The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง

Now you are reading The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker Chapter 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker

 

บทที่ 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง

 

[ไม่เป็นไรหรอกฮิคารุ ไม่ต้องกังวลไปหรอก]

 

[ฉันรู้ ฉันทําเพื่อตัวเองน่ะ]

 

เขาไม่ได้ทําเพื่ออัศวินหรือเพื่อคนอื่น ๆ – แต่เพื่อตัวเขาเอง อัศวินได้รับในสิ่งที่เขาควรได้แล้ว ตอนที่เขาช่วยลาเวียฮิคารุได้สัญญาไว้ว่าจะไม่ฆ่าใครทั้งนั้นดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขา ขนาดคนที่เขาสัญญาด้วยยังพูดเลยว่าไม่ต้องกังวลอะไรไป แต่ถึงอย่างนั้น

 

[ฉันไม่อยากเสียดายอะไรนะและมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ฉันทนกับสิ่งที่พวกเขาทําไม่ได้]

 

[หมายความว่ายังไงหรอ]

 

[ฉันไว้ชีวิตเขาแล้วและคนพวกนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีเลยก็ยังจะฆ่าเขาอีก ฉันโมโหวิธีที่พวกเขาจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่นี่นะ]

 

ลาเวียถอนหายใจ

 

[นายมั่นใจในตัวเองเกินไปรู้ไหม]

 

[มันทําให้เธอเซ็งรึเปล่า]

 

[ไม่หรอก มันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวนายเหมือนกันและถ้านายยืนกรานแล้วนายอยากจะทําอะไรก็ทําเถอะแต่สัญญากับฉันนะว่าจะไม่ฝืนตัวเองแล้วก็จะไม่ทําอะไรที่มันเป็นอันตรายน่ะ]

 

[ฉันสัญญา]

 

ฮิคารุพาลาเวียกลับไปที่ห้องก่อนที่จะมุ่งหน้าไปหาอัศวิน ตอนนี้เขาคิดว่าที่พักของมอร์กแสตนคงว่างเปล่าแล้วและเขาก็คิดถูก ผู้สอบสวนจากเมืองหลวงและเหล่าอัศวินรวมถึงอีสท์ก็อยู่ ณ ฐานที่มั่นของอัศวินเช่นกัน แม้คําว่า “ฐานที่มั่น” จะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะยังไงที่นี่ก็ใหญ่พอ ๆ กับคฤหาสน์ของเคานต์เลย

 

[เขาโงรึเปล่า]

 

ในห้องนี้มีทั้งหมด 3 คน ชายคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทที่มีแถบสีน้ําเงินและสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้สอบสวน ผมของเขาถูกตัดจนสั้นทั้งหัวแล้วเหลือตรงกลางไว้เหมือนโมฮอว์ก เขาให้ความรู้สึกขุ่นเคืองกับคนรอบข้างนอกจากนี้ยังมีอัศวินอีก 2 คนนั่งอยู่ตรงข้ามเขา – เพื่อนร่วมงานของอีสท์

 

[ชาของคุณค่ะ]

 

[ขอบใจ]

 

มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็น การทํางานในช่วงดึกแบบนี้ทําให้คอแห้งและผู้สอบสวนก็อยากดื่มชาร้อนแม้อยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ตาม

 

ผู้สอบสวนรอให้หญิงรับใช้ออกไปก่อนแล้วจึงพูดขึ้นว่า

 

[งั้นเขาก็เป็นลูกคนที่สองของบารอนงั้นหรอ]

 

[ใช่แต่พวกเขาก็เป็นแค่ขุนนางที่ถูกรับรองเท่านั้น]

 

ขุนนางที่ไม่มีทรัพย์สมบัติถูกเรียกว่าขุนนางที่ถูกรับรองเนื่องจากมีกฎหมายในพอนโซเนียระบุไว้ว่ามีเพียงแค่ขุนนางเท่านั้นจึงจะดํารงตําแหน่งในรัฐบาลได้ดังนั้นเพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถในฐานะข้าราชการพลเรือนนั้นระบบจึงถูกสร้าง เพื่อมอบสถานะอันสูงส่งนี้ให้แก่ประชาชนโดยที่ไม่ต้องมอบทรัพย์สมบัติหรือที่ดินให้

 

อย่างไรก็ตามปัญหาก็ยังมีอยู่เพราะหากจัดการไม่ถูกต้อง จํานวนขุนนางก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขุนนางที่มีสมบัติก็ได้รับการสนับสนุนให้ดูดกลืนขุนนางที่ถูกรับรองผ่านการแต่งงาน

 

[พ่อของเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาอัศวิน ในเอกสารบอกว่าเขาทํางานในแผนกจัดเก็บภาษีและเป็นหมายเลขสองในการรับผิดชอบด้านการจัดเก็บภาษีแห่งชาติ] ผู้ทําการสอบสวนพูด

 

[ผมได้ยินมาว่าพ่อของเขาค่อนข้างเข้มงวดนะ เขารู้ทันทีเลยว่าอีสท์ไม่เก่งเรื่องตัวเลขเลยให้เขามาเข้าร่วมเป็นอัศวิน]

 

[แล้วเขาทํางานเป็นยังไงบ้าง]

 

[สุดยอดไปเลยล่ะ ไม่มีใครฝึกหนักเท่าเขาแล้ว]

 

[การซ้อมหนักไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเขาจะมาแพ้ให้กับโจรแบบนี้]

 

[นั่นแหละที่มันกวนใจผม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีสท์จะแพ้ให้โจรแค่คนเดียว]

 

[เขาบอกว่าเป็นเด็กนะที่เอาชนะเขาได้]

 

อัศวินพึมพําอย่างไม่พอใจในขณะที่อีกคนหนึ่ง – นักล่ากระโปรง – ตัดบทขึ้นมา

 

[อาจจะมีบางอย่างที่ทําให้เขาไม่พูดความจริงอยู่ก็ได้นะ]

 

[ตัดเรื่องนั้นออกไปได้เลย ผมใช้เครื่องจับเท็จเวทมนตร์แล้วและมันก็ไม่ตอบสนองซึ่งก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นเรื่องจริง]

 

[ถ้าอย่างนั้นบางทีเขาอาจจะถูกหลอก พวกโจรคงทําให้อีสท์เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง]

 

[อันนี้ก็เป็นไปได้]

 

อัศวินทั้งสองคนนั้นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าผู้สอบสวนไม่ได้โหดร้ายกับอีสท์

 

[อย่าเข้าใจผิดไป งานของผมเป็นเพียงแค่การนําความจริงออกมาสู่แสงสว่างเท่านั้น ไม่ได้จะปกป้องเกียรติของสภา]

 

[เราเข้าใจครับ ใช่ไหม]

 

[ใช่ครับ]

 

[เข้าใจก็ดีแล้ว ว่าแต่ผมอยากจะถามคําถามอีกสักสองสามข้อเกี่ยวกับการฆาตรกรรมของเคานต์มอร์กแสตดหน่อยนะ] ผู้สอบสวนพูดขณะที่เปิดสมุดจดบันทึกไปด้วย

 

[ในคืนนั้นนักฆ่าแอบเข้ามาทางระเบียง ฆ่าท่านเคานต์แล้วก็หนีไป อาวุธสังหารคือกริชที่เขียนไว้ว่าทําลายซึ่งใบมีดมีความยาวประมาณสามสิบสองเซนติเมตรและถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุแล้วเมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยคุณและอีสท์ก็รีบไปยังที่เกิดเหตุแล้วเจอกับลูกสาวของท่านเคานต์หรือก็คือลาเวีย ด. มอร์กแสตน อยู่ที่นั่นและท่านเคานต์ก็ตายแล้ว ถูกต้องรึเปล่า]

 

[ใช่ครับ]

 

[ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกสาวก็คือผู้พบศพคนแรก การที่ส่งเธอไปที่เมืองหลวงในฐานะผู้ต้องสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ]

 

[ใช่ ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละแต่เธอไม่ได้ฆ่าเขา]

 

[ทําไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ]

 

[มันต้องมีเลือดอยู่บนตัวฆาตรกรถ้าเขาใช้กริชฆ่า แต่บนเสื้อผ้าของเธอไม่มีเลือดเลยสักหยด]

 

[งั้นขอถามหน่อย หลังจากที่คุณได้ยินเสียงสัญญาณเตือน แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงห้องพักของท่านเคานต์]

 

ผู้ชายสองคนนั้นมองหน้ากันถึงแม้ว่าในคืนนั้นจะมีผู้ชายแค่คนเดียวที่อยู่กะก็ตาม

 

[น้อยกว่า 1 นาที คิดว่านะ]

 

[จริง ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในคฤหาสน์มันก็ประมาณนี้แหละ] นักล่าผู้หญิงเห็นด้วยกับเขา

 

[เราลองสมมติว่าฆาตกรมาจากข้างนอก คืนนั้นฝนตกและประตูระเบียงก็ปิดอยู่ ท่านเคานต์สังเกตเห็นประตูเปิดออก จากนั้นเขาก็กดสัญญาณเตือนภัย นักฆ่าเข้ามาใกล้และฆ่าเขา ซึ่งก่อนที่พวกคุณจะมาถึงลูกสาวของเขาก็เปิดประตูห้องอยู่แล้วและฆาตกรก็หนีไปแล้ว]

 

[อา. ]

 

อัศวินคนนั้นดูเหมือนจะรู้ว่ามีบางอย่างที่แปลกไป

 

[ท่านหญิงลาเวียบอกว่าเธอไม่เห็นฆาตรกร… ]

 

[ใช่ นั่นก็อยู่ในรายงานเหมือนกัน งั้นก็หมายความว่าฆาตกรสามารถฆ่าคนที่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าจะต้องต่อสู้กลับอย่างแน่นอนได้และยังสามารถหลบหนีภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ยังไงก็ไม่รู้ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกหรือคุณกําลังจะบอกว่าฆาตกรสามารถเข้าใกล้ท่านเคานต์ได้โดยที่เขาไม่เห็นงั้นหรอ ถ้าประตูระเบียงเปิดออกเขาก็ต้องได้ยินเสียงฝนตก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยการขัดขืนจากท่านเคานต์อีกด้วยแถมเขายังมีไอเทมเวทมนตร์ไว้ปกป้องเพียงแค่ต้องพูดคํานั้นออกมาอีก]

 

[ไอเทมประเภทนั้นจะเปิดใช้งานไม่ได้ถ้ามีคนเข้ามาใกล้มาก ๆ ]

 

[ใช่เลย มันแปลกตรงที่นักฆ่าเข้าใกล้เขาได้มากสะจนเขาเปิดใช้งานไอเทมไม่ได้นั่นแหละ]

 

[อา เข้าใจล่ะ]

 

[หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านเคานต์ปล่อยให้นักฆ่าเข้าใกล้เอง คนร้ายไม่ได้มาจากทางหน้าต่างและถ้าเราคํานึงถึงทั้งหมดนี้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ท่านเคานต์จะปล่อยให้เข้า มาใกล้ชิดได้นั่นก็คือ ลูกสาวของเขาเอง]

 

ชายสองคนนั้นชําเลืองมองกันอีกครั้ง

 

[สีหน้าของพวกคุณกําลังบอกว่าเหตุผลของผมมันมีจุดที่แปลกอยู่]

 

[เปล่าครับ ตรรกะมันก็สมเหตุสมผลดีแต่มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง]

 

[ผมเห็นด้วยกับเขาครับ ใช่แล้วปกติพ่อแม่จะอนุญาตให้เด็กเข้าใกล้พวกเขาได้แต่ปกติแล้วลูกสาวจะไม่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่คนที่น่ารักอย่างเธอ…]

 

[เธอดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ครับ แกไอ้โง่ ขอโทษครับ ยังไงก็ตามเราก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับท่านเคานต์และภารกิจคุ้มกันของเราก็แค่วันเดียวแต่ถึงแม้จะแค่วันเดียวเราก็พอจะรู้อะไรบางอย่างแล้วครับ]

 

[อะไรล่ะ] ผู้สอบสวนถามด้วยดวงตาลุกวาว

 

[ท่านเคานต์ระมัดระวังตัวกับลูกสาวของตัวเอง]

 

[ระมัดระวังหรอ]

 

[จริง ๆ แล้วท่านหญิงลาเวียถูกเก็บให้อยู่ในคฤหาสน์นั้น มาหลายปีแล้วและเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกอีกด้วย]

 

[งั้นเธอก็ถูกขังไว้ในบ้านหรอ มันอาจเป็นแรงจูงใจในการฆาตกรรมก็ได้นะ]

 

[ใช่ครับแต่นี่ก็หมายความว่าท่านเคานต์จะไม่ยอมให้ลูกสาวเข้าใกล้อย่างง่ายดายแบบนั้นแน่ มันเลยขัดแย้งกับเหตุผลที่นักฆ่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อครับ]

 

[เข้าใจล่ะ ไม่เลวเลย]

 

[แต่คุณไม่ได้จดนิ]

 

[ถูกต้อง] ผู้สอบสวนพูดขณะที่ปิดสมุดบันทึกของเขาลง

 

[ตั้งแต่เธอหนีไปผมก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่าลูกสาวเป็นฆาตกร ผมได้รับคําแนะนํามาจากเมืองหลวงผ่านโทรศัพท์เวทมนตร์เพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจช่วยในการตามหาเธอแล้ว]

 

[โทรศัพท์เวทมนตร์… คุณจ่ายไปเท่าไหร่เนี่ย]

 

โทรศัพท์เวทมนตร์เป็นอุปกรณ์สื่อสารเวทมนตร์ที่ติดตั้งอยู่ในคฤหาสน์ของขุนนางทุกคนและถ้าจะใช้งานมันต้องใช้เวทมนตร์และตัวเร่งปฏิกิริยาจํานวนมากดังนั้นมันจึงถูกใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แค่สายเดียวก็เสียค่าใช้จ่ายเป็นจํานวนมาก แล้วและเนื่องจากไม่มีขุนนางอยู่ในพอนด์เลยเครื่องมือนั้นจึงถูกติดตั้งอยู่ในฐานของอัศวินแทน ความจริงที่ว่ามันถูกนํามาใช้งานก็หมายความว่าเรื่องนี้มีความสําคัญสูงสุดและม้าก็ยังมาถึงเมืองพอนด์ได้ภายใน 4 ชั่วโมงอีกด้วย

 

[ขอโทษครับแต่ผมคิดว่าตอนนี้มันช้าไปหน่อยในเมื่อเธอหนี้ไปแล้วและผมก็เชื่อว่านักผจญภัยพวกนั้นต่างหากล่ะที่น่าส ง สัย]

 

[อีสท์ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ]

 

[ใช่ครับ]

 

[ผมคิดว่าชื่อของเขาจะถูกล้างมลทินได้ถ้าพิสูจน์ได้ว่า พวกนักผจญภัยพวกนั้นทํางานร่วมกับโจรนั่น]

 

[นายพูดถูก! งั้นเราก็น่าจะ – ]

 

[เรากําลังดําเนินการอยู่ นี่เป็นข้อมูลลับนะแต่กองกําลังพิเศษถูกส่งไปหาพวกนักผจญภัยที่คุ้มกันลูกสาวของท่านเคานต์แล้ว]

 

อัศวินทั้งสองคนเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

 

[กะ กองกําลังพิเศษ? พวกเขาคือคนที่สู้อยู่ในแนวหน้าของสนามรบใช่ไหม]

 

[ยังไงเป้าหมายก็คือนักผจญภัยนิ ใครจะรู้ละว่าพวกเขาจะทําอะไรบ้างเพราะยังไงพวกนักผจญภัยก็ไม่สนใจในอํานาจอยู่แล้ว]

 

[แต่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ]

 

[ฟังนะ] ผู้สอบสวนพูดและเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ [พระราชา ท่านตามคดีนี้อยู่และผมก็ต้องรีบปิดการสอบสวนนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดและต้องรายงานไปยังเมืองหลวงด้วย พรุ่งนี้เช้าผมจะออกจากพอนด์แล้วเลยต้องรวบรวมข้อมูลที่จําเป็นให้ได้ทั้งหมดก่อน]

 

[อืม ]

 

[ผะ ผมเข้าใจ. ]

 

พวกเขาทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

[คําตัดสินของอีสท์จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมรวบรวมได้นี่ล่ะ พวกนักผจญภัยกับโจรทํางานร่วมกันไหม ท่านหญิงลาเวียฆ่าท่านเคานต์รึเปล่าและถ้านักฆ่ามาจากภายนอกจริง ๆ พวกคุณก็จะได้รับโทษประหารชีวิตเช่นกัน]

 

[อ๊ะ! ]

 

อัศวินคนที่อยู่กับอีสท์ในคืนนั้นหน้าซีดราวกับกระดาษ

 

[อะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้ ผมมีเมียมีลูกแล้วนะ!]

 

[เรื่องนั้นผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจแต่มันมีบางอย่างที่ไม่ชัดเจนในคําให้การของคุณและผมก็รู้สึกว่ามันมีความขัดแย้งกันอยู่ คุณจะอนุญาตให้ผมใช้เครื่องจับเท็จได้ไหมจะได้ดูว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงรึเปล่าเพราะพวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เป็นผู้ต้ องสงสัยผมเลยต้องขอก่อน]

 

[ดะ ได้ นายก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหม]

 

[ครับ]

 

ผู้สอบสวนได้นําสิ่งที่ดูเหมือนปากกาแก้ววางลงบนโต๊ะ มันเป็นอุปกรณ์ที่มีเวทมนตร์ในการตรวจจับการโกหก

 

ชายทั้งสามคนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีคนกําลังเฝ้าดูการทดสอบทั้งหมดอยู่และนั่นก็คือ ฮิคารุผู้ที่แอบเข้ามาตั้งแต่ที่หญิงรับใช้มาเสิร์ฟชา เขาได้ฟังการสนทนาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เช้าวันถัดมา

 

กิลด์เปิดหลังจากพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานนัก ในช่วงฤดูหนาวสถานที่หลาย ๆ แห่งจะต้องเปิดในขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่ดังนั้นพนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จึงเกลียดการทํางานนี้ในตอนเช้าแต่ออโรร่านั้นต่างออกไปเธอเปิดกิลด์ได้โดยไม่กังวลมากนัก ในความเป็นจริงแล้วเธอชอบทํางานในตอนเช้ามากที่สุดเพราะจํานวนของนักผจญภัยยังมีไม่มากเท่าไหร่

 

[โอ้]

 

เด็กชายคนหนึ่งเข้ามาในกิลด์ทันทีที่กิลด์เปิด ตอนนี้ยังไม่มีนักผจญภัยอยู่แถว ๆ นั้นออโรร่าจึงพูดกับเขา

 

[มีเควสมาให้กิลด์หรอคะ]

 

เธอคิดว่าเขาเป็นลูกค้าเนื่องจากเขาดูเด็กเกินไปที่จะเป็นนักผจญภัย

 

[เปล่า ผมมารับเควส] เด็กชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งแสดงการ์ดของกิลด์ให้เธอดู

 

[อ่อ ขอโทษที่นะอื่ม… ฮิคารุซัง พอดีฉันไม่เคยเจอคุณมากอน]

 

[ไม่เป็นไร ผมเคยรับเควสแค่กับจิลซังกับกลอเรียซังเท่านั้น]

 

ออโรร่ารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าเขาเคยรับเควสจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของเธอแล้ว

 

[แล้วว่าแต่เธอคือ?]

 

[ฉันออโรร่าค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณนะคะ ]ออโรร่า พูดพร้อมทั้งโค้งคํานับ

 

[ผมเช่นกัน]

 

ฮิคารโค้งกลับไป วิธีที่เขาทํามันทําให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นแค่เด็กจริงๆ

 

[ผมหาเควสอยู่ครับออโรร่าซัง]

 

[ประเภทไหนคะ]

 

เด็กชายยิ้มอย่างรวดเร็ว

 

[บางอย่างเช่นการไปส่งของที่เมืองหลวงนะ ผมอยากเห็นที่นั่นสักครั้ง]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง

Now you are reading The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker Chapter 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Undetectable Strongest Job: Rule Breaker

 

บทที่ 26 : ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง

 

[ไม่เป็นไรหรอกฮิคารุ ไม่ต้องกังวลไปหรอก]

 

[ฉันรู้ ฉันทําเพื่อตัวเองน่ะ]

 

เขาไม่ได้ทําเพื่ออัศวินหรือเพื่อคนอื่น ๆ – แต่เพื่อตัวเขาเอง อัศวินได้รับในสิ่งที่เขาควรได้แล้ว ตอนที่เขาช่วยลาเวียฮิคารุได้สัญญาไว้ว่าจะไม่ฆ่าใครทั้งนั้นดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขา ขนาดคนที่เขาสัญญาด้วยยังพูดเลยว่าไม่ต้องกังวลอะไรไป แต่ถึงอย่างนั้น

 

[ฉันไม่อยากเสียดายอะไรนะและมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ฉันทนกับสิ่งที่พวกเขาทําไม่ได้]

 

[หมายความว่ายังไงหรอ]

 

[ฉันไว้ชีวิตเขาแล้วและคนพวกนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีเลยก็ยังจะฆ่าเขาอีก ฉันโมโหวิธีที่พวกเขาจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่นี่นะ]

 

ลาเวียถอนหายใจ

 

[นายมั่นใจในตัวเองเกินไปรู้ไหม]

 

[มันทําให้เธอเซ็งรึเปล่า]

 

[ไม่หรอก มันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวนายเหมือนกันและถ้านายยืนกรานแล้วนายอยากจะทําอะไรก็ทําเถอะแต่สัญญากับฉันนะว่าจะไม่ฝืนตัวเองแล้วก็จะไม่ทําอะไรที่มันเป็นอันตรายน่ะ]

 

[ฉันสัญญา]

 

ฮิคารุพาลาเวียกลับไปที่ห้องก่อนที่จะมุ่งหน้าไปหาอัศวิน ตอนนี้เขาคิดว่าที่พักของมอร์กแสตนคงว่างเปล่าแล้วและเขาก็คิดถูก ผู้สอบสวนจากเมืองหลวงและเหล่าอัศวินรวมถึงอีสท์ก็อยู่ ณ ฐานที่มั่นของอัศวินเช่นกัน แม้คําว่า “ฐานที่มั่น” จะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะยังไงที่นี่ก็ใหญ่พอ ๆ กับคฤหาสน์ของเคานต์เลย

 

[เขาโงรึเปล่า]

 

ในห้องนี้มีทั้งหมด 3 คน ชายคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทที่มีแถบสีน้ําเงินและสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้สอบสวน ผมของเขาถูกตัดจนสั้นทั้งหัวแล้วเหลือตรงกลางไว้เหมือนโมฮอว์ก เขาให้ความรู้สึกขุ่นเคืองกับคนรอบข้างนอกจากนี้ยังมีอัศวินอีก 2 คนนั่งอยู่ตรงข้ามเขา – เพื่อนร่วมงานของอีสท์

 

[ชาของคุณค่ะ]

 

[ขอบใจ]

 

มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็น การทํางานในช่วงดึกแบบนี้ทําให้คอแห้งและผู้สอบสวนก็อยากดื่มชาร้อนแม้อยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ตาม

 

ผู้สอบสวนรอให้หญิงรับใช้ออกไปก่อนแล้วจึงพูดขึ้นว่า

 

[งั้นเขาก็เป็นลูกคนที่สองของบารอนงั้นหรอ]

 

[ใช่แต่พวกเขาก็เป็นแค่ขุนนางที่ถูกรับรองเท่านั้น]

 

ขุนนางที่ไม่มีทรัพย์สมบัติถูกเรียกว่าขุนนางที่ถูกรับรองเนื่องจากมีกฎหมายในพอนโซเนียระบุไว้ว่ามีเพียงแค่ขุนนางเท่านั้นจึงจะดํารงตําแหน่งในรัฐบาลได้ดังนั้นเพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถในฐานะข้าราชการพลเรือนนั้นระบบจึงถูกสร้าง เพื่อมอบสถานะอันสูงส่งนี้ให้แก่ประชาชนโดยที่ไม่ต้องมอบทรัพย์สมบัติหรือที่ดินให้

 

อย่างไรก็ตามปัญหาก็ยังมีอยู่เพราะหากจัดการไม่ถูกต้อง จํานวนขุนนางก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขุนนางที่มีสมบัติก็ได้รับการสนับสนุนให้ดูดกลืนขุนนางที่ถูกรับรองผ่านการแต่งงาน

 

[พ่อของเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของสภาอัศวิน ในเอกสารบอกว่าเขาทํางานในแผนกจัดเก็บภาษีและเป็นหมายเลขสองในการรับผิดชอบด้านการจัดเก็บภาษีแห่งชาติ] ผู้ทําการสอบสวนพูด

 

[ผมได้ยินมาว่าพ่อของเขาค่อนข้างเข้มงวดนะ เขารู้ทันทีเลยว่าอีสท์ไม่เก่งเรื่องตัวเลขเลยให้เขามาเข้าร่วมเป็นอัศวิน]

 

[แล้วเขาทํางานเป็นยังไงบ้าง]

 

[สุดยอดไปเลยล่ะ ไม่มีใครฝึกหนักเท่าเขาแล้ว]

 

[การซ้อมหนักไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเขาจะมาแพ้ให้กับโจรแบบนี้]

 

[นั่นแหละที่มันกวนใจผม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีสท์จะแพ้ให้โจรแค่คนเดียว]

 

[เขาบอกว่าเป็นเด็กนะที่เอาชนะเขาได้]

 

อัศวินพึมพําอย่างไม่พอใจในขณะที่อีกคนหนึ่ง – นักล่ากระโปรง – ตัดบทขึ้นมา

 

[อาจจะมีบางอย่างที่ทําให้เขาไม่พูดความจริงอยู่ก็ได้นะ]

 

[ตัดเรื่องนั้นออกไปได้เลย ผมใช้เครื่องจับเท็จเวทมนตร์แล้วและมันก็ไม่ตอบสนองซึ่งก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นเรื่องจริง]

 

[ถ้าอย่างนั้นบางทีเขาอาจจะถูกหลอก พวกโจรคงทําให้อีสท์เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง]

 

[อันนี้ก็เป็นไปได้]

 

อัศวินทั้งสองคนนั้นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าผู้สอบสวนไม่ได้โหดร้ายกับอีสท์

 

[อย่าเข้าใจผิดไป งานของผมเป็นเพียงแค่การนําความจริงออกมาสู่แสงสว่างเท่านั้น ไม่ได้จะปกป้องเกียรติของสภา]

 

[เราเข้าใจครับ ใช่ไหม]

 

[ใช่ครับ]

 

[เข้าใจก็ดีแล้ว ว่าแต่ผมอยากจะถามคําถามอีกสักสองสามข้อเกี่ยวกับการฆาตรกรรมของเคานต์มอร์กแสตดหน่อยนะ] ผู้สอบสวนพูดขณะที่เปิดสมุดจดบันทึกไปด้วย

 

[ในคืนนั้นนักฆ่าแอบเข้ามาทางระเบียง ฆ่าท่านเคานต์แล้วก็หนีไป อาวุธสังหารคือกริชที่เขียนไว้ว่าทําลายซึ่งใบมีดมีความยาวประมาณสามสิบสองเซนติเมตรและถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุแล้วเมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยคุณและอีสท์ก็รีบไปยังที่เกิดเหตุแล้วเจอกับลูกสาวของท่านเคานต์หรือก็คือลาเวีย ด. มอร์กแสตน อยู่ที่นั่นและท่านเคานต์ก็ตายแล้ว ถูกต้องรึเปล่า]

 

[ใช่ครับ]

 

[ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกสาวก็คือผู้พบศพคนแรก การที่ส่งเธอไปที่เมืองหลวงในฐานะผู้ต้องสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ]

 

[ใช่ ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละแต่เธอไม่ได้ฆ่าเขา]

 

[ทําไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ]

 

[มันต้องมีเลือดอยู่บนตัวฆาตรกรถ้าเขาใช้กริชฆ่า แต่บนเสื้อผ้าของเธอไม่มีเลือดเลยสักหยด]

 

[งั้นขอถามหน่อย หลังจากที่คุณได้ยินเสียงสัญญาณเตือน แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงห้องพักของท่านเคานต์]

 

ผู้ชายสองคนนั้นมองหน้ากันถึงแม้ว่าในคืนนั้นจะมีผู้ชายแค่คนเดียวที่อยู่กะก็ตาม

 

[น้อยกว่า 1 นาที คิดว่านะ]

 

[จริง ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในคฤหาสน์มันก็ประมาณนี้แหละ] นักล่าผู้หญิงเห็นด้วยกับเขา

 

[เราลองสมมติว่าฆาตกรมาจากข้างนอก คืนนั้นฝนตกและประตูระเบียงก็ปิดอยู่ ท่านเคานต์สังเกตเห็นประตูเปิดออก จากนั้นเขาก็กดสัญญาณเตือนภัย นักฆ่าเข้ามาใกล้และฆ่าเขา ซึ่งก่อนที่พวกคุณจะมาถึงลูกสาวของเขาก็เปิดประตูห้องอยู่แล้วและฆาตกรก็หนีไปแล้ว]

 

[อา. ]

 

อัศวินคนนั้นดูเหมือนจะรู้ว่ามีบางอย่างที่แปลกไป

 

[ท่านหญิงลาเวียบอกว่าเธอไม่เห็นฆาตรกร… ]

 

[ใช่ นั่นก็อยู่ในรายงานเหมือนกัน งั้นก็หมายความว่าฆาตกรสามารถฆ่าคนที่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าจะต้องต่อสู้กลับอย่างแน่นอนได้และยังสามารถหลบหนีภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ยังไงก็ไม่รู้ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกหรือคุณกําลังจะบอกว่าฆาตกรสามารถเข้าใกล้ท่านเคานต์ได้โดยที่เขาไม่เห็นงั้นหรอ ถ้าประตูระเบียงเปิดออกเขาก็ต้องได้ยินเสียงฝนตก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยการขัดขืนจากท่านเคานต์อีกด้วยแถมเขายังมีไอเทมเวทมนตร์ไว้ปกป้องเพียงแค่ต้องพูดคํานั้นออกมาอีก]

 

[ไอเทมประเภทนั้นจะเปิดใช้งานไม่ได้ถ้ามีคนเข้ามาใกล้มาก ๆ ]

 

[ใช่เลย มันแปลกตรงที่นักฆ่าเข้าใกล้เขาได้มากสะจนเขาเปิดใช้งานไอเทมไม่ได้นั่นแหละ]

 

[อา เข้าใจล่ะ]

 

[หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านเคานต์ปล่อยให้นักฆ่าเข้าใกล้เอง คนร้ายไม่ได้มาจากทางหน้าต่างและถ้าเราคํานึงถึงทั้งหมดนี้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ท่านเคานต์จะปล่อยให้เข้า มาใกล้ชิดได้นั่นก็คือ ลูกสาวของเขาเอง]

 

ชายสองคนนั้นชําเลืองมองกันอีกครั้ง

 

[สีหน้าของพวกคุณกําลังบอกว่าเหตุผลของผมมันมีจุดที่แปลกอยู่]

 

[เปล่าครับ ตรรกะมันก็สมเหตุสมผลดีแต่มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง]

 

[ผมเห็นด้วยกับเขาครับ ใช่แล้วปกติพ่อแม่จะอนุญาตให้เด็กเข้าใกล้พวกเขาได้แต่ปกติแล้วลูกสาวจะไม่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่คนที่น่ารักอย่างเธอ…]

 

[เธอดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ครับ แกไอ้โง่ ขอโทษครับ ยังไงก็ตามเราก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับท่านเคานต์และภารกิจคุ้มกันของเราก็แค่วันเดียวแต่ถึงแม้จะแค่วันเดียวเราก็พอจะรู้อะไรบางอย่างแล้วครับ]

 

[อะไรล่ะ] ผู้สอบสวนถามด้วยดวงตาลุกวาว

 

[ท่านเคานต์ระมัดระวังตัวกับลูกสาวของตัวเอง]

 

[ระมัดระวังหรอ]

 

[จริง ๆ แล้วท่านหญิงลาเวียถูกเก็บให้อยู่ในคฤหาสน์นั้น มาหลายปีแล้วและเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกอีกด้วย]

 

[งั้นเธอก็ถูกขังไว้ในบ้านหรอ มันอาจเป็นแรงจูงใจในการฆาตกรรมก็ได้นะ]

 

[ใช่ครับแต่นี่ก็หมายความว่าท่านเคานต์จะไม่ยอมให้ลูกสาวเข้าใกล้อย่างง่ายดายแบบนั้นแน่ มันเลยขัดแย้งกับเหตุผลที่นักฆ่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อครับ]

 

[เข้าใจล่ะ ไม่เลวเลย]

 

[แต่คุณไม่ได้จดนิ]

 

[ถูกต้อง] ผู้สอบสวนพูดขณะที่ปิดสมุดบันทึกของเขาลง

 

[ตั้งแต่เธอหนีไปผมก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่าลูกสาวเป็นฆาตกร ผมได้รับคําแนะนํามาจากเมืองหลวงผ่านโทรศัพท์เวทมนตร์เพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจช่วยในการตามหาเธอแล้ว]

 

[โทรศัพท์เวทมนตร์… คุณจ่ายไปเท่าไหร่เนี่ย]

 

โทรศัพท์เวทมนตร์เป็นอุปกรณ์สื่อสารเวทมนตร์ที่ติดตั้งอยู่ในคฤหาสน์ของขุนนางทุกคนและถ้าจะใช้งานมันต้องใช้เวทมนตร์และตัวเร่งปฏิกิริยาจํานวนมากดังนั้นมันจึงถูกใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แค่สายเดียวก็เสียค่าใช้จ่ายเป็นจํานวนมาก แล้วและเนื่องจากไม่มีขุนนางอยู่ในพอนด์เลยเครื่องมือนั้นจึงถูกติดตั้งอยู่ในฐานของอัศวินแทน ความจริงที่ว่ามันถูกนํามาใช้งานก็หมายความว่าเรื่องนี้มีความสําคัญสูงสุดและม้าก็ยังมาถึงเมืองพอนด์ได้ภายใน 4 ชั่วโมงอีกด้วย

 

[ขอโทษครับแต่ผมคิดว่าตอนนี้มันช้าไปหน่อยในเมื่อเธอหนี้ไปแล้วและผมก็เชื่อว่านักผจญภัยพวกนั้นต่างหากล่ะที่น่าส ง สัย]

 

[อีสท์ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ]

 

[ใช่ครับ]

 

[ผมคิดว่าชื่อของเขาจะถูกล้างมลทินได้ถ้าพิสูจน์ได้ว่า พวกนักผจญภัยพวกนั้นทํางานร่วมกับโจรนั่น]

 

[นายพูดถูก! งั้นเราก็น่าจะ – ]

 

[เรากําลังดําเนินการอยู่ นี่เป็นข้อมูลลับนะแต่กองกําลังพิเศษถูกส่งไปหาพวกนักผจญภัยที่คุ้มกันลูกสาวของท่านเคานต์แล้ว]

 

อัศวินทั้งสองคนเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

 

[กะ กองกําลังพิเศษ? พวกเขาคือคนที่สู้อยู่ในแนวหน้าของสนามรบใช่ไหม]

 

[ยังไงเป้าหมายก็คือนักผจญภัยนิ ใครจะรู้ละว่าพวกเขาจะทําอะไรบ้างเพราะยังไงพวกนักผจญภัยก็ไม่สนใจในอํานาจอยู่แล้ว]

 

[แต่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ]

 

[ฟังนะ] ผู้สอบสวนพูดและเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ [พระราชา ท่านตามคดีนี้อยู่และผมก็ต้องรีบปิดการสอบสวนนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดและต้องรายงานไปยังเมืองหลวงด้วย พรุ่งนี้เช้าผมจะออกจากพอนด์แล้วเลยต้องรวบรวมข้อมูลที่จําเป็นให้ได้ทั้งหมดก่อน]

 

[อืม ]

 

[ผะ ผมเข้าใจ. ]

 

พวกเขาทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

[คําตัดสินของอีสท์จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมรวบรวมได้นี่ล่ะ พวกนักผจญภัยกับโจรทํางานร่วมกันไหม ท่านหญิงลาเวียฆ่าท่านเคานต์รึเปล่าและถ้านักฆ่ามาจากภายนอกจริง ๆ พวกคุณก็จะได้รับโทษประหารชีวิตเช่นกัน]

 

[อ๊ะ! ]

 

อัศวินคนที่อยู่กับอีสท์ในคืนนั้นหน้าซีดราวกับกระดาษ

 

[อะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้ ผมมีเมียมีลูกแล้วนะ!]

 

[เรื่องนั้นผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจแต่มันมีบางอย่างที่ไม่ชัดเจนในคําให้การของคุณและผมก็รู้สึกว่ามันมีความขัดแย้งกันอยู่ คุณจะอนุญาตให้ผมใช้เครื่องจับเท็จได้ไหมจะได้ดูว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริงรึเปล่าเพราะพวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เป็นผู้ต้ องสงสัยผมเลยต้องขอก่อน]

 

[ดะ ได้ นายก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหม]

 

[ครับ]

 

ผู้สอบสวนได้นําสิ่งที่ดูเหมือนปากกาแก้ววางลงบนโต๊ะ มันเป็นอุปกรณ์ที่มีเวทมนตร์ในการตรวจจับการโกหก

 

ชายทั้งสามคนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีคนกําลังเฝ้าดูการทดสอบทั้งหมดอยู่และนั่นก็คือ ฮิคารุผู้ที่แอบเข้ามาตั้งแต่ที่หญิงรับใช้มาเสิร์ฟชา เขาได้ฟังการสนทนาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เช้าวันถัดมา

 

กิลด์เปิดหลังจากพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานนัก ในช่วงฤดูหนาวสถานที่หลาย ๆ แห่งจะต้องเปิดในขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่ดังนั้นพนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จึงเกลียดการทํางานนี้ในตอนเช้าแต่ออโรร่านั้นต่างออกไปเธอเปิดกิลด์ได้โดยไม่กังวลมากนัก ในความเป็นจริงแล้วเธอชอบทํางานในตอนเช้ามากที่สุดเพราะจํานวนของนักผจญภัยยังมีไม่มากเท่าไหร่

 

[โอ้]

 

เด็กชายคนหนึ่งเข้ามาในกิลด์ทันทีที่กิลด์เปิด ตอนนี้ยังไม่มีนักผจญภัยอยู่แถว ๆ นั้นออโรร่าจึงพูดกับเขา

 

[มีเควสมาให้กิลด์หรอคะ]

 

เธอคิดว่าเขาเป็นลูกค้าเนื่องจากเขาดูเด็กเกินไปที่จะเป็นนักผจญภัย

 

[เปล่า ผมมารับเควส] เด็กชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งแสดงการ์ดของกิลด์ให้เธอดู

 

[อ่อ ขอโทษที่นะอื่ม… ฮิคารุซัง พอดีฉันไม่เคยเจอคุณมากอน]

 

[ไม่เป็นไร ผมเคยรับเควสแค่กับจิลซังกับกลอเรียซังเท่านั้น]

 

ออโรร่ารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าเขาเคยรับเควสจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของเธอแล้ว

 

[แล้วว่าแต่เธอคือ?]

 

[ฉันออโรร่าค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณนะคะ ]ออโรร่า พูดพร้อมทั้งโค้งคํานับ

 

[ผมเช่นกัน]

 

ฮิคารโค้งกลับไป วิธีที่เขาทํามันทําให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นแค่เด็กจริงๆ

 

[ผมหาเควสอยู่ครับออโรร่าซัง]

 

[ประเภทไหนคะ]

 

เด็กชายยิ้มอย่างรวดเร็ว

 

[บางอย่างเช่นการไปส่งของที่เมืองหลวงนะ ผมอยากเห็นที่นั่นสักครั้ง]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+