Supreme Magus 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง

Now you are reading Supreme Magus Chapter 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง

“สมาคมเวทมนตร์ เป็นเหมือนสังคมที่แยกออกจากกัน เหมือนกับสังคมอื่นๆที่มีล่าดับขั้นชัดเจน ขั้นแรกก็คือ คนทั่วไป ใครๆก็สามารถใช้เวทย์พื้นฐานได้ แต่ระยะเวทย์แทบจะไม่ถึงสองเมตร และไม่สามารถใช้งานแบบซับซ้อนได้ พวกเขาแทบไม่ถือว่าเป็นคนด้วยซ้ํา เหล่านักเวทย์มักเรียกพวกเขาว่าวัวควาย”

“แล้วก็มีคนที่เหมือนกับเธอ สามารใช้เวทย์ได้ทั้งหกธาตุ ทั้งยังใช้ได้ซับซ้อนขึ้นอีกด้วย แต่ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ เหล่านักเวทย์จะเรียกผู้ชายว่า Magico เรียกผู้หญิงว่า Magica แล้วยังเป็นรากฐานของสมาคมเวทมนตร์ที่แท้จริงอีกด้วย ซึ่งพวกเขามักจะคาดหวังในตัวเด็กที่มีพรสววรค์อันน่าทิ้ง แม้จะมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปไม่มากนัก Magicaก็ยังพอได้รับการยอมรับจากสถาบันเวทมนตร์แล้วกลายเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจเหมือนอย่างที่ฉันเป็น”

“Magico มักจะได้เป็นหมอในหมู่บ้านหรือในเมือง ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา และก็เป็นนักเวทย์ที่ไม่ธรรมดาได้ แต่หาได้ยากมาก”
“คําศัพท์พวก mage, witch,sorceress, warlock นักเวทย์,แม่มด,พ่อมด ล้วนแต่เป็นค่าที่ต่างกัน ใช้ระบุตัวตนตอนลงเรียนสถาบันเวทมนตร์และจบหลักสูตรห้าปีเพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของสมาคมเวทมนตร์

“เมื่อถึงจุดนั้น เหล่านักเวทย์ก็มักจะออกไปทําตามความฝัน ตามความทะเยอทะยานเหล่านั้น เธอสามารถเป็นนักเวทย์ส่วนตัวของขุนนางและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในราชสํานัก บางคนเลือกที่จะอุทิศชีวิตให้กับการร่าเรียนศึกษาเวทมนตร์หรือสร้างไอเทมเฉพาะทางขึ้นมา”

“ตราบใดที่เธอไม่ได้ทําอะไรเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาณาจักร หรือสมาคมเวทมนตร์ เธอก็จะยังคงเป็นแค่นักเวทย์ ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งทรงพลังมากแค่ไหน หรือประสบความสําเร็จในการทดลองมากเท่าไหร่”

“จงจําไว้ ไม่มีนักเวทย์คนใดถูกบังคับให้ต้องแบ่งปันคาถาหรือสิ่งที่ค์ นพบในด้านเวทมนตร์ แม้แต่กับราชาเองก็ไม่สามารถละเมิดกฎข้อนี้อย่างเปิดเผยได้ แต่สิ่งที่เก็บไว้กับตัว เมื่อไม่มีประโยชน์กับผู้คน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรด้วยเช่นกัน”

“มีเพียงแค่แบ่งปันความรู้หรือใช้มันเพื่อทําภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากอาณาจักร หรือสมาคมเวทมนตร์ แล้วได้รับความดีความชอบ จนสามารถยกระดับตัวเองเป็นจอมเวทย์ได้”

“นั่นเป็นยศสาหรับนักเวทย์ เหมือนกับดยุคหรือมาร์ควิสที่เป็นยศของขุนนาง”

“และสุดท้าย ก็คือ Magus คือคนที่มีพลังอํานาจเทียบเท่ากับคุณธรรมอันโดดเด่น ต่อผู้คน และความรู้ที่เขาแบ่งปันกับสมาคมเวทมนตร์ด้วย Magus มักจะสอนให้คนรุ่น หลังเข้าใจเวทมนตร์อย่างลึกซึ้ง และวิธีการบรรลุพื้นฐานที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ”

“Magus ก็คือราชาของเหล่านักเวทย์ และเป็นเทพของมวลมนุษย์น้อยยิ่งกว่า น้อยที่จะมีมากกว่าหนึ่งคน เมื่อไหร่ก็ตามที่ประเทศมีMagiสักสองคนหรือมากกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นยุคทองของประเทศนั้นแล้ว เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ตราบที่มีMagi”

ลิธรู้สึกไม่ประทับใจเลย

“โดยพื้นฐานแล้ว ยศตําแหน่งอันหรูหราก็เป็นเพียงแค่หมอกบางๆปกคลุมเพื่อรีด เอาผลประโยชน์จากอาจารย์จนเดือดแห้ง ผมไม่รู้ว่าการเป็นMagus จะทําให้ผมรู้สึกเศร้าหรือรู้สึกสูญเสียความเคารพในตัวเองไปทั้งหมดกันแน่”
“เจ้าเด็กอวดดี!” นานาโกรธเคืองกับการดูหมิ่นเช่นนี้

“หากไม่มี Magi อย่างโลครากับมรดกของพวกเขา คนอย่างฉันก็ไม่มีทางผ่านการทดสอบของสถาบันเวทมนตร์ได้ ไม่มีทางแม้แต่นิดเดียว”

“มันยังมีสิทธิพิเศษสําหรับคนที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น หรือมาจากตระกูลขุนนาง หรือตระกูลนักเวทย์ เพียงแค่เขียนหนังสือเล่มนั้น โลคราก็ยอมเสียสละข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่เธอมีเหนือคนที่เหลือทั้งหมดแล้ว!”

ลิธส่ายหน้า

“ผมเห็นต่างออกไปครับอาจารย์ ในความคิดของผม อาจารย์มีพรสวรรค์ มีความสามารถที่โดดเด่น หากในอดีตแม้แต่คนที่พรสวรรค์อย่างอาจารย์ก็ไม่ได้รับการยอมรับในระยะยาวแล้วจะทําให้สมาคมเวทมนตร์มีขนาดเล็กลง จนกระทั่งหายสาบสูญไปในที่สุด”

“การเกิดในตระกูลที่ร่ํารวยหรือตระกูลที่เก่งกาจ ทําให้อาจารย์มีทรัพยากรและการศึกษาที่ดีกว่า แต่นั่นคือความสามารถที่มีมาตั้งแต่เกิด”

“ดังนั้นโลคราต้องเขียนหนังสือเล่มนั้น ไม่ใช่เพื่อคุณงามความดีจากใจเธอ แต่เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องอันร้ายแรงในสมาคมเวทมนตร์ จริงอยู่ที่คุณภาพสําคัญกว่าปริมาณ แต่ปริมาณก็คือความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน”

“ถ้าไม่มีคนอย่างอาจารย์หรือแม้แต่คนอย่างผม ก็ไม่มีสายเลือดใหม่เพียงพอ และตัวเวทมนตร์เองไม่ช้าไม่นานก็จะหายไปในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เห็นว่าหนังสือของโลคราเป็นดั่งของขวัญ เพราะเธอต้องการใช้เรานั่นแย่มาก”
เธออ้าปากเตรียมจะตําหนิลิธ แต่แล้วก็หยุดไปครู่หนึ่งคิดใคร่ครวญก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“บ้าจริง ลิธ ไม่ว่าแม่เธอจะเลี้ยงเธอมาด้วยอะไรตอนเป็นทารก ฉันก็อยากได้เหมือนกันตอนที่อายุเท่าเธอ ฉันไม่เคยมองในมุมนี้เลยและยังมองเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังค่าพูดเธออีกด้วย มันมากพอที่จะไม่อาจมองข้ามว่าเป็นเพียงค่าพูดพล่อยๆของเด็กน้อยเท่านั้น”

เธอถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ

“ฉันหวังว่าเมื่อก่อนฉันจะคิดได้รอบคอบมากกว่านี้ จะได้ไม่ทําพลาดไป”

“แน่นอนสิ” ลิธคิด “ประสบการณ์ของผู้ชายอายุสามสิบกว่าปีจากโลกเก่า ไม่มีทางเป็นไอ้โง่งี่เง่าปัญญาอ่อนไปได้หรอก คนฉลาดก็ยังคงเป็นคนฉลาด ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกเก่าก็ตาม”

“ต้องมีการกําจัดพวกคนรวยที่เล่นสกปรก หรือข่มขู่ให้พวกมันกลัวไปบ้าง เมื่อกลัวว่าจะไม่มีหมอ ทนายหรือผู้เชียวชาญคอยช่วยเหลือยามต้องการ แล้ววางแผนมีลูกหลานให้มากเพียงพอ เช่นนั้นก็คงต้องปิดโรงเรียนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว”

จากนั้นประตูในห้องรอของนานาก็เปิดออก คนไข้คนแรกของวันก็มาถึง

“ได้เวลาทํางานแล้ว มีค่าถามอะไรเกี่ยวกับค่าน่าอีกไหม?” นานาพยายามประชด แต่ยังคงคิดถึงคําพูดของลิธอยู่ ดังนั้นน้ําเสียงของเธอจึงไม่ได้จริงจังอะไรนัก

“มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ ผมอาจจะต้องจดบันทึก พอจะมีอะไรให้ผมเขียนได้ไหมครับ?”

“มีสิ”

หลังจากรับทราบว่าหญิงสาวและเด็กที่เพิ่งเข้ามาในห้องต้องการมาตรวจสุขภาพเท่านั้น นานาก็เอ่ยขอให้พวกเขารอสักนาที่สองนาที

นานากับลิธก็กลับไปที่ห้องทํางาน เธอมอบหนังสือเล่มใหญ่หนา ปกแข็งสีแดงข้างในมีเพียงหน้ากระดาษเปล่าๆเท่านั้น

“นี่จะเป็นตํารา(กริมัวร์)เล่มแรกของเธอ ใช้มันให้คุ้มค่าล่ะที่รัก กระดาษเป็นของหายากและมีราคาแพง ขายกันตามน้ําหนักและมีค่ามากกว่าเงินเสียอีก”

ลิธตกใจกับเรื่องนี้มาก หนังสือที่มีความยาว 27 ซม. กว้าง 17 ซม. หนา 3ซม. ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก

“ผะ..ผม…” ลิธอกลักพูดไม่ออกเป็นครั้งที่สองของชีวิตนี้

“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาจารย์จะทําเพื่อผม มันต้องผลาญเงิน อาจารย์ไปมากมายแน่ๆ ผมรู้สึกตื้นตันใจมากครับ” ทันใดนั้นลิธก็มีน้ําตารื้นขึ้นมา

นานาหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ

“โฮะๆๆ ถึงเธอจะฉลาดแต่ก็ยังไร้เดียงสาอยู่มาก บอกได้เลยว่าไม่ใช่ฉันหรอก เงินมันไม่ได้งอกเงยเหมือนต้นไม้หรอกนะ ถ้าเป็นฉันคงให้กระดาษแค่สองสามแผ่นเท่านั้น อิมป์ตัวน้อย”

ความอบอุ่นในหัวใจของลิธพลันหายไปในทันที

“แล้วผมต้องขอบคุณใครล่ะครับ?”

“ก็เคาท์ลาร์คน่ะสิ จะเป็นใครไปได้ล่ะ? ขุนนางคนนี้เป็นผู้คลั่งไคล้เวทมนตร์ขนานแท้เลยล่ะ เขาส่งมันมาให้ฉันทันทีที่ได้รับแจ้งเรื่องการฝึกของเธอ ตอนนี้ก็เรียนให้มากขึ้น ขยับปากให้น้อยๆหน่อย เธอมาที่นี่เพื่อเรียนเวทมนตร์นะ ไม่ใช่เพื่อคุย!”

นานารีบออกไปจากห้องไปทําการรักษาเพื่อไม่ให้ห้องรอเต็มไปด้วยผู้ป่วย

ลิธกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วเริ่มอ่านหนังสือต่อ เนื้อหาส่วนใหญ่ของโลคราเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เพราะเขาค้นพบมันด้วยตัวเอง ผ่านการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน

เขาทําได้เพียงถอนหายใจด้วยความเศร้า

“ถ้าฉันมีหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตอนที่ฉันเกิด ฉันคงแข็งแกร่งเท่าตอนนี้แล้ว”

เมื่อไหร่ก็ตามที่ลิธพบสิ่งที่น่าสนใจ เขาก็จะจดมันลงในตาราของเขา ลิธไม่อาจเชื่อใจในลายมือที่ย่าแย่ เขาจึงลุ่มนิ้วลงในขวดหมึก แล้วใช้เวทย์น้ําเพื่อเขียนลงไปในกระดาษ แล้วปล่อยให้แห้ง ผลคือทั้งหน้าเต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษที่งดงามและโดดเด่นมาก เขาคัดลอกภาพประกอบมาอีกด้วย โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

“ฮ่าๆๆๆ” ลิธหัวเราะในใจ

“ฉันไม่จําเป็นต้องใช้รหัสลับเลย เพราะมีแค่ฉันคนเดียวในโลกที่พูดภาษาอังกฤษได้ ความลับของฉันก็จะปลอดภัย”

“มันปลอดภัยอยู่แล้ว อย่าลืมว่ายังมีกระเป๋ามิติของฉันอยู่” โซลัสพูดแทรกขึ้นมา

“การป้องกันอีกขั้นหนึ่งไม่อาจสร้างความเสียหายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เรียกว่าระวัง จนเกินไป”

ลิธพบว่าในหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องธาตุดิน น้ํา ลม ไฟ ออกจะน่าเบื่อไปนิด เขารู้เกือบทุกอย่างที่อยู่ในนั้น แต่ก็อ่านมันทุกตัวอักษรอยู่ดี

นานาให้เขาอ่านหนังสือจนถึงเวลาเที่ยงเท่านั้น จากนั้นก็บังคับให้เขากลับบ้านไป แล้วเริ่มกิจวัตรเดิมๆอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเวลาล่าสัตว์จากตอนเช้เป็นตอนบ่าย

เขาใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเจอเรื่องที่น่าสนใจ ลิธตระหนักดีว่าการเรียนด้วยตนเอง เวทย์แสงกับเวทย์มีดเป็นส่วนที่เขายังอ่อนหัดอยู่มาก พวกมันเป็นธาตุที่ไม่มีอยู่ในโลกเก่า และเขาเองก็ใช้เวลาไปทั้งสัปดาห์เพื่อศึกษาเวทย์ทั้งสอง เขาจดบันทึกไปนับไม่ถ้วนจนในที่สุดก็เข้าใจถึงความตื้นลึกหนาบางในธาตุทั้งสองแล้ว

“น่าทึ่งมาก ความรู้ความเข้าใจในเวทย์แสงกับเวทย์มืดของโลคราทําให้ฉันประทับใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย เธออธิบายถึงการไหลเวียนของมานาในร่างกายผู้ป่วย อย่างที่ไม่มีใครทําได้ ฉันเองก็ไม่เคยคิดอย่างเธอเช่นกัน”

“ในที่สุดก็เข้าใจสักที่ว่าทําไมเธอถึงเขียนให้ธาตุทั้งสองอยู่ในตอนเดียวกัน ความมืดและแสงสว่างไม่ใช่ธาตุที่แยกออกจากกัน แต่มันคือทั้งสองด้านของเหรียญเดียว กันนั่นเอง ความมืดมีความสําคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาโรคและภาวะผิดปกติที่มีมา แต่กําเนิด”

“เมื่อฉันซึมซับความรู้ใหม่ได้ทั้งหมด ฉันอาจจะรักษาทิสต้าให้หายดีเป็นแน่ ถ้าฉัน ทําได้จริง ฉันจะคิดอีกที่เรื่องการเป็น Magus”

ลิธอ่านส่วนนั้นซ้ําแล้วซ้ําเล่า จนกระทั่งเขาแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ตกหล่นอะไรไป พลังเวทย์ของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ความรู้ความเข้าใจในธาตุทั้งหกของเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับแล้ว

เขามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุพื้นฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงการปรับปรุงเวทย์วิญญาณกับเวทย์ผสมได้ดียิ่งขึ้น แต่ด้วยความมั่นใจนี้ก็มาพร้อมกับความสงสัยใหม่ๆด้วยเช่นกัน

“ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นฉันก็รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ที่นานามีความรู้มากมายอยู่ในมือแต่กลับไม่สามารถรักษาที่สต้าให้หายขาดได้”

“ทําไมเธอถึงยังต้องใช้สัญญาณมือและร่ายเวทย์ออกเป็นค่าเพื่อฆ่าบารอนเน็ตเทรฮานกับลูกชาย แค่ดีดนิ้วทีเดียวก็น่าจะทําได้แล้ว”

ลิธตัดสินใจยังไม่ถามคําถามเหล่านั้น จนกว่าจะเข้าใจหนังสือของโลคราอย่างถ่องแท้ บางทีเขาอาจจะตกหล่นอะไรที่สําคัญไป หรือบางทีมันอาจจะไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนก็ได้

นานาดีใจที่รู้ว่าเขาอ่านหนังสือทั้งเล่มจบภายในหนึ่งสัปดาห์ และมอบหนังสือเวทมนตร์ขั้น1 ให้กับเขาทันที

“มาดูกันว่าเธอจะฝึกเวทมนตร์ได้เก่งเหมือนกับที่เธอเก่งทฤษฎีหรือเปล่า”

ลิธรับหนังสือไปจากมือของเธอ ปฏิบัติกับมันราวกับเป็นอัญมณีล้ําค่าที่แตกหัก โดยง่าย เขาเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยท่าที่เคร่งขรึม เปิดหนังสือออกด้วยใจที่เปี่ยมความคาดหวัง

แต่เขากลับผิดหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“บ้าอะไรอีกเนี่ย? หนังสือเวทมนตร์หน้าตาเป็นแบบนี้หรอ?”

“นี่มันบ้าอะไร?” โซลัสถึงกับสบถออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิตเธอ

ทั้งลิธและโซลัสต่างก็ตกตะลึงเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ เขาปิดหนังสือลงแล้วเปิดใหม่อีกครั้ง และพบว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เขาหวังให้มันเต็มไปด้วยค่าแนะนําเกี่ยวกับวิธีการจัดการการไหลเวียนของมานาในร่างกายนักเวทย์ วิธีการเชื่อมต่อกับพลังงานโลกให้ดีขึ้นเพื่อให้ได้คาถาที่ทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้

กลับพบการสะกดคร่ายเวทย์ และคู่มือการใช้สัญญาณมือ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขารู้เวทมนตร์ขั้นหนึ่งทั้งหมดแล้ว ต่างกันแค่เพียงชื่อเรียกเท่านั้น

“Blasting Sphere ก็คือลูกไฟเท่านั้น Piercing Ice ก็เหมือนกับ หอกน้ําแข็งของฉัน”

ลิธย้อนกลับไปที่หน้าคน และพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนโดย Magus และเป็นเพียงหนังสือที่รวบรวมคาถาทั่วไปที่พบได้บ่อยๆ

เมื่ออ่านค่าแนะนําของ Blasting Sphere ลิธก็สังเกตเห็นที่ผู้เขียนเน้นย้ําถึงความสาคัญของการทําสัญญาณมือตามล่าดับที่ถูกต้องและแม่นย่า

แม้แต่ค่าร่ายยังแบ่งออกที่ละพยางค์ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนศึกษาการออกเสียงและสําเนียงที่ถูกต้อง หลังจากอ่านจบทั้งเล่มแล้ว ลิธก็ไม่พบวิธีการร่ายเวทย์แบบไร้เสียงเลย

ก่อนที่ลิธจะสับสนไปมากกว่านี้ เขาจึงไปหานานาเพื่อขอคําแนะนํา

“ฉันขอโทษนะลิธ การใช้เวทมนตร์พื้นฐานแบบไร้เสียงที่เรียบง่าย และธรรมดาไป จนถึงเวทมนตร์แท้จริงที่ซับซ้อนกว่ามาก มันสร้างความสิ้นหวังและเจ็บปวดมากเพียงใด มีเพียงเวทมนตร์ขั้นศูนย์เท่านั้นที่สามารถร่ายเวทย์แบบไร้เสียงได้ เวทมนตร์ขั้นที่เหนือกว่าทั้งหมดล้วนต้องใช้สัญญาณมือกับค่าร่ายเวทย์ที่ถูกต้อง”

ลิธรู้สึกหัวหมุนจนต้องนั่งลงในทันที

“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เขาคิด “ฉันใช้เวทย์ไร้เสียงด้วยหอกน้ําแข็งกับลูกไฟมาตลอด ฉันก็ยังปกติดีอยู่นี่”

จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า

“หรือฉันอาจจะพิเศษออกไป อาจจะเป็นเพราะใช้เวทมนตร์ที่ต่างออกไปเพราะฉันมาจากโลกเก่า ฉันอาจจะเป็นผู้ถูกเลือกก็ได้” ลิธทั้งกลัวทั้งดีใจกับความคิดนี้

“ไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอก” โซลัสเอ่ยค่าเพื่อดับความกระตือรือล้นของเขา

“ขอบคุณสําหรับความเชื่อมั่นในตัวฉัน ซาบซึ้งใจจริงๆ ถ้างั้นแล้วจะอธิบายยังไงล่ะ?”

ลิธรู้สึกได้ว่าจิตของโซลัสไวมากเสียจนเขาตามเธอไม่ทัน

“ถ้าสมมติฐานของฉันถูกต้องละก็ เธอก็เป็นเหมือนกับ โลครา ซิลเวอร์วิง และ Magus ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ใช้เวทมนตร์แท้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Supreme Magus 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง

Now you are reading Supreme Magus Chapter 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 28 เวทมนตร์ที่แท้จริง

“สมาคมเวทมนตร์ เป็นเหมือนสังคมที่แยกออกจากกัน เหมือนกับสังคมอื่นๆที่มีล่าดับขั้นชัดเจน ขั้นแรกก็คือ คนทั่วไป ใครๆก็สามารถใช้เวทย์พื้นฐานได้ แต่ระยะเวทย์แทบจะไม่ถึงสองเมตร และไม่สามารถใช้งานแบบซับซ้อนได้ พวกเขาแทบไม่ถือว่าเป็นคนด้วยซ้ํา เหล่านักเวทย์มักเรียกพวกเขาว่าวัวควาย”

“แล้วก็มีคนที่เหมือนกับเธอ สามารใช้เวทย์ได้ทั้งหกธาตุ ทั้งยังใช้ได้ซับซ้อนขึ้นอีกด้วย แต่ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ เหล่านักเวทย์จะเรียกผู้ชายว่า Magico เรียกผู้หญิงว่า Magica แล้วยังเป็นรากฐานของสมาคมเวทมนตร์ที่แท้จริงอีกด้วย ซึ่งพวกเขามักจะคาดหวังในตัวเด็กที่มีพรสววรค์อันน่าทิ้ง แม้จะมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปไม่มากนัก Magicaก็ยังพอได้รับการยอมรับจากสถาบันเวทมนตร์แล้วกลายเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจเหมือนอย่างที่ฉันเป็น”

“Magico มักจะได้เป็นหมอในหมู่บ้านหรือในเมือง ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา และก็เป็นนักเวทย์ที่ไม่ธรรมดาได้ แต่หาได้ยากมาก”
“คําศัพท์พวก mage, witch,sorceress, warlock นักเวทย์,แม่มด,พ่อมด ล้วนแต่เป็นค่าที่ต่างกัน ใช้ระบุตัวตนตอนลงเรียนสถาบันเวทมนตร์และจบหลักสูตรห้าปีเพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของสมาคมเวทมนตร์

“เมื่อถึงจุดนั้น เหล่านักเวทย์ก็มักจะออกไปทําตามความฝัน ตามความทะเยอทะยานเหล่านั้น เธอสามารถเป็นนักเวทย์ส่วนตัวของขุนนางและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในราชสํานัก บางคนเลือกที่จะอุทิศชีวิตให้กับการร่าเรียนศึกษาเวทมนตร์หรือสร้างไอเทมเฉพาะทางขึ้นมา”

“ตราบใดที่เธอไม่ได้ทําอะไรเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาณาจักร หรือสมาคมเวทมนตร์ เธอก็จะยังคงเป็นแค่นักเวทย์ ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งทรงพลังมากแค่ไหน หรือประสบความสําเร็จในการทดลองมากเท่าไหร่”

“จงจําไว้ ไม่มีนักเวทย์คนใดถูกบังคับให้ต้องแบ่งปันคาถาหรือสิ่งที่ค์ นพบในด้านเวทมนตร์ แม้แต่กับราชาเองก็ไม่สามารถละเมิดกฎข้อนี้อย่างเปิดเผยได้ แต่สิ่งที่เก็บไว้กับตัว เมื่อไม่มีประโยชน์กับผู้คน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรด้วยเช่นกัน”

“มีเพียงแค่แบ่งปันความรู้หรือใช้มันเพื่อทําภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากอาณาจักร หรือสมาคมเวทมนตร์ แล้วได้รับความดีความชอบ จนสามารถยกระดับตัวเองเป็นจอมเวทย์ได้”

“นั่นเป็นยศสาหรับนักเวทย์ เหมือนกับดยุคหรือมาร์ควิสที่เป็นยศของขุนนาง”

“และสุดท้าย ก็คือ Magus คือคนที่มีพลังอํานาจเทียบเท่ากับคุณธรรมอันโดดเด่น ต่อผู้คน และความรู้ที่เขาแบ่งปันกับสมาคมเวทมนตร์ด้วย Magus มักจะสอนให้คนรุ่น หลังเข้าใจเวทมนตร์อย่างลึกซึ้ง และวิธีการบรรลุพื้นฐานที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ”

“Magus ก็คือราชาของเหล่านักเวทย์ และเป็นเทพของมวลมนุษย์น้อยยิ่งกว่า น้อยที่จะมีมากกว่าหนึ่งคน เมื่อไหร่ก็ตามที่ประเทศมีMagiสักสองคนหรือมากกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นยุคทองของประเทศนั้นแล้ว เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ตราบที่มีMagi”

ลิธรู้สึกไม่ประทับใจเลย

“โดยพื้นฐานแล้ว ยศตําแหน่งอันหรูหราก็เป็นเพียงแค่หมอกบางๆปกคลุมเพื่อรีด เอาผลประโยชน์จากอาจารย์จนเดือดแห้ง ผมไม่รู้ว่าการเป็นMagus จะทําให้ผมรู้สึกเศร้าหรือรู้สึกสูญเสียความเคารพในตัวเองไปทั้งหมดกันแน่”
“เจ้าเด็กอวดดี!” นานาโกรธเคืองกับการดูหมิ่นเช่นนี้

“หากไม่มี Magi อย่างโลครากับมรดกของพวกเขา คนอย่างฉันก็ไม่มีทางผ่านการทดสอบของสถาบันเวทมนตร์ได้ ไม่มีทางแม้แต่นิดเดียว”

“มันยังมีสิทธิพิเศษสําหรับคนที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น หรือมาจากตระกูลขุนนาง หรือตระกูลนักเวทย์ เพียงแค่เขียนหนังสือเล่มนั้น โลคราก็ยอมเสียสละข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่เธอมีเหนือคนที่เหลือทั้งหมดแล้ว!”

ลิธส่ายหน้า

“ผมเห็นต่างออกไปครับอาจารย์ ในความคิดของผม อาจารย์มีพรสวรรค์ มีความสามารถที่โดดเด่น หากในอดีตแม้แต่คนที่พรสวรรค์อย่างอาจารย์ก็ไม่ได้รับการยอมรับในระยะยาวแล้วจะทําให้สมาคมเวทมนตร์มีขนาดเล็กลง จนกระทั่งหายสาบสูญไปในที่สุด”

“การเกิดในตระกูลที่ร่ํารวยหรือตระกูลที่เก่งกาจ ทําให้อาจารย์มีทรัพยากรและการศึกษาที่ดีกว่า แต่นั่นคือความสามารถที่มีมาตั้งแต่เกิด”

“ดังนั้นโลคราต้องเขียนหนังสือเล่มนั้น ไม่ใช่เพื่อคุณงามความดีจากใจเธอ แต่เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องอันร้ายแรงในสมาคมเวทมนตร์ จริงอยู่ที่คุณภาพสําคัญกว่าปริมาณ แต่ปริมาณก็คือความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน”

“ถ้าไม่มีคนอย่างอาจารย์หรือแม้แต่คนอย่างผม ก็ไม่มีสายเลือดใหม่เพียงพอ และตัวเวทมนตร์เองไม่ช้าไม่นานก็จะหายไปในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เห็นว่าหนังสือของโลคราเป็นดั่งของขวัญ เพราะเธอต้องการใช้เรานั่นแย่มาก”
เธออ้าปากเตรียมจะตําหนิลิธ แต่แล้วก็หยุดไปครู่หนึ่งคิดใคร่ครวญก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“บ้าจริง ลิธ ไม่ว่าแม่เธอจะเลี้ยงเธอมาด้วยอะไรตอนเป็นทารก ฉันก็อยากได้เหมือนกันตอนที่อายุเท่าเธอ ฉันไม่เคยมองในมุมนี้เลยและยังมองเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังค่าพูดเธออีกด้วย มันมากพอที่จะไม่อาจมองข้ามว่าเป็นเพียงค่าพูดพล่อยๆของเด็กน้อยเท่านั้น”

เธอถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ

“ฉันหวังว่าเมื่อก่อนฉันจะคิดได้รอบคอบมากกว่านี้ จะได้ไม่ทําพลาดไป”

“แน่นอนสิ” ลิธคิด “ประสบการณ์ของผู้ชายอายุสามสิบกว่าปีจากโลกเก่า ไม่มีทางเป็นไอ้โง่งี่เง่าปัญญาอ่อนไปได้หรอก คนฉลาดก็ยังคงเป็นคนฉลาด ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกเก่าก็ตาม”

“ต้องมีการกําจัดพวกคนรวยที่เล่นสกปรก หรือข่มขู่ให้พวกมันกลัวไปบ้าง เมื่อกลัวว่าจะไม่มีหมอ ทนายหรือผู้เชียวชาญคอยช่วยเหลือยามต้องการ แล้ววางแผนมีลูกหลานให้มากเพียงพอ เช่นนั้นก็คงต้องปิดโรงเรียนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว”

จากนั้นประตูในห้องรอของนานาก็เปิดออก คนไข้คนแรกของวันก็มาถึง

“ได้เวลาทํางานแล้ว มีค่าถามอะไรเกี่ยวกับค่าน่าอีกไหม?” นานาพยายามประชด แต่ยังคงคิดถึงคําพูดของลิธอยู่ ดังนั้นน้ําเสียงของเธอจึงไม่ได้จริงจังอะไรนัก

“มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ ผมอาจจะต้องจดบันทึก พอจะมีอะไรให้ผมเขียนได้ไหมครับ?”

“มีสิ”

หลังจากรับทราบว่าหญิงสาวและเด็กที่เพิ่งเข้ามาในห้องต้องการมาตรวจสุขภาพเท่านั้น นานาก็เอ่ยขอให้พวกเขารอสักนาที่สองนาที

นานากับลิธก็กลับไปที่ห้องทํางาน เธอมอบหนังสือเล่มใหญ่หนา ปกแข็งสีแดงข้างในมีเพียงหน้ากระดาษเปล่าๆเท่านั้น

“นี่จะเป็นตํารา(กริมัวร์)เล่มแรกของเธอ ใช้มันให้คุ้มค่าล่ะที่รัก กระดาษเป็นของหายากและมีราคาแพง ขายกันตามน้ําหนักและมีค่ามากกว่าเงินเสียอีก”

ลิธตกใจกับเรื่องนี้มาก หนังสือที่มีความยาว 27 ซม. กว้าง 17 ซม. หนา 3ซม. ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก

“ผะ..ผม…” ลิธอกลักพูดไม่ออกเป็นครั้งที่สองของชีวิตนี้

“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาจารย์จะทําเพื่อผม มันต้องผลาญเงิน อาจารย์ไปมากมายแน่ๆ ผมรู้สึกตื้นตันใจมากครับ” ทันใดนั้นลิธก็มีน้ําตารื้นขึ้นมา

นานาหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ

“โฮะๆๆ ถึงเธอจะฉลาดแต่ก็ยังไร้เดียงสาอยู่มาก บอกได้เลยว่าไม่ใช่ฉันหรอก เงินมันไม่ได้งอกเงยเหมือนต้นไม้หรอกนะ ถ้าเป็นฉันคงให้กระดาษแค่สองสามแผ่นเท่านั้น อิมป์ตัวน้อย”

ความอบอุ่นในหัวใจของลิธพลันหายไปในทันที

“แล้วผมต้องขอบคุณใครล่ะครับ?”

“ก็เคาท์ลาร์คน่ะสิ จะเป็นใครไปได้ล่ะ? ขุนนางคนนี้เป็นผู้คลั่งไคล้เวทมนตร์ขนานแท้เลยล่ะ เขาส่งมันมาให้ฉันทันทีที่ได้รับแจ้งเรื่องการฝึกของเธอ ตอนนี้ก็เรียนให้มากขึ้น ขยับปากให้น้อยๆหน่อย เธอมาที่นี่เพื่อเรียนเวทมนตร์นะ ไม่ใช่เพื่อคุย!”

นานารีบออกไปจากห้องไปทําการรักษาเพื่อไม่ให้ห้องรอเต็มไปด้วยผู้ป่วย

ลิธกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วเริ่มอ่านหนังสือต่อ เนื้อหาส่วนใหญ่ของโลคราเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เพราะเขาค้นพบมันด้วยตัวเอง ผ่านการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน

เขาทําได้เพียงถอนหายใจด้วยความเศร้า

“ถ้าฉันมีหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตอนที่ฉันเกิด ฉันคงแข็งแกร่งเท่าตอนนี้แล้ว”

เมื่อไหร่ก็ตามที่ลิธพบสิ่งที่น่าสนใจ เขาก็จะจดมันลงในตาราของเขา ลิธไม่อาจเชื่อใจในลายมือที่ย่าแย่ เขาจึงลุ่มนิ้วลงในขวดหมึก แล้วใช้เวทย์น้ําเพื่อเขียนลงไปในกระดาษ แล้วปล่อยให้แห้ง ผลคือทั้งหน้าเต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษที่งดงามและโดดเด่นมาก เขาคัดลอกภาพประกอบมาอีกด้วย โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

“ฮ่าๆๆๆ” ลิธหัวเราะในใจ

“ฉันไม่จําเป็นต้องใช้รหัสลับเลย เพราะมีแค่ฉันคนเดียวในโลกที่พูดภาษาอังกฤษได้ ความลับของฉันก็จะปลอดภัย”

“มันปลอดภัยอยู่แล้ว อย่าลืมว่ายังมีกระเป๋ามิติของฉันอยู่” โซลัสพูดแทรกขึ้นมา

“การป้องกันอีกขั้นหนึ่งไม่อาจสร้างความเสียหายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เรียกว่าระวัง จนเกินไป”

ลิธพบว่าในหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องธาตุดิน น้ํา ลม ไฟ ออกจะน่าเบื่อไปนิด เขารู้เกือบทุกอย่างที่อยู่ในนั้น แต่ก็อ่านมันทุกตัวอักษรอยู่ดี

นานาให้เขาอ่านหนังสือจนถึงเวลาเที่ยงเท่านั้น จากนั้นก็บังคับให้เขากลับบ้านไป แล้วเริ่มกิจวัตรเดิมๆอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเวลาล่าสัตว์จากตอนเช้เป็นตอนบ่าย

เขาใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเจอเรื่องที่น่าสนใจ ลิธตระหนักดีว่าการเรียนด้วยตนเอง เวทย์แสงกับเวทย์มีดเป็นส่วนที่เขายังอ่อนหัดอยู่มาก พวกมันเป็นธาตุที่ไม่มีอยู่ในโลกเก่า และเขาเองก็ใช้เวลาไปทั้งสัปดาห์เพื่อศึกษาเวทย์ทั้งสอง เขาจดบันทึกไปนับไม่ถ้วนจนในที่สุดก็เข้าใจถึงความตื้นลึกหนาบางในธาตุทั้งสองแล้ว

“น่าทึ่งมาก ความรู้ความเข้าใจในเวทย์แสงกับเวทย์มืดของโลคราทําให้ฉันประทับใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย เธออธิบายถึงการไหลเวียนของมานาในร่างกายผู้ป่วย อย่างที่ไม่มีใครทําได้ ฉันเองก็ไม่เคยคิดอย่างเธอเช่นกัน”

“ในที่สุดก็เข้าใจสักที่ว่าทําไมเธอถึงเขียนให้ธาตุทั้งสองอยู่ในตอนเดียวกัน ความมืดและแสงสว่างไม่ใช่ธาตุที่แยกออกจากกัน แต่มันคือทั้งสองด้านของเหรียญเดียว กันนั่นเอง ความมืดมีความสําคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาโรคและภาวะผิดปกติที่มีมา แต่กําเนิด”

“เมื่อฉันซึมซับความรู้ใหม่ได้ทั้งหมด ฉันอาจจะรักษาทิสต้าให้หายดีเป็นแน่ ถ้าฉัน ทําได้จริง ฉันจะคิดอีกที่เรื่องการเป็น Magus”

ลิธอ่านส่วนนั้นซ้ําแล้วซ้ําเล่า จนกระทั่งเขาแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ตกหล่นอะไรไป พลังเวทย์ของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ความรู้ความเข้าใจในธาตุทั้งหกของเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับแล้ว

เขามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุพื้นฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงการปรับปรุงเวทย์วิญญาณกับเวทย์ผสมได้ดียิ่งขึ้น แต่ด้วยความมั่นใจนี้ก็มาพร้อมกับความสงสัยใหม่ๆด้วยเช่นกัน

“ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นฉันก็รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ที่นานามีความรู้มากมายอยู่ในมือแต่กลับไม่สามารถรักษาที่สต้าให้หายขาดได้”

“ทําไมเธอถึงยังต้องใช้สัญญาณมือและร่ายเวทย์ออกเป็นค่าเพื่อฆ่าบารอนเน็ตเทรฮานกับลูกชาย แค่ดีดนิ้วทีเดียวก็น่าจะทําได้แล้ว”

ลิธตัดสินใจยังไม่ถามคําถามเหล่านั้น จนกว่าจะเข้าใจหนังสือของโลคราอย่างถ่องแท้ บางทีเขาอาจจะตกหล่นอะไรที่สําคัญไป หรือบางทีมันอาจจะไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนก็ได้

นานาดีใจที่รู้ว่าเขาอ่านหนังสือทั้งเล่มจบภายในหนึ่งสัปดาห์ และมอบหนังสือเวทมนตร์ขั้น1 ให้กับเขาทันที

“มาดูกันว่าเธอจะฝึกเวทมนตร์ได้เก่งเหมือนกับที่เธอเก่งทฤษฎีหรือเปล่า”

ลิธรับหนังสือไปจากมือของเธอ ปฏิบัติกับมันราวกับเป็นอัญมณีล้ําค่าที่แตกหัก โดยง่าย เขาเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยท่าที่เคร่งขรึม เปิดหนังสือออกด้วยใจที่เปี่ยมความคาดหวัง

แต่เขากลับผิดหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“บ้าอะไรอีกเนี่ย? หนังสือเวทมนตร์หน้าตาเป็นแบบนี้หรอ?”

“นี่มันบ้าอะไร?” โซลัสถึงกับสบถออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิตเธอ

ทั้งลิธและโซลัสต่างก็ตกตะลึงเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ เขาปิดหนังสือลงแล้วเปิดใหม่อีกครั้ง และพบว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เขาหวังให้มันเต็มไปด้วยค่าแนะนําเกี่ยวกับวิธีการจัดการการไหลเวียนของมานาในร่างกายนักเวทย์ วิธีการเชื่อมต่อกับพลังงานโลกให้ดีขึ้นเพื่อให้ได้คาถาที่ทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้

กลับพบการสะกดคร่ายเวทย์ และคู่มือการใช้สัญญาณมือ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขารู้เวทมนตร์ขั้นหนึ่งทั้งหมดแล้ว ต่างกันแค่เพียงชื่อเรียกเท่านั้น

“Blasting Sphere ก็คือลูกไฟเท่านั้น Piercing Ice ก็เหมือนกับ หอกน้ําแข็งของฉัน”

ลิธย้อนกลับไปที่หน้าคน และพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนโดย Magus และเป็นเพียงหนังสือที่รวบรวมคาถาทั่วไปที่พบได้บ่อยๆ

เมื่ออ่านค่าแนะนําของ Blasting Sphere ลิธก็สังเกตเห็นที่ผู้เขียนเน้นย้ําถึงความสาคัญของการทําสัญญาณมือตามล่าดับที่ถูกต้องและแม่นย่า

แม้แต่ค่าร่ายยังแบ่งออกที่ละพยางค์ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนศึกษาการออกเสียงและสําเนียงที่ถูกต้อง หลังจากอ่านจบทั้งเล่มแล้ว ลิธก็ไม่พบวิธีการร่ายเวทย์แบบไร้เสียงเลย

ก่อนที่ลิธจะสับสนไปมากกว่านี้ เขาจึงไปหานานาเพื่อขอคําแนะนํา

“ฉันขอโทษนะลิธ การใช้เวทมนตร์พื้นฐานแบบไร้เสียงที่เรียบง่าย และธรรมดาไป จนถึงเวทมนตร์แท้จริงที่ซับซ้อนกว่ามาก มันสร้างความสิ้นหวังและเจ็บปวดมากเพียงใด มีเพียงเวทมนตร์ขั้นศูนย์เท่านั้นที่สามารถร่ายเวทย์แบบไร้เสียงได้ เวทมนตร์ขั้นที่เหนือกว่าทั้งหมดล้วนต้องใช้สัญญาณมือกับค่าร่ายเวทย์ที่ถูกต้อง”

ลิธรู้สึกหัวหมุนจนต้องนั่งลงในทันที

“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เขาคิด “ฉันใช้เวทย์ไร้เสียงด้วยหอกน้ําแข็งกับลูกไฟมาตลอด ฉันก็ยังปกติดีอยู่นี่”

จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า

“หรือฉันอาจจะพิเศษออกไป อาจจะเป็นเพราะใช้เวทมนตร์ที่ต่างออกไปเพราะฉันมาจากโลกเก่า ฉันอาจจะเป็นผู้ถูกเลือกก็ได้” ลิธทั้งกลัวทั้งดีใจกับความคิดนี้

“ไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอก” โซลัสเอ่ยค่าเพื่อดับความกระตือรือล้นของเขา

“ขอบคุณสําหรับความเชื่อมั่นในตัวฉัน ซาบซึ้งใจจริงๆ ถ้างั้นแล้วจะอธิบายยังไงล่ะ?”

ลิธรู้สึกได้ว่าจิตของโซลัสไวมากเสียจนเขาตามเธอไม่ทัน

“ถ้าสมมติฐานของฉันถูกต้องละก็ เธอก็เป็นเหมือนกับ โลครา ซิลเวอร์วิง และ Magus ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ใช้เวทมนตร์แท้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+