจี้หยกกระบี่เล็กน้อยโดยถ่ายพลังขึ้นมาที่แขน วินาทีต่อมาก็มีประกายมาจากปลายนิ้ว หลี่ฮ่าวใช้ปลายนิ้วแตะเจ้าเสือดำ พลังจี้หยกกระบี่จึงเข้าไปในร่างกายของเจ้าเสือดำ

ขาหน้าที่บวมเป่งก็เหมือนจะอาการดีขึ้นมากทีเดียว

เจ้าเสือดำเผยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางมองไปทางหลี่ฮ่าวราวกับกำลังวิงวอนขอคำชี้นำ มันเองก็ดูดซับพลังจี้หยกกระบี่ที่กระจายออกมาจากตัวหลี่ฮ่าวไปไม่น้อยมาตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังเรียนรู้เก้าหลอมแรงปราณไปพร้อมหลี่ฮ่าวด้วย

แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลย

“แนวทางของมนุษย์กับสุนัขต่างกัน ฉันไม่รู้ว่าจะสอนแกยังไงดี เอาพลังรวบรวมไว้ตรงแขน…หรือก็คือขาหน้าของแก แต่ว่าต้องรวมพลังอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่หมาคงจนปัญญาจะอธิบายให้แกฟังได้”

หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างจนใจ “แกคิดหาวิธีเองแล้วกัน! อีกเรื่อง…เจ้าเสือดำ วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปแกคอยติดตามฉันเป็นไง รับมือกับเจ้านั่น…แกทำได้ไหม”

พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็เผยท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

หลี่ฮ่าวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องคอยตามฉันแต่คอยตามหลิวหลงดีกว่า ครั้งก่อนเขาเจอเจ้านั่นแล้ว แต่ฉันกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นและสัมผัสถึงมันไม่ได้ แกแค่ชี้ทิศทางแล้วร้องบอกสักหน่อยก็พอ! เพื่อเป็นการเตือนเขา บอกทางเขาเพื่อให้เขารู้ว่าเจ้านั่นอยู่ที่ไหน…แกคิดว่าไง”

เจ้าเสือดำครุ่นคิดด้วยท่าทีที่ยังหวาดกลัวอยู่

หลี่ฮ่าวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ตามใจแกแล้วกัน ฉันไม่ได้จะฝืนใจอะไร แต่หลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันอาจจะตายได้ วันหลังแกก็เป็นหมาเร่ร่อนต่อไปเถอะ!”

พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที

จะตายอย่างนั้นเหรอ

แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ

“โฮ่งๆ!”

“รับปากแล้วใช่ไหม”

“โฮ่ง!”

หลี่ฮ่าวยิ้มแป้น!

แบบนี้ก็ดี

ฉันไม่ได้ฝืนใจบังคับแกให้ทำเรื่องนี้แต่แกเป็นฝ่ายตกลงยินยอมเอง ฉันรักความเป็นประชาธิปไตย หากแกคิดจะปฏิเสธ ถึงแม้แกจะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งแต่ฉันก็ไม่คิดฝืนใจแกหรอก

“โอเค วันนี้แกไปกองตรวจการณ์กับฉัน ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้า…แสดงท่าทีสำรวมหน่อย อย่าแสดงท่าทีฉลาดมากเกินไป แค่ทำเหมือนเป็นหมาทั่วไปแต่แค่สามารถมองเห็นเจ้านั่นได้ พอเห็นก็จะร้องเรียก นี่คือความสามารถของเจ้าเสือดำ ถึงอย่างไรหัวหน้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าเสือดำมีความสามารถอะไร”

ดวงตาของเจ้าเสือดำเหมือนฉายแววเชิงดูแคลน หลี่ฮ่าวตบหัวมันไปที เจ้าเสือดำที่ถูกตบก็รู้สึกหน้ามืดอยู่บ้าง นี่สิถึงจะเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษามนุษย์อย่างแท้จริง

……

ณ กองตรวจการณ์

หน่วยปฏิบัติการ

ห้องชั้นใต้ดิน

ยามที่หลิวหลงเห็นเจ้าเสือดำก็ออกจะฉงนอยู่บ้าง

กระทั่งหลี่ฮ่าวบอกว่าเจ้าเสือดำสามารถมองเห็นเงาโลหิตได้ หลิวหลงถึงมองเจ้าเสือดำด้วยท่าทีตกใจอย่างเหนือคาด

สุนัขมองเห็นได้อย่างนั้นเหรอ

“คุณมั่นใจนะว่าหมาจะมองเห็นตัวตนของชั้นจิตวิญญาณแบบนั้นได้”

คำพูดนี้ออกจะคลุมเครือไปสักหน่อย

ฟังดูแล้วเหมือนเชิงด่าตนมากกว่า!

เพราะตัวเขาเองก็มองเห็นเหมือนกัน

ทว่าหลี่ฮ่าวกลับไม่ได้โกรธอะไร เขาพยักหน้า “ครับ มันมองเห็นได้ เพราะหลายครั้งที่ผมตงิดใจรู้สึกมีอะไรแปลกๆ เจ้าเสือดำจะหันไปมองทิศทางหนึ่งแล้วเห่าร้องเรียกเสียงเบา”

ขณะที่พูดไปก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้าเสือดำฟังภาษาคนเข้าใจและฉลาดมาก ลูกพี่ครับ พี่พามันติดตามไปด้วยอาจจะสบายขึ้นบ้าง เจ้าเสือดำไม่สร้างเรื่องวุ่นวายแน่ครับ แค่ตอนที่เจ้านั่นปรากฏตัว เจ้าเสือดำจะเห่าเตือนลูกพี่ อีกอย่างเจ้าสิ่งนั้นก็คงไม่สนใจหมาตัวหนึ่งเหมือนกัน”

หลิวหลงพยักหน้า ถึงแม้จะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ในเมื่อหลี่ฮ่าวพูดถึงขนาดนี้แล้ว บางทีสุนัขตัวนี้อาจจะมีจุดที่แตกต่างจากตัวอื่นจริงๆ

“อืม งั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะเอามันมาลองฝึกดู อย่าเห่าจนแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วกัน”

“ไม่หรอกครับ วางใจได้”

พวกเขาสองคนสนทนากันอยู่ไม่กี่ประโยค หลิวหลงก็เอ่ยถามอีกว่า “อ่านหนังสือที่ให้หรือยัง ถ้าท่องจำได้หมดแล้วก็เผามันทิ้งซะ แค่จำไว้ก็พอ ผมไม่ได้หวังว่าคุณจะต้องเรียนรู้ตอนนี้หรอก”

เขาไม่ได้คาดหวังอะไรเลยจริงๆ!

ในเมื่อตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ เรียนยาก โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งเข้าวิชายุทธ์นี้ แถมเสียเวลาที่สุดด้วย

ตอนที่เขาเรียนศาสตร์ตำรานี้ต้องเสียเวลาถึงสามปีถึงจะเข้าวิชายุทธ์ขั้นต้นได้ หลังจากนั้นถึงดีขึ้นมาหน่อย พอผ่านขั้นต้นมาแล้ว พลังซ้อนสามซ้อนสี่กลับเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

หลิวฮ่าว มือทวนแห่งหยินเยวี่ยหรือก็คือพ่อของเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมกว่าเขา ก่อนอายุ 40 ปีก็เป็นปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยขั้นสุดยอดได้แล้ว

แต่ต่อให้เป็นพ่อของเขา ตอนเข้าเคล็ดวิชาลับนี้ก็เสียเวลาไปราวหนึ่งปี

ดังนั้นต่อให้หลี่ฮ่าวจะสรีระร่างกายดีกว่า อีกทั้งมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะ แต่หลิวหลงก็ยังคิดว่าคงต้องใช้เวลาราวปีครึ่ง ไม่เช่นนั้นคงเข้าสู่วิชายุทธ์นี้ไม่ได้

…………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา 34.3 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)

Now you are reading STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา Chapter 34.3 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 34 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)

“วันที่ 17 แล้ว”

หลี่ฮ่าวเปิดผ้าม่านมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง วันนี้อากาศเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์เจิดจ้ากลับมีลมเย็นๆ พัดโชยมา

เหมือนบนท้องฟ้าจะมีนกเริ่มสุมหัวชุมนุมกันแล้ว

“พรุ่งนี้อาจจะฝนตก”

จากวันที่เขารู้ว่าเงาโลหิตเป็นฆาตกรและเป้าหมายต่อไปก็คือเขา กระทั่งวันนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันนี้เอง หลายวันนี้กลับทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปราวหนึ่งศตวรรษได้

เขาเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร เข้าร่วมทีมล่าปีศาจ ค้นหาวิธีการใช้พลังจี้หยกกระบี่และหินมีดเจอ จนสุดท้ายได้เรียนรู้ ‘วิชายคายรับห้าปาณภูต’ และ ‘เก้าหลอมแรงปราณ’

บางทีชั่วชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางได้เจอสิ่งเหล่านี้

“ถือว่าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”

หลี่ฮ่าวในเวลานี้กลับเฝ้ารอคอยการมาเยือนของเงาโลหิต

ต่อให้เขาจะรู้ว่าตนอ่อนแอ แต่ถูกบีบให้รอวันเวลาแห่งความตายมาเยือนนานขนาดนี้ เขากลับรู้สึกกดดันไม่น้อยเลย

เขาลูบจี้หยกกระบี่ตรงทรวงอกอย่างเบามือ

จนป่านนี้หลี่ฮ่าวก็ยังคงไม่รู้ว่าจะใช้กระบี่นี้เช่นไร อีกทั้งยังเล็กเกินไปด้วย หวังจะให้เขาใช้กระบี่เล่มนี้ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ

แล้วแบบนี้จะต่างอะไรกับเอาไม้จิ้มฟันแทงคนเล่า

“กระบี่เล่มนี้คงมีผลอะไรต่อเงาโลหิตแน่นอน เพราะทุกครั้งมักมีปฏิกิริยาตอบสนองผิดปกติบางอย่าง…แต่ว่า…เราคงใช้แค่สองนิ้วคว้าจี้หยกกระบี่มาฆ่าเงาโลหิตไม่ได้หรอกมั้ง”

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลี่ฮ่าวกลัดกลุ้มปวดศีรษะที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว

เขาไม่ชินเลยสักนิด!

ใครจะถนัดใช้ไม้จิ้มฟันแทงคนกันเล่า

สำหรับหลี่ฮ่าวแล้ว…เงาโลหิตต่างหากถึงจะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็น หากไม่ระวังตัวแม้แต่นิดเดียว เงาโลหิตเข้ามาประชิดตัวแล้วเผาหลี่ฮ่าวจนมอดไหม้ คนอื่นๆ ก็คงมาช่วยเขาไม่ทัน และนี่คือปัญหาที่หลี่ฮ่าวต้องเป็นคนจัดการเอง

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ

หลี่ฮ่าวถอดสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับด้ามของจี้หยกกระบี่ทรงไม้กางเขนไว้แล้วลองแทงไปข้างหน้า!

ดูพิลึกแฮะ!

“ช่างเถอะ พิลึกก็พิลึกไป บางทีอาจจะเป็นประโยชน์มากก็ได้ ถึงแม้จะใช้ลำบากไปสักหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้อยู่…แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว”

หลี่ฮ่าวสวมจี้หยกกระบี่อีกครั้งแล้วลองทดสอบความเร็วท่าปลดสร้อยออกดู…ด้วยมือเปล่า

กระชากสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับไว้แทงไปข้างหน้า แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว

เพียงแต่ถ้าเป็นพลังซ้อนจะใช้ไม่ค่อยถนัดนัก ผลลัพธ์ของพลังซ้อนขึ้นอยู่กับนิ้วทั้งสอง แต่หลี่ฮ่าวยังเรียนไม่มาถึงขั้นนี้

“สำหรับเงาโลหิตแล้ว บางทีจะปล่อยพลังซ้อนหรือไม่ก็คงเหมือนกัน”

หลี่ฮ่าวไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เอาตามนี้แล้วกัน

นี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว สิ่งที่ควรเตรียมพร้อม เรื่องที่ควรร้องขอให้ช่วย แม้แต่ขั้นตอนช่วยให้อาจารย์เลื่อนขั้น เขาล้วนทำมาหมดแล้ว หากเทียบกับว่าต้องสู้ด้วยตัวเองเพียงลำพังอย่างเมื่อก่อนก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลายร้อยเท่าแล้ว!

หากตัวเขาในตอนนี้ยังเอาชนะด่านนี้ไม่ได้ แบบนั้นก็ช่างมันเถอะ

ขณะที่คิดจะไปล้างหน้าบ้วนปาก จู่ๆ เวลานี้ในห้องก็ปรากฏความเคลื่อนไหวบางอย่าง จากมุมที่ไม่ไกลนัก ฉับพลันเจ้าเสือดำก็เหวี่ยงขาหน้าใส่เศษโต๊ะชาที่พังลงมาก

วินาทีต่อมาเสียงร้องเจ็บปวดของสุนัขก็ดังขึ้น

“เอ๋ง!”

เจ้าเสือดำมองขาหน้าที่บวมเป่งของตนแล้วมองหลี่ฮ่าวด้วยท่าทีเจ็บปวด นี่มันอะไรกัน

ทำไมสุนัขอย่างมันถึงทุบโต๊ะชาไม่หักล่ะ

หลี่ฮ่าวหมดคำพูด!

หลี่ฮ่าวดูดซับพลังจี้หยกกระบี่เล็กน้อยโดยถ่ายพลังขึ้นมาที่แขน วินาทีต่อมาก็มีประกายมาจากปลายนิ้ว หลี่ฮ่าวใช้ปลายนิ้วแตะเจ้าเสือดำ พลังจี้หยกกระบี่จึงเข้าไปในร่างกายของเจ้าเสือดำ

ขาหน้าที่บวมเป่งก็เหมือนจะอาการดีขึ้นมากทีเดียว

เจ้าเสือดำเผยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางมองไปทางหลี่ฮ่าวราวกับกำลังวิงวอนขอคำชี้นำ มันเองก็ดูดซับพลังจี้หยกกระบี่ที่กระจายออกมาจากตัวหลี่ฮ่าวไปไม่น้อยมาตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังเรียนรู้เก้าหลอมแรงปราณไปพร้อมหลี่ฮ่าวด้วย

แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลย

“แนวทางของมนุษย์กับสุนัขต่างกัน ฉันไม่รู้ว่าจะสอนแกยังไงดี เอาพลังรวบรวมไว้ตรงแขน…หรือก็คือขาหน้าของแก แต่ว่าต้องรวมพลังอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่หมาคงจนปัญญาจะอธิบายให้แกฟังได้”

หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างจนใจ “แกคิดหาวิธีเองแล้วกัน! อีกเรื่อง…เจ้าเสือดำ วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปแกคอยติดตามฉันเป็นไง รับมือกับเจ้านั่น…แกทำได้ไหม”

พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็เผยท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

หลี่ฮ่าวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องคอยตามฉันแต่คอยตามหลิวหลงดีกว่า ครั้งก่อนเขาเจอเจ้านั่นแล้ว แต่ฉันกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นและสัมผัสถึงมันไม่ได้ แกแค่ชี้ทิศทางแล้วร้องบอกสักหน่อยก็พอ! เพื่อเป็นการเตือนเขา บอกทางเขาเพื่อให้เขารู้ว่าเจ้านั่นอยู่ที่ไหน…แกคิดว่าไง”

เจ้าเสือดำครุ่นคิดด้วยท่าทีที่ยังหวาดกลัวอยู่

หลี่ฮ่าวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ตามใจแกแล้วกัน ฉันไม่ได้จะฝืนใจอะไร แต่หลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันอาจจะตายได้ วันหลังแกก็เป็นหมาเร่ร่อนต่อไปเถอะ!”

พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที

จะตายอย่างนั้นเหรอ

แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ

“โฮ่งๆ!”

“รับปากแล้วใช่ไหม”

“โฮ่ง!”

หลี่ฮ่าวยิ้มแป้น!

แบบนี้ก็ดี

ฉันไม่ได้ฝืนใจบังคับแกให้ทำเรื่องนี้แต่แกเป็นฝ่ายตกลงยินยอมเอง ฉันรักความเป็นประชาธิปไตย หากแกคิดจะปฏิเสธ ถึงแม้แกจะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งแต่ฉันก็ไม่คิดฝืนใจแกหรอก

“โอเค วันนี้แกไปกองตรวจการณ์กับฉัน ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้า…แสดงท่าทีสำรวมหน่อย อย่าแสดงท่าทีฉลาดมากเกินไป แค่ทำเหมือนเป็นหมาทั่วไปแต่แค่สามารถมองเห็นเจ้านั่นได้ พอเห็นก็จะร้องเรียก นี่คือความสามารถของเจ้าเสือดำ ถึงอย่างไรหัวหน้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าเสือดำมีความสามารถอะไร”

ดวงตาของเจ้าเสือดำเหมือนฉายแววเชิงดูแคลน หลี่ฮ่าวตบหัวมันไปที เจ้าเสือดำที่ถูกตบก็รู้สึกหน้ามืดอยู่บ้าง นี่สิถึงจะเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษามนุษย์อย่างแท้จริง

……

ณ กองตรวจการณ์

หน่วยปฏิบัติการ

ห้องชั้นใต้ดิน

ยามที่หลิวหลงเห็นเจ้าเสือดำก็ออกจะฉงนอยู่บ้าง

กระทั่งหลี่ฮ่าวบอกว่าเจ้าเสือดำสามารถมองเห็นเงาโลหิตได้ หลิวหลงถึงมองเจ้าเสือดำด้วยท่าทีตกใจอย่างเหนือคาด

สุนัขมองเห็นได้อย่างนั้นเหรอ

“คุณมั่นใจนะว่าหมาจะมองเห็นตัวตนของชั้นจิตวิญญาณแบบนั้นได้”

คำพูดนี้ออกจะคลุมเครือไปสักหน่อย

ฟังดูแล้วเหมือนเชิงด่าตนมากกว่า!

เพราะตัวเขาเองก็มองเห็นเหมือนกัน

ทว่าหลี่ฮ่าวกลับไม่ได้โกรธอะไร เขาพยักหน้า “ครับ มันมองเห็นได้ เพราะหลายครั้งที่ผมตงิดใจรู้สึกมีอะไรแปลกๆ เจ้าเสือดำจะหันไปมองทิศทางหนึ่งแล้วเห่าร้องเรียกเสียงเบา”

ขณะที่พูดไปก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้าเสือดำฟังภาษาคนเข้าใจและฉลาดมาก ลูกพี่ครับ พี่พามันติดตามไปด้วยอาจจะสบายขึ้นบ้าง เจ้าเสือดำไม่สร้างเรื่องวุ่นวายแน่ครับ แค่ตอนที่เจ้านั่นปรากฏตัว เจ้าเสือดำจะเห่าเตือนลูกพี่ อีกอย่างเจ้าสิ่งนั้นก็คงไม่สนใจหมาตัวหนึ่งเหมือนกัน”

หลิวหลงพยักหน้า ถึงแม้จะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ในเมื่อหลี่ฮ่าวพูดถึงขนาดนี้แล้ว บางทีสุนัขตัวนี้อาจจะมีจุดที่แตกต่างจากตัวอื่นจริงๆ

“อืม งั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะเอามันมาลองฝึกดู อย่าเห่าจนแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วกัน”

“ไม่หรอกครับ วางใจได้”

พวกเขาสองคนสนทนากันอยู่ไม่กี่ประโยค หลิวหลงก็เอ่ยถามอีกว่า “อ่านหนังสือที่ให้หรือยัง ถ้าท่องจำได้หมดแล้วก็เผามันทิ้งซะ แค่จำไว้ก็พอ ผมไม่ได้หวังว่าคุณจะต้องเรียนรู้ตอนนี้หรอก”

เขาไม่ได้คาดหวังอะไรเลยจริงๆ!

ในเมื่อตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ เรียนยาก โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งเข้าวิชายุทธ์นี้ แถมเสียเวลาที่สุดด้วย

ตอนที่เขาเรียนศาสตร์ตำรานี้ต้องเสียเวลาถึงสามปีถึงจะเข้าวิชายุทธ์ขั้นต้นได้ หลังจากนั้นถึงดีขึ้นมาหน่อย พอผ่านขั้นต้นมาแล้ว พลังซ้อนสามซ้อนสี่กลับเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

หลิวฮ่าว มือทวนแห่งหยินเยวี่ยหรือก็คือพ่อของเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมกว่าเขา ก่อนอายุ 40 ปีก็เป็นปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยขั้นสุดยอดได้แล้ว

แต่ต่อให้เป็นพ่อของเขา ตอนเข้าเคล็ดวิชาลับนี้ก็เสียเวลาไปราวหนึ่งปี

ดังนั้นต่อให้หลี่ฮ่าวจะสรีระร่างกายดีกว่า อีกทั้งมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะ แต่หลิวหลงก็ยังคิดว่าคงต้องใช้เวลาราวปีครึ่ง ไม่เช่นนั้นคงเข้าสู่วิชายุทธ์นี้ไม่ได้

…………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด