ข้ามเวลาล่าฝัน บทที่ 34
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน!ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34 ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34 ละครเวทีนั้นได้รับความนิยมน้อยกว่าพวกภาพยนตร์มาก เพราะสําหรับภาพยนตร์คุณอยากจะดูมันที่ไหนคุณก็สามารถดูได้ถูกกว่าบางครั้งก็เข้าใจง่ายกว่าด้วยเพราะเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ทําให้ละครเวทีกลายเป็นความบันเทิงที่มักถูกผู้คนมองข้าม บางคนตลอดชีวิตของพวกเขาไม่เคยดูละครเวทีเลย เพราะมันมีอะไรอย่างอื่นให้พวกเขาได้ดูมากมายเหลือเกินส่วน มากก็ภาพยนตร์แต่มิโซนั้นมั่นใจว่าแค่การเข้าชมครั้งเดียว ก็เพียงพอจะทําให้คนเข้าใจถึงความสนุกของละครเวที่ได้ ละครเวทีนั้นมีเสน่ห์ของตัวเองมันสนุกเรื่องนั้นไม่มีใครเถียงได้ มิโซหันมามองที่มารุเด็กหนุ่มนั้นรอบคอบกล้าหาญดูแลยากแล้วก็สับสนอย่างน้อย ๆ ก็สําหรับมิโซเธอไม่รู้หรอกว่าเด็กหนุ่มกําลังสับสนเรื่องอะไรเด็กหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นเท่าที่เธอเห็น เขาจะทํางานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จทุกครั้งไม่เคยมาเข้าชมรมสาย รวดเร็วและแม่นยําอย่างที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่เธอเคยทํางานด้วยเป็น
ใช่ผู้ใหญ่มารุนั้นทําตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ราวกับว่าเป็นมาตลอดชีวิต เขา ไปยุ่งเรื่องคนอื่นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยก้าวก่ายจนเกินเลยเขาไม่เคยโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจัดการปัญหาอย่างเยือกเย็นแถมยังมีแผนสํารองเสมอด้วยอย่างตอนที่ไปล่อให้ถูกต่อยที่หน้าโรงนั่นก็ใช่ มารุ… ไม่มีแรงผลักเขาอยู่ในช่วงวัยที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ช่วงวัยที่สามารถทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลให้มาก นั่นคือเหตุผลที่ทําให้ช่วงชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันช่างสดใสเพราะพวกเขาสามารถทําอะไรได้ตามใจอยากโดยไม่ต้องกังวลแต่มิโซไม่เห็นความสดใสนี้จากตัวมารุเลยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะคนเราต่างมีชีวิตของใครของมันมารุเองก็มีวิถีของตัวเอง ครั้งแรกที่มิโซได้เห็นมารุเธอรู้สึกได้ถึงความสมดุลเด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากพอจะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบราวกับโขดหินที่ไม่หวั่นกลัวพายุใด ๆ แน่นอนว่าเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ถึงเธอจะคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการตัดสินคนอื่นได้ดี มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อตัวเองอย่างเต็มที่เธอต้องคอยดูเด็กหนุ่มต่อไปด้วย อย่างน้อย ๆ ตอนนี้มิโซก็รู้ว่ามารุเป็นเด็กดีแถมยังค่อนข้างหัวแข็งสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ… “สมดลของเขา” มิโซได้แต่คิดว่าสมดุลของเขานี้คงช่วยเขาให้ดําเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในระยะยาวแต่สําหรับการแสดงนั้นนักแสดงต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อย ๆเพื่อปรับเข้ากับบทและตัวละครใหม่ ๆ มันเป็นความท้าทายการแสดงคือศิลปะแห่งการท้าทายในตัวเองอยู่แล้วซึ่งต่างกับตัวตนของมารุอย่างสิ้นเชิงเด็กหนุ่มจะมีความกล้ามากพอที่จะรับความท้าทายพวกนั้นไหม? “คิดมากไปอีกแล้วเรา มิโซส่ายหัวตัวเองเบา ๆ เพื่อขับไล่ความคิด ที่ออกมาจนมากเกินจําเป็นยิ่งตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่คิดจะขึ้นแสดงเลยด้วยซ้ําตอนนี้สิ่งที่เธออยากทําคือการทําให้เด็กหนุ่มหลงรักการแสดงให้ได้ก่อ “ฉันรู้ดีว่าเธอต้องชอบการแสดงแน่ ๆ “ฮ่าฮ่า” มิโซเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงหัวเราะตอนนี้นักแสดงกําลังเล่นมุกเกี่ยวกับหวยมารุนั้นหัวเราะออกมาตอนที่บทละครตั้งใจทําให้คนดูขํา ดูท่าคงจะดูละครเป็น มิโซมองลงไปที่ที่นั่งคนดู เหล่าคนดูต่างพากันกลั้นขําอย่างสุดความสามารถ คิดว่าการอํามันจะรบกวนสมาธินักแสดงเอามันช่วยไม่ได้หรอกมิโซเองตอนครั้งแรกที่ดูก็ทําตัวแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอนั่งดูอยู่แถวหน้าสุดแถวที่จะได้ยินและเห็นทุกท่วงท่าของนักแสดง อย่างชัดเจน ทั้งหยาดเหงื่อที่หยดไหลลงจากหน้าผากรวมไปถึงเสียงลม หายใจอันเหนื่อยหอบของนักแสดงตอนนั้นถ้าเธอพูดออกมานักแสดงคงจะได้ยินอย่างชัดเจนแน่ ๆ เพราะแบ บนั้นเธอถึงพยายามนั่งดูอย่างเงียบ ๆเท่าที่จะทําได้เธอกัดฟันเวลาอยากหัวเราะและหยิกขาตัวเองเวลาอยากจะร้อง ไห้ เพื่อน ๆ ของเธอเองก็เช่นกัน พวกเขา ต่างพากันนั่งดูอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นการกวนส มาธินักแสดง “จะว่าไป เจ้าบ้านั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นะ” เธอนึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่มที่หัวเราะออกมาเวลาดูฉากตลกและร้องไห้เวลาเจอฉากเศร้าตอนนั้นแค่เธอหันไปมองคนอย่างเขาก็ทําให้มีโซรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนแต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มเป็นคนดูที่ดีกว่าใครหน้าไหนในโรงละครนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มารุหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อยหลังเห็นการแสดงของนักแสดงคนหนึ่งบทเวทีมิโซเห็นได้ชัดเจนว่านักแสดงคนนั้นดูที่นเต้นกับเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเพราะการตอบสนองจากคนดูนั้นเป็นเชื้อ เพลิงอย่างดีสําหรับนักแสดงและยิ่งผู้ชมตอบรับการแสดงมากเท่าไหร่… “เอาล่ะ มาตัดสินกันว่าใครจะได้เงินนี้ ไป” เหล่านักแสดงจะยิ่งแสดงกันอย่างเร้าร้อนขึ้นมิโซโยนความคิดไร้สาระของเธอไปก่อนตอนนี้เธอไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนการแสดง เหล่านักแสดงดึงม่านลงหลังจบการแสดงทําให้ผู้ชมต่างปรบมือกันยกใหญ่ “ตอนนี้เริ่มถ่ายรูปได้แล้วค่ะขอให้ถ่ายกันเยอะ ๆ และช่วยโปรโมทคณะของเราให้ด้วยนะคะ” ในที่สุดช่วงเวลาถ่ายรูปก็มาถึงหลังแสงไฟในโรงถูกเปิดให้สว่างขึ้นเหล่าคนดูบ้างก็เริ่มถ่ายรูปกันอย่างแข็งขันบ้างก็กลับไปเฉย ๆ หญิงสาวที่ตอนแรกคอยแจกตั๋วตอนนี้ไปยืนแจกแบบสอบถามที่ทางออกแทน “ถ้านําแบบสอบถามกลับมาให้เราจะได้รับส่วนลดในการเข้าชมครั้งต่อไปนะคะจะร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์ก็ ได้ นับหมดค่ะช่วยตอบแบบสอบถามกันด้วยนะคะ” มีคนรับแบบสอบถามไปเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของคนดูทั้งหมด และครึ่งหนึ่งของคนที่ได้มันไป ก็โยนมันทิ้งลงถัง ขยะหน้าโรงทันที หญิงสาวหยิบกระดาษชุดที่ยังไม่ยับขึ้นมาจากถังด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้มีคนรับไปตั้ง 10 คน สถิติใหม่เลยนะ” สิบคนจากเจ็ดสิบ มันไม่ใช่จํานวนที่ มากมายเลย แต่ก็คงมากพอจะทําให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นได้ “เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม “สนุกดี ไม่ได้ดูมานานแล้ว” “นาน?” “อ่า ประมาณ 20…”
มารุกระแอมหนึ่งที่ก่อนจะกลับคําพูด “สองปี ไม่ได้ดูมาตั้งสองปี” “เมื่อกี้บอกว่า 20 ไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ใช่หรอกหูฝาดแล้ว” “อ่า ก็ได้ ตอนนี้โรงละครว่างเปล่าลงเรียบร้อย มิโซจึงเดินไปนั่งที่แถวหน้า มารุนั่งลงข้าง ๆ เธอหลังจากรอไม่นานเหล่านักแสดงก็เดินเข้ามาทักทายเธอ “รุ่นพี่ มาด้วยเหรอ? แถมเวลานี้เนี่ยนะ?” คนที่เข้ามาคุยด้วยคนแรกคือนักแสดง ที่เล่นบทพ่อ เหล่านักแสดงคนอื่น ๆ ก็ดูตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอเกือบทั้งหมดยกเว้นคนหนึ่ง “ย-ยินดีต้อนรับ” นักแสดงชายคนหนึ่งดูท่าทางเกร็งเอา มาก ๆ มิโซได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้เวลาสนิทกันไว้หน่อยแล้วมั้ง “พวกเธอดูท่าสบายดีกันนะ ละครสนุก มากเลย “แน่นอนสิ ก็รุ่นพี่สอนเรามาเองนี่ แต่ เอาจริง ๆ เลย มาทําไมเหรอ? มาเลี้ยงข้าวเรารึเปล่า?” “ถ้าจะมาเลี้ยงข้าวคงไม่มาตอนนี้ หรอก จริง ๆ แล้ว…” มิโซหันมามองมองรุ “อะไรเหรอ?” “อยากลองขึ้นไปไหม?” “ขึ้นไปไหน?” “บนเวที่แน่อยู่แล้วสิ” มิโซชี้ไปที่เวทีที่เหล่านักแสดงเพิ่งเล่ นกันจบไปเมื่อสักครู่ เหล่านักแสดงต่างพากันพยักหน้ารับและแหวกทางให้มารุ
“โดนหมายหัวสินะ?” “น่าสงสาร “พยายามเข้าล่ะ” เรื่องแบบนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก มารหันไปมองเหล่านักแสดง พวกเขาต่างพากันมานั่งลงที่ที่นั่งผู้ชมแล้ว… ใครจะแสดงล่ะ? “ไปสิ” มิโซยังคงไล่เขาขึ้นเวทีต่อไป โชคร้ายจริง ๆ มารุลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะต้องจําใจเดินขึ้นเวทีไปเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ พอเขาได้มายืนบนเวทีเวทีมันดูกว้างขึ้นถนัดตาที่นั่งคนดูเองก็ดูกว้างขึ้นด้วย “เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม “ใหญ่กว่าที่คิด “ใช่ไหมล่ะ? ตอนดูการแสดงมันดูแคบมากเลยใช่ไหม?” “ใช่” มิโซพยักหน้ารับ “การทําให้เวทีไม่ว่างน่ะ คืองานของเราถ้าเมื่อไหร่คนดูมองเวทีแล้วรู้สึกมันโล่ง ๆ ก็หมายความว่านักแสดงทํางานไม่ได้เรื่อง” “เหรอ” มารุเข้าใจมันทันที เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวทีโล่งเลยเวลาเขาดูละครเวทีในที่นี้หมายความว่ามิโซกําลังชื่นชมรุ่นน้องของเธออยู่นั่นเอง “งั้นก็” เธอเริ่มพูด มิโซโยนบทขึ้นไปให้มารุ ทําเขาต้องรับมันด้วยมือทั้งสองข้าง “ขอแสงด้วย” นักแสดงคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในห้องไฟทันทีโรงละครมืดลง และแสงไฟฉายลงไปที่ ๆ เขากําลังยืนอยู่ “อยากลองอ่านไหม?” มิโซถาม “ตรงนี้น่ะเหรอ?” “ใช่” มารหันไปมองที่บทนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เพื่อ?” “..ช่วยทําตามที่บอกหน่อยจะได้ไหม?” “ก็ต้องมีเหตุผลไง” “แต่ตอนอยู่โรงเรียนก็ทําตลอดนี่นา”
“เพราะนั่นมันกิจกรรมชมรมที่จะช่วยคนอื่นๆได้ฝึกนี่” เขารู้สึกซาบซึ้งที่เธอพาเขามาดูละครเขาไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วแต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขึ้นมาอ่านบทบนเวทีด้วยสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือมิโซอยากให้เขาทําเหลือเกิน “ไม่ยอมแพ้จริง ๆ นะ หือ? เจ้าเด็กมัธยมนี่” มิโซหันไปหาเหล่ารุ่นน้องโดยหวังว่าจะหาพวกแต่… “เยี่ยมมาก” “ใช่ ๆ ให้เธอได้รู้บ้าง” “สวยน้อง” พวกเขาคงถูกิมิโซกดขี่กันมามากพวกเขาหยุดตะโกนได้เพราะว่ามิโซคํารามเจ้าพวกบ้าน” เบา ๆ ในลําคอ “นี่ก็เป็นกิจกรรมชมรมเหมือนกัน” “แต่ผมเป็นผู้กํากับเวที” “งานของเธอคือการแสดงอารมณ์ที่ถูกต้องให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ เหตุผลแค่นี้พอไหม?” ไม่ มันไม่พอแต่มารุก็เปิดดูบทอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อยากจะเถียงกับเธอต่อเขาอยากรีบกลับไปที่โรงเรียนเร็ว ๆ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มอ่านประโยคแรก “มันเป็นเพราะเขา” ในที่สุดเขาก็เริ่มอ่านบทจนได้
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน!ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34
ละครเวทีนั้นได้รับความนิยมน้อยกว่าพวกภาพยนตร์มาก เพราะสําหรับภาพยนตร์คุณอยากจะดูมันที่ไหนคุณก็สามารถดูได้ถูกกว่าบางครั้งก็เข้าใจง่ายกว่าด้วยเพราะเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ทําให้ละครเวทีกลายเป็นความบันเทิงที่มักถูกผู้คนมองข้าม
บางคนตลอดชีวิตของพวกเขาไม่เคยดูละครเวทีเลย เพราะมันมีอะไรอย่างอื่นให้พวกเขาได้ดูมากมายเหลือเกินส่วน มากก็ภาพยนตร์แต่มิโซนั้นมั่นใจว่าแค่การเข้าชมครั้งเดียว ก็เพียงพอจะทําให้คนเข้าใจถึงความสนุกของละครเวที่ได้
ละครเวทีนั้นมีเสน่ห์ของตัวเองมันสนุกเรื่องนั้นไม่มีใครเถียงได้
มิโซหันมามองที่มารุเด็กหนุ่มนั้นรอบคอบกล้าหาญดูแลยากแล้วก็สับสนอย่างน้อย ๆ ก็สําหรับมิโซเธอไม่รู้หรอกว่าเด็กหนุ่มกําลังสับสนเรื่องอะไรเด็กหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นเท่าที่เธอเห็น เขาจะทํางานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จทุกครั้งไม่เคยมาเข้าชมรมสาย รวดเร็วและแม่นยําอย่างที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่เธอเคยทํางานด้วยเป็น
ใช่ผู้ใหญ่มารุนั้นทําตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ราวกับว่าเป็นมาตลอดชีวิต เขา ไปยุ่งเรื่องคนอื่นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยก้าวก่ายจนเกินเลยเขาไม่เคยโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจัดการปัญหาอย่างเยือกเย็นแถมยังมีแผนสํารองเสมอด้วยอย่างตอนที่ไปล่อให้ถูกต่อยที่หน้าโรงนั่นก็ใช่
มารุ… ไม่มีแรงผลักเขาอยู่ในช่วงวัยที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ช่วงวัยที่สามารถทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลให้มาก
นั่นคือเหตุผลที่ทําให้ช่วงชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันช่างสดใสเพราะพวกเขาสามารถทําอะไรได้ตามใจอยากโดยไม่ต้องกังวลแต่มิโซไม่เห็นความสดใสนี้จากตัวมารุเลยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะคนเราต่างมีชีวิตของใครของมันมารุเองก็มีวิถีของตัวเอง ครั้งแรกที่มิโซได้เห็นมารุเธอรู้สึกได้ถึงความสมดุลเด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากพอจะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบราวกับโขดหินที่ไม่หวั่นกลัวพายุใด ๆ
แน่นอนว่าเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ถึงเธอจะคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการตัดสินคนอื่นได้ดี มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อตัวเองอย่างเต็มที่เธอต้องคอยดูเด็กหนุ่มต่อไปด้วย
อย่างน้อย ๆ ตอนนี้มิโซก็รู้ว่ามารุเป็นเด็กดีแถมยังค่อนข้างหัวแข็งสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ…
“สมดลของเขา”
มิโซได้แต่คิดว่าสมดุลของเขานี้คงช่วยเขาให้ดําเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในระยะยาวแต่สําหรับการแสดงนั้นนักแสดงต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อย ๆเพื่อปรับเข้ากับบทและตัวละครใหม่ ๆ มันเป็นความท้าทายการแสดงคือศิลปะแห่งการท้าทายในตัวเองอยู่แล้วซึ่งต่างกับตัวตนของมารุอย่างสิ้นเชิงเด็กหนุ่มจะมีความกล้ามากพอที่จะรับความท้าทายพวกนั้นไหม?
“คิดมากไปอีกแล้วเรา
มิโซส่ายหัวตัวเองเบา ๆ เพื่อขับไล่ความคิด ที่ออกมาจนมากเกินจําเป็นยิ่งตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่คิดจะขึ้นแสดงเลยด้วยซ้ําตอนนี้สิ่งที่เธออยากทําคือการทําให้เด็กหนุ่มหลงรักการแสดงให้ได้ก่อ
“ฉันรู้ดีว่าเธอต้องชอบการแสดงแน่ ๆ
“ฮ่าฮ่า”
มิโซเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงหัวเราะตอนนี้นักแสดงกําลังเล่นมุกเกี่ยวกับหวยมารุนั้นหัวเราะออกมาตอนที่บทละครตั้งใจทําให้คนดูขํา
ดูท่าคงจะดูละครเป็น
มิโซมองลงไปที่ที่นั่งคนดู เหล่าคนดูต่างพากันกลั้นขําอย่างสุดความสามารถ คิดว่าการอํามันจะรบกวนสมาธินักแสดงเอามันช่วยไม่ได้หรอกมิโซเองตอนครั้งแรกที่ดูก็ทําตัวแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอนั่งดูอยู่แถวหน้าสุดแถวที่จะได้ยินและเห็นทุกท่วงท่าของนักแสดง อย่างชัดเจน ทั้งหยาดเหงื่อที่หยดไหลลงจากหน้าผากรวมไปถึงเสียงลม หายใจอันเหนื่อยหอบของนักแสดงตอนนั้นถ้าเธอพูดออกมานักแสดงคงจะได้ยินอย่างชัดเจนแน่ ๆ เพราะแบ บนั้นเธอถึงพยายามนั่งดูอย่างเงียบ ๆเท่าที่จะทําได้เธอกัดฟันเวลาอยากหัวเราะและหยิกขาตัวเองเวลาอยากจะร้อง ไห้
เพื่อน ๆ ของเธอเองก็เช่นกัน พวกเขา ต่างพากันนั่งดูอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นการกวนส มาธินักแสดง
“จะว่าไป เจ้าบ้านั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นะ”
เธอนึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่มที่หัวเราะออกมาเวลาดูฉากตลกและร้องไห้เวลาเจอฉากเศร้าตอนนั้นแค่เธอหันไปมองคนอย่างเขาก็ทําให้มีโซรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนแต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มเป็นคนดูที่ดีกว่าใครหน้าไหนในโรงละครนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
มารุหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อยหลังเห็นการแสดงของนักแสดงคนหนึ่งบทเวทีมิโซเห็นได้ชัดเจนว่านักแสดงคนนั้นดูที่นเต้นกับเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเพราะการตอบสนองจากคนดูนั้นเป็นเชื้อ เพลิงอย่างดีสําหรับนักแสดงและยิ่งผู้ชมตอบรับการแสดงมากเท่าไหร่…
“เอาล่ะ มาตัดสินกันว่าใครจะได้เงินนี้ ไป”
เหล่านักแสดงจะยิ่งแสดงกันอย่างเร้าร้อนขึ้นมิโซโยนความคิดไร้สาระของเธอไปก่อนตอนนี้เธอไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนการแสดง
เหล่านักแสดงดึงม่านลงหลังจบการแสดงทําให้ผู้ชมต่างปรบมือกันยกใหญ่
“ตอนนี้เริ่มถ่ายรูปได้แล้วค่ะขอให้ถ่ายกันเยอะ ๆ และช่วยโปรโมทคณะของเราให้ด้วยนะคะ”
ในที่สุดช่วงเวลาถ่ายรูปก็มาถึงหลังแสงไฟในโรงถูกเปิดให้สว่างขึ้นเหล่าคนดูบ้างก็เริ่มถ่ายรูปกันอย่างแข็งขันบ้างก็กลับไปเฉย ๆ หญิงสาวที่ตอนแรกคอยแจกตั๋วตอนนี้ไปยืนแจกแบบสอบถามที่ทางออกแทน
“ถ้านําแบบสอบถามกลับมาให้เราจะได้รับส่วนลดในการเข้าชมครั้งต่อไปนะคะจะร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์ก็ ได้ นับหมดค่ะช่วยตอบแบบสอบถามกันด้วยนะคะ”
มีคนรับแบบสอบถามไปเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของคนดูทั้งหมด และครึ่งหนึ่งของคนที่ได้มันไป ก็โยนมันทิ้งลงถัง ขยะหน้าโรงทันที หญิงสาวหยิบกระดาษชุดที่ยังไม่ยับขึ้นมาจากถังด้วยรอยยิ้ม
“คราวนี้มีคนรับไปตั้ง 10 คน สถิติใหม่เลยนะ”
สิบคนจากเจ็ดสิบ มันไม่ใช่จํานวนที่ มากมายเลย แต่ก็คงมากพอจะทําให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นได้
“เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม
“สนุกดี ไม่ได้ดูมานานแล้ว”
“นาน?”
“อ่า ประมาณ 20…”
มารุกระแอมหนึ่งที่ก่อนจะกลับคําพูด
“สองปี ไม่ได้ดูมาตั้งสองปี”
“เมื่อกี้บอกว่า 20 ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกหูฝาดแล้ว”
“อ่า ก็ได้
ตอนนี้โรงละครว่างเปล่าลงเรียบร้อย มิโซจึงเดินไปนั่งที่แถวหน้า มารุนั่งลงข้าง ๆ เธอหลังจากรอไม่นานเหล่านักแสดงก็เดินเข้ามาทักทายเธอ
“รุ่นพี่ มาด้วยเหรอ? แถมเวลานี้เนี่ยนะ?”
คนที่เข้ามาคุยด้วยคนแรกคือนักแสดง ที่เล่นบทพ่อ เหล่านักแสดงคนอื่น ๆ ก็ดูตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอเกือบทั้งหมดยกเว้นคนหนึ่ง
“ย-ยินดีต้อนรับ”
นักแสดงชายคนหนึ่งดูท่าทางเกร็งเอา มาก ๆ มิโซได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้เวลาสนิทกันไว้หน่อยแล้วมั้ง
“พวกเธอดูท่าสบายดีกันนะ ละครสนุก มากเลย
“แน่นอนสิ ก็รุ่นพี่สอนเรามาเองนี่ แต่ เอาจริง ๆ เลย มาทําไมเหรอ? มาเลี้ยงข้าวเรารึเปล่า?”
“ถ้าจะมาเลี้ยงข้าวคงไม่มาตอนนี้ หรอก จริง ๆ แล้ว…”
มิโซหันมามองมองรุ
“อะไรเหรอ?”
“อยากลองขึ้นไปไหม?”
“ขึ้นไปไหน?”
“บนเวที่แน่อยู่แล้วสิ”
มิโซชี้ไปที่เวทีที่เหล่านักแสดงเพิ่งเล่ นกันจบไปเมื่อสักครู่ เหล่านักแสดงต่างพากันพยักหน้ารับและแหวกทางให้มารุ
“โดนหมายหัวสินะ?”
“น่าสงสาร
“พยายามเข้าล่ะ”
เรื่องแบบนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก มารหันไปมองเหล่านักแสดง พวกเขาต่างพากันมานั่งลงที่ที่นั่งผู้ชมแล้ว… ใครจะแสดงล่ะ?
“ไปสิ”
มิโซยังคงไล่เขาขึ้นเวทีต่อไป โชคร้ายจริง ๆ มารุลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะต้องจําใจเดินขึ้นเวทีไปเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ
พอเขาได้มายืนบนเวทีเวทีมันดูกว้างขึ้นถนัดตาที่นั่งคนดูเองก็ดูกว้างขึ้นด้วย
“เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม
“ใหญ่กว่าที่คิด
“ใช่ไหมล่ะ? ตอนดูการแสดงมันดูแคบมากเลยใช่ไหม?”
“ใช่”
มิโซพยักหน้ารับ
“การทําให้เวทีไม่ว่างน่ะ คืองานของเราถ้าเมื่อไหร่คนดูมองเวทีแล้วรู้สึกมันโล่ง ๆ ก็หมายความว่านักแสดงทํางานไม่ได้เรื่อง”
“เหรอ”
มารุเข้าใจมันทันที เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวทีโล่งเลยเวลาเขาดูละครเวทีในที่นี้หมายความว่ามิโซกําลังชื่นชมรุ่นน้องของเธออยู่นั่นเอง
“งั้นก็” เธอเริ่มพูด
มิโซโยนบทขึ้นไปให้มารุ ทําเขาต้องรับมันด้วยมือทั้งสองข้าง
“ขอแสงด้วย”
นักแสดงคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในห้องไฟทันทีโรงละครมืดลง และแสงไฟฉายลงไปที่ ๆ เขากําลังยืนอยู่
“อยากลองอ่านไหม?” มิโซถาม
“ตรงนี้น่ะเหรอ?”
“ใช่”
มารหันไปมองที่บทนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“เพื่อ?”
“..ช่วยทําตามที่บอกหน่อยจะได้ไหม?”
“ก็ต้องมีเหตุผลไง”
“แต่ตอนอยู่โรงเรียนก็ทําตลอดนี่นา”
“เพราะนั่นมันกิจกรรมชมรมที่จะช่วยคนอื่นๆได้ฝึกนี่”
เขารู้สึกซาบซึ้งที่เธอพาเขามาดูละครเขาไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วแต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขึ้นมาอ่านบทบนเวทีด้วยสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือมิโซอยากให้เขาทําเหลือเกิน
“ไม่ยอมแพ้จริง ๆ นะ หือ? เจ้าเด็กมัธยมนี่”
มิโซหันไปหาเหล่ารุ่นน้องโดยหวังว่าจะหาพวกแต่…
“เยี่ยมมาก”
“ใช่ ๆ ให้เธอได้รู้บ้าง”
“สวยน้อง”
พวกเขาคงถูกิมิโซกดขี่กันมามากพวกเขาหยุดตะโกนได้เพราะว่ามิโซคํารามเจ้าพวกบ้าน” เบา ๆ ในลําคอ
“นี่ก็เป็นกิจกรรมชมรมเหมือนกัน”
“แต่ผมเป็นผู้กํากับเวที”
“งานของเธอคือการแสดงอารมณ์ที่ถูกต้องให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ เหตุผลแค่นี้พอไหม?”
ไม่ มันไม่พอแต่มารุก็เปิดดูบทอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อยากจะเถียงกับเธอต่อเขาอยากรีบกลับไปที่โรงเรียนเร็ว ๆ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มอ่านประโยคแรก
“มันเป็นเพราะเขา”
ในที่สุดเขาก็เริ่มอ่านบทจนได้
Comments
ข้ามเวลาล่าฝัน บทที่ 34
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน!ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34 ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34 ละครเวทีนั้นได้รับความนิยมน้อยกว่าพวกภาพยนตร์มาก เพราะสําหรับภาพยนตร์คุณอยากจะดูมันที่ไหนคุณก็สามารถดูได้ถูกกว่าบางครั้งก็เข้าใจง่ายกว่าด้วยเพราะเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ทําให้ละครเวทีกลายเป็นความบันเทิงที่มักถูกผู้คนมองข้าม บางคนตลอดชีวิตของพวกเขาไม่เคยดูละครเวทีเลย เพราะมันมีอะไรอย่างอื่นให้พวกเขาได้ดูมากมายเหลือเกินส่วน มากก็ภาพยนตร์แต่มิโซนั้นมั่นใจว่าแค่การเข้าชมครั้งเดียว ก็เพียงพอจะทําให้คนเข้าใจถึงความสนุกของละครเวที่ได้ ละครเวทีนั้นมีเสน่ห์ของตัวเองมันสนุกเรื่องนั้นไม่มีใครเถียงได้ มิโซหันมามองที่มารุเด็กหนุ่มนั้นรอบคอบกล้าหาญดูแลยากแล้วก็สับสนอย่างน้อย ๆ ก็สําหรับมิโซเธอไม่รู้หรอกว่าเด็กหนุ่มกําลังสับสนเรื่องอะไรเด็กหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นเท่าที่เธอเห็น เขาจะทํางานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จทุกครั้งไม่เคยมาเข้าชมรมสาย รวดเร็วและแม่นยําอย่างที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่เธอเคยทํางานด้วยเป็น
ใช่ผู้ใหญ่มารุนั้นทําตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ราวกับว่าเป็นมาตลอดชีวิต เขา ไปยุ่งเรื่องคนอื่นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยก้าวก่ายจนเกินเลยเขาไม่เคยโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจัดการปัญหาอย่างเยือกเย็นแถมยังมีแผนสํารองเสมอด้วยอย่างตอนที่ไปล่อให้ถูกต่อยที่หน้าโรงนั่นก็ใช่ มารุ… ไม่มีแรงผลักเขาอยู่ในช่วงวัยที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ช่วงวัยที่สามารถทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลให้มาก นั่นคือเหตุผลที่ทําให้ช่วงชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันช่างสดใสเพราะพวกเขาสามารถทําอะไรได้ตามใจอยากโดยไม่ต้องกังวลแต่มิโซไม่เห็นความสดใสนี้จากตัวมารุเลยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะคนเราต่างมีชีวิตของใครของมันมารุเองก็มีวิถีของตัวเอง ครั้งแรกที่มิโซได้เห็นมารุเธอรู้สึกได้ถึงความสมดุลเด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากพอจะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบราวกับโขดหินที่ไม่หวั่นกลัวพายุใด ๆ แน่นอนว่าเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ถึงเธอจะคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการตัดสินคนอื่นได้ดี มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อตัวเองอย่างเต็มที่เธอต้องคอยดูเด็กหนุ่มต่อไปด้วย อย่างน้อย ๆ ตอนนี้มิโซก็รู้ว่ามารุเป็นเด็กดีแถมยังค่อนข้างหัวแข็งสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ… “สมดลของเขา” มิโซได้แต่คิดว่าสมดุลของเขานี้คงช่วยเขาให้ดําเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในระยะยาวแต่สําหรับการแสดงนั้นนักแสดงต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อย ๆเพื่อปรับเข้ากับบทและตัวละครใหม่ ๆ มันเป็นความท้าทายการแสดงคือศิลปะแห่งการท้าทายในตัวเองอยู่แล้วซึ่งต่างกับตัวตนของมารุอย่างสิ้นเชิงเด็กหนุ่มจะมีความกล้ามากพอที่จะรับความท้าทายพวกนั้นไหม? “คิดมากไปอีกแล้วเรา มิโซส่ายหัวตัวเองเบา ๆ เพื่อขับไล่ความคิด ที่ออกมาจนมากเกินจําเป็นยิ่งตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่คิดจะขึ้นแสดงเลยด้วยซ้ําตอนนี้สิ่งที่เธออยากทําคือการทําให้เด็กหนุ่มหลงรักการแสดงให้ได้ก่อ “ฉันรู้ดีว่าเธอต้องชอบการแสดงแน่ ๆ “ฮ่าฮ่า” มิโซเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงหัวเราะตอนนี้นักแสดงกําลังเล่นมุกเกี่ยวกับหวยมารุนั้นหัวเราะออกมาตอนที่บทละครตั้งใจทําให้คนดูขํา ดูท่าคงจะดูละครเป็น มิโซมองลงไปที่ที่นั่งคนดู เหล่าคนดูต่างพากันกลั้นขําอย่างสุดความสามารถ คิดว่าการอํามันจะรบกวนสมาธินักแสดงเอามันช่วยไม่ได้หรอกมิโซเองตอนครั้งแรกที่ดูก็ทําตัวแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอนั่งดูอยู่แถวหน้าสุดแถวที่จะได้ยินและเห็นทุกท่วงท่าของนักแสดง อย่างชัดเจน ทั้งหยาดเหงื่อที่หยดไหลลงจากหน้าผากรวมไปถึงเสียงลม หายใจอันเหนื่อยหอบของนักแสดงตอนนั้นถ้าเธอพูดออกมานักแสดงคงจะได้ยินอย่างชัดเจนแน่ ๆ เพราะแบ บนั้นเธอถึงพยายามนั่งดูอย่างเงียบ ๆเท่าที่จะทําได้เธอกัดฟันเวลาอยากหัวเราะและหยิกขาตัวเองเวลาอยากจะร้อง ไห้ เพื่อน ๆ ของเธอเองก็เช่นกัน พวกเขา ต่างพากันนั่งดูอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นการกวนส มาธินักแสดง “จะว่าไป เจ้าบ้านั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นะ” เธอนึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่มที่หัวเราะออกมาเวลาดูฉากตลกและร้องไห้เวลาเจอฉากเศร้าตอนนั้นแค่เธอหันไปมองคนอย่างเขาก็ทําให้มีโซรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนแต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มเป็นคนดูที่ดีกว่าใครหน้าไหนในโรงละครนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มารุหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อยหลังเห็นการแสดงของนักแสดงคนหนึ่งบทเวทีมิโซเห็นได้ชัดเจนว่านักแสดงคนนั้นดูที่นเต้นกับเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเพราะการตอบสนองจากคนดูนั้นเป็นเชื้อ เพลิงอย่างดีสําหรับนักแสดงและยิ่งผู้ชมตอบรับการแสดงมากเท่าไหร่… “เอาล่ะ มาตัดสินกันว่าใครจะได้เงินนี้ ไป” เหล่านักแสดงจะยิ่งแสดงกันอย่างเร้าร้อนขึ้นมิโซโยนความคิดไร้สาระของเธอไปก่อนตอนนี้เธอไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนการแสดง เหล่านักแสดงดึงม่านลงหลังจบการแสดงทําให้ผู้ชมต่างปรบมือกันยกใหญ่ “ตอนนี้เริ่มถ่ายรูปได้แล้วค่ะขอให้ถ่ายกันเยอะ ๆ และช่วยโปรโมทคณะของเราให้ด้วยนะคะ” ในที่สุดช่วงเวลาถ่ายรูปก็มาถึงหลังแสงไฟในโรงถูกเปิดให้สว่างขึ้นเหล่าคนดูบ้างก็เริ่มถ่ายรูปกันอย่างแข็งขันบ้างก็กลับไปเฉย ๆ หญิงสาวที่ตอนแรกคอยแจกตั๋วตอนนี้ไปยืนแจกแบบสอบถามที่ทางออกแทน “ถ้านําแบบสอบถามกลับมาให้เราจะได้รับส่วนลดในการเข้าชมครั้งต่อไปนะคะจะร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์ก็ ได้ นับหมดค่ะช่วยตอบแบบสอบถามกันด้วยนะคะ” มีคนรับแบบสอบถามไปเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของคนดูทั้งหมด และครึ่งหนึ่งของคนที่ได้มันไป ก็โยนมันทิ้งลงถัง ขยะหน้าโรงทันที หญิงสาวหยิบกระดาษชุดที่ยังไม่ยับขึ้นมาจากถังด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้มีคนรับไปตั้ง 10 คน สถิติใหม่เลยนะ” สิบคนจากเจ็ดสิบ มันไม่ใช่จํานวนที่ มากมายเลย แต่ก็คงมากพอจะทําให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นได้ “เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม “สนุกดี ไม่ได้ดูมานานแล้ว” “นาน?” “อ่า ประมาณ 20…”
มารุกระแอมหนึ่งที่ก่อนจะกลับคําพูด “สองปี ไม่ได้ดูมาตั้งสองปี” “เมื่อกี้บอกว่า 20 ไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ใช่หรอกหูฝาดแล้ว” “อ่า ก็ได้ ตอนนี้โรงละครว่างเปล่าลงเรียบร้อย มิโซจึงเดินไปนั่งที่แถวหน้า มารุนั่งลงข้าง ๆ เธอหลังจากรอไม่นานเหล่านักแสดงก็เดินเข้ามาทักทายเธอ “รุ่นพี่ มาด้วยเหรอ? แถมเวลานี้เนี่ยนะ?” คนที่เข้ามาคุยด้วยคนแรกคือนักแสดง ที่เล่นบทพ่อ เหล่านักแสดงคนอื่น ๆ ก็ดูตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอเกือบทั้งหมดยกเว้นคนหนึ่ง “ย-ยินดีต้อนรับ” นักแสดงชายคนหนึ่งดูท่าทางเกร็งเอา มาก ๆ มิโซได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้เวลาสนิทกันไว้หน่อยแล้วมั้ง “พวกเธอดูท่าสบายดีกันนะ ละครสนุก มากเลย “แน่นอนสิ ก็รุ่นพี่สอนเรามาเองนี่ แต่ เอาจริง ๆ เลย มาทําไมเหรอ? มาเลี้ยงข้าวเรารึเปล่า?” “ถ้าจะมาเลี้ยงข้าวคงไม่มาตอนนี้ หรอก จริง ๆ แล้ว…” มิโซหันมามองมองรุ “อะไรเหรอ?” “อยากลองขึ้นไปไหม?” “ขึ้นไปไหน?” “บนเวที่แน่อยู่แล้วสิ” มิโซชี้ไปที่เวทีที่เหล่านักแสดงเพิ่งเล่ นกันจบไปเมื่อสักครู่ เหล่านักแสดงต่างพากันพยักหน้ารับและแหวกทางให้มารุ
“โดนหมายหัวสินะ?” “น่าสงสาร “พยายามเข้าล่ะ” เรื่องแบบนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก มารหันไปมองเหล่านักแสดง พวกเขาต่างพากันมานั่งลงที่ที่นั่งผู้ชมแล้ว… ใครจะแสดงล่ะ? “ไปสิ” มิโซยังคงไล่เขาขึ้นเวทีต่อไป โชคร้ายจริง ๆ มารุลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะต้องจําใจเดินขึ้นเวทีไปเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ พอเขาได้มายืนบนเวทีเวทีมันดูกว้างขึ้นถนัดตาที่นั่งคนดูเองก็ดูกว้างขึ้นด้วย “เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม “ใหญ่กว่าที่คิด “ใช่ไหมล่ะ? ตอนดูการแสดงมันดูแคบมากเลยใช่ไหม?” “ใช่” มิโซพยักหน้ารับ “การทําให้เวทีไม่ว่างน่ะ คืองานของเราถ้าเมื่อไหร่คนดูมองเวทีแล้วรู้สึกมันโล่ง ๆ ก็หมายความว่านักแสดงทํางานไม่ได้เรื่อง” “เหรอ” มารุเข้าใจมันทันที เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวทีโล่งเลยเวลาเขาดูละครเวทีในที่นี้หมายความว่ามิโซกําลังชื่นชมรุ่นน้องของเธออยู่นั่นเอง “งั้นก็” เธอเริ่มพูด มิโซโยนบทขึ้นไปให้มารุ ทําเขาต้องรับมันด้วยมือทั้งสองข้าง “ขอแสงด้วย” นักแสดงคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในห้องไฟทันทีโรงละครมืดลง และแสงไฟฉายลงไปที่ ๆ เขากําลังยืนอยู่ “อยากลองอ่านไหม?” มิโซถาม “ตรงนี้น่ะเหรอ?” “ใช่” มารหันไปมองที่บทนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เพื่อ?” “..ช่วยทําตามที่บอกหน่อยจะได้ไหม?” “ก็ต้องมีเหตุผลไง” “แต่ตอนอยู่โรงเรียนก็ทําตลอดนี่นา”
“เพราะนั่นมันกิจกรรมชมรมที่จะช่วยคนอื่นๆได้ฝึกนี่” เขารู้สึกซาบซึ้งที่เธอพาเขามาดูละครเขาไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วแต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขึ้นมาอ่านบทบนเวทีด้วยสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือมิโซอยากให้เขาทําเหลือเกิน “ไม่ยอมแพ้จริง ๆ นะ หือ? เจ้าเด็กมัธยมนี่” มิโซหันไปหาเหล่ารุ่นน้องโดยหวังว่าจะหาพวกแต่… “เยี่ยมมาก” “ใช่ ๆ ให้เธอได้รู้บ้าง” “สวยน้อง” พวกเขาคงถูกิมิโซกดขี่กันมามากพวกเขาหยุดตะโกนได้เพราะว่ามิโซคํารามเจ้าพวกบ้าน” เบา ๆ ในลําคอ “นี่ก็เป็นกิจกรรมชมรมเหมือนกัน” “แต่ผมเป็นผู้กํากับเวที” “งานของเธอคือการแสดงอารมณ์ที่ถูกต้องให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ เหตุผลแค่นี้พอไหม?” ไม่ มันไม่พอแต่มารุก็เปิดดูบทอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อยากจะเถียงกับเธอต่อเขาอยากรีบกลับไปที่โรงเรียนเร็ว ๆ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มอ่านประโยคแรก “มันเป็นเพราะเขา” ในที่สุดเขาก็เริ่มอ่านบทจนได้
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน!ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 34
ละครเวทีนั้นได้รับความนิยมน้อยกว่าพวกภาพยนตร์มาก เพราะสําหรับภาพยนตร์คุณอยากจะดูมันที่ไหนคุณก็สามารถดูได้ถูกกว่าบางครั้งก็เข้าใจง่ายกว่าด้วยเพราะเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ทําให้ละครเวทีกลายเป็นความบันเทิงที่มักถูกผู้คนมองข้าม
บางคนตลอดชีวิตของพวกเขาไม่เคยดูละครเวทีเลย เพราะมันมีอะไรอย่างอื่นให้พวกเขาได้ดูมากมายเหลือเกินส่วน มากก็ภาพยนตร์แต่มิโซนั้นมั่นใจว่าแค่การเข้าชมครั้งเดียว ก็เพียงพอจะทําให้คนเข้าใจถึงความสนุกของละครเวที่ได้
ละครเวทีนั้นมีเสน่ห์ของตัวเองมันสนุกเรื่องนั้นไม่มีใครเถียงได้
มิโซหันมามองที่มารุเด็กหนุ่มนั้นรอบคอบกล้าหาญดูแลยากแล้วก็สับสนอย่างน้อย ๆ ก็สําหรับมิโซเธอไม่รู้หรอกว่าเด็กหนุ่มกําลังสับสนเรื่องอะไรเด็กหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นเท่าที่เธอเห็น เขาจะทํางานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จทุกครั้งไม่เคยมาเข้าชมรมสาย รวดเร็วและแม่นยําอย่างที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่เธอเคยทํางานด้วยเป็น
ใช่ผู้ใหญ่มารุนั้นทําตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ราวกับว่าเป็นมาตลอดชีวิต เขา ไปยุ่งเรื่องคนอื่นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยก้าวก่ายจนเกินเลยเขาไม่เคยโกรธจนเลือดขึ้นหน้าจัดการปัญหาอย่างเยือกเย็นแถมยังมีแผนสํารองเสมอด้วยอย่างตอนที่ไปล่อให้ถูกต่อยที่หน้าโรงนั่นก็ใช่
มารุ… ไม่มีแรงผลักเขาอยู่ในช่วงวัยที่ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ช่วงวัยที่สามารถทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลให้มาก
นั่นคือเหตุผลที่ทําให้ช่วงชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันช่างสดใสเพราะพวกเขาสามารถทําอะไรได้ตามใจอยากโดยไม่ต้องกังวลแต่มิโซไม่เห็นความสดใสนี้จากตัวมารุเลยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะคนเราต่างมีชีวิตของใครของมันมารุเองก็มีวิถีของตัวเอง ครั้งแรกที่มิโซได้เห็นมารุเธอรู้สึกได้ถึงความสมดุลเด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากพอจะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบราวกับโขดหินที่ไม่หวั่นกลัวพายุใด ๆ
แน่นอนว่าเธออาจจะคิดไปเองก็ได้ถึงเธอจะคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการตัดสินคนอื่นได้ดี มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อตัวเองอย่างเต็มที่เธอต้องคอยดูเด็กหนุ่มต่อไปด้วย
อย่างน้อย ๆ ตอนนี้มิโซก็รู้ว่ามารุเป็นเด็กดีแถมยังค่อนข้างหัวแข็งสิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือ…
“สมดลของเขา”
มิโซได้แต่คิดว่าสมดุลของเขานี้คงช่วยเขาให้ดําเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในระยะยาวแต่สําหรับการแสดงนั้นนักแสดงต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อย ๆเพื่อปรับเข้ากับบทและตัวละครใหม่ ๆ มันเป็นความท้าทายการแสดงคือศิลปะแห่งการท้าทายในตัวเองอยู่แล้วซึ่งต่างกับตัวตนของมารุอย่างสิ้นเชิงเด็กหนุ่มจะมีความกล้ามากพอที่จะรับความท้าทายพวกนั้นไหม?
“คิดมากไปอีกแล้วเรา
มิโซส่ายหัวตัวเองเบา ๆ เพื่อขับไล่ความคิด ที่ออกมาจนมากเกินจําเป็นยิ่งตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่คิดจะขึ้นแสดงเลยด้วยซ้ําตอนนี้สิ่งที่เธออยากทําคือการทําให้เด็กหนุ่มหลงรักการแสดงให้ได้ก่อ
“ฉันรู้ดีว่าเธอต้องชอบการแสดงแน่ ๆ
“ฮ่าฮ่า”
มิโซเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงหัวเราะตอนนี้นักแสดงกําลังเล่นมุกเกี่ยวกับหวยมารุนั้นหัวเราะออกมาตอนที่บทละครตั้งใจทําให้คนดูขํา
ดูท่าคงจะดูละครเป็น
มิโซมองลงไปที่ที่นั่งคนดู เหล่าคนดูต่างพากันกลั้นขําอย่างสุดความสามารถ คิดว่าการอํามันจะรบกวนสมาธินักแสดงเอามันช่วยไม่ได้หรอกมิโซเองตอนครั้งแรกที่ดูก็ทําตัวแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอนั่งดูอยู่แถวหน้าสุดแถวที่จะได้ยินและเห็นทุกท่วงท่าของนักแสดง อย่างชัดเจน ทั้งหยาดเหงื่อที่หยดไหลลงจากหน้าผากรวมไปถึงเสียงลม หายใจอันเหนื่อยหอบของนักแสดงตอนนั้นถ้าเธอพูดออกมานักแสดงคงจะได้ยินอย่างชัดเจนแน่ ๆ เพราะแบ บนั้นเธอถึงพยายามนั่งดูอย่างเงียบ ๆเท่าที่จะทําได้เธอกัดฟันเวลาอยากหัวเราะและหยิกขาตัวเองเวลาอยากจะร้อง ไห้
เพื่อน ๆ ของเธอเองก็เช่นกัน พวกเขา ต่างพากันนั่งดูอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นการกวนส มาธินักแสดง
“จะว่าไป เจ้าบ้านั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นะ”
เธอนึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่มที่หัวเราะออกมาเวลาดูฉากตลกและร้องไห้เวลาเจอฉากเศร้าตอนนั้นแค่เธอหันไปมองคนอย่างเขาก็ทําให้มีโซรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนแต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มเป็นคนดูที่ดีกว่าใครหน้าไหนในโรงละครนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
มารุหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อยหลังเห็นการแสดงของนักแสดงคนหนึ่งบทเวทีมิโซเห็นได้ชัดเจนว่านักแสดงคนนั้นดูที่นเต้นกับเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเพราะการตอบสนองจากคนดูนั้นเป็นเชื้อ เพลิงอย่างดีสําหรับนักแสดงและยิ่งผู้ชมตอบรับการแสดงมากเท่าไหร่…
“เอาล่ะ มาตัดสินกันว่าใครจะได้เงินนี้ ไป”
เหล่านักแสดงจะยิ่งแสดงกันอย่างเร้าร้อนขึ้นมิโซโยนความคิดไร้สาระของเธอไปก่อนตอนนี้เธอไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนการแสดง
เหล่านักแสดงดึงม่านลงหลังจบการแสดงทําให้ผู้ชมต่างปรบมือกันยกใหญ่
“ตอนนี้เริ่มถ่ายรูปได้แล้วค่ะขอให้ถ่ายกันเยอะ ๆ และช่วยโปรโมทคณะของเราให้ด้วยนะคะ”
ในที่สุดช่วงเวลาถ่ายรูปก็มาถึงหลังแสงไฟในโรงถูกเปิดให้สว่างขึ้นเหล่าคนดูบ้างก็เริ่มถ่ายรูปกันอย่างแข็งขันบ้างก็กลับไปเฉย ๆ หญิงสาวที่ตอนแรกคอยแจกตั๋วตอนนี้ไปยืนแจกแบบสอบถามที่ทางออกแทน
“ถ้านําแบบสอบถามกลับมาให้เราจะได้รับส่วนลดในการเข้าชมครั้งต่อไปนะคะจะร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์ก็ ได้ นับหมดค่ะช่วยตอบแบบสอบถามกันด้วยนะคะ”
มีคนรับแบบสอบถามไปเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของคนดูทั้งหมด และครึ่งหนึ่งของคนที่ได้มันไป ก็โยนมันทิ้งลงถัง ขยะหน้าโรงทันที หญิงสาวหยิบกระดาษชุดที่ยังไม่ยับขึ้นมาจากถังด้วยรอยยิ้ม
“คราวนี้มีคนรับไปตั้ง 10 คน สถิติใหม่เลยนะ”
สิบคนจากเจ็ดสิบ มันไม่ใช่จํานวนที่ มากมายเลย แต่ก็คงมากพอจะทําให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นได้
“เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม
“สนุกดี ไม่ได้ดูมานานแล้ว”
“นาน?”
“อ่า ประมาณ 20…”
มารุกระแอมหนึ่งที่ก่อนจะกลับคําพูด
“สองปี ไม่ได้ดูมาตั้งสองปี”
“เมื่อกี้บอกว่า 20 ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกหูฝาดแล้ว”
“อ่า ก็ได้
ตอนนี้โรงละครว่างเปล่าลงเรียบร้อย มิโซจึงเดินไปนั่งที่แถวหน้า มารุนั่งลงข้าง ๆ เธอหลังจากรอไม่นานเหล่านักแสดงก็เดินเข้ามาทักทายเธอ
“รุ่นพี่ มาด้วยเหรอ? แถมเวลานี้เนี่ยนะ?”
คนที่เข้ามาคุยด้วยคนแรกคือนักแสดง ที่เล่นบทพ่อ เหล่านักแสดงคนอื่น ๆ ก็ดูตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอเกือบทั้งหมดยกเว้นคนหนึ่ง
“ย-ยินดีต้อนรับ”
นักแสดงชายคนหนึ่งดูท่าทางเกร็งเอา มาก ๆ มิโซได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้เวลาสนิทกันไว้หน่อยแล้วมั้ง
“พวกเธอดูท่าสบายดีกันนะ ละครสนุก มากเลย
“แน่นอนสิ ก็รุ่นพี่สอนเรามาเองนี่ แต่ เอาจริง ๆ เลย มาทําไมเหรอ? มาเลี้ยงข้าวเรารึเปล่า?”
“ถ้าจะมาเลี้ยงข้าวคงไม่มาตอนนี้ หรอก จริง ๆ แล้ว…”
มิโซหันมามองมองรุ
“อะไรเหรอ?”
“อยากลองขึ้นไปไหม?”
“ขึ้นไปไหน?”
“บนเวที่แน่อยู่แล้วสิ”
มิโซชี้ไปที่เวทีที่เหล่านักแสดงเพิ่งเล่ นกันจบไปเมื่อสักครู่ เหล่านักแสดงต่างพากันพยักหน้ารับและแหวกทางให้มารุ
“โดนหมายหัวสินะ?”
“น่าสงสาร
“พยายามเข้าล่ะ”
เรื่องแบบนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก มารหันไปมองเหล่านักแสดง พวกเขาต่างพากันมานั่งลงที่ที่นั่งผู้ชมแล้ว… ใครจะแสดงล่ะ?
“ไปสิ”
มิโซยังคงไล่เขาขึ้นเวทีต่อไป โชคร้ายจริง ๆ มารุลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะต้องจําใจเดินขึ้นเวทีไปเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ
พอเขาได้มายืนบนเวทีเวทีมันดูกว้างขึ้นถนัดตาที่นั่งคนดูเองก็ดูกว้างขึ้นด้วย
“เป็นไงบ้าง?” มิโซถาม
“ใหญ่กว่าที่คิด
“ใช่ไหมล่ะ? ตอนดูการแสดงมันดูแคบมากเลยใช่ไหม?”
“ใช่”
มิโซพยักหน้ารับ
“การทําให้เวทีไม่ว่างน่ะ คืองานของเราถ้าเมื่อไหร่คนดูมองเวทีแล้วรู้สึกมันโล่ง ๆ ก็หมายความว่านักแสดงทํางานไม่ได้เรื่อง”
“เหรอ”
มารุเข้าใจมันทันที เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวทีโล่งเลยเวลาเขาดูละครเวทีในที่นี้หมายความว่ามิโซกําลังชื่นชมรุ่นน้องของเธออยู่นั่นเอง
“งั้นก็” เธอเริ่มพูด
มิโซโยนบทขึ้นไปให้มารุ ทําเขาต้องรับมันด้วยมือทั้งสองข้าง
“ขอแสงด้วย”
นักแสดงคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในห้องไฟทันทีโรงละครมืดลง และแสงไฟฉายลงไปที่ ๆ เขากําลังยืนอยู่
“อยากลองอ่านไหม?” มิโซถาม
“ตรงนี้น่ะเหรอ?”
“ใช่”
มารหันไปมองที่บทนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“เพื่อ?”
“..ช่วยทําตามที่บอกหน่อยจะได้ไหม?”
“ก็ต้องมีเหตุผลไง”
“แต่ตอนอยู่โรงเรียนก็ทําตลอดนี่นา”
“เพราะนั่นมันกิจกรรมชมรมที่จะช่วยคนอื่นๆได้ฝึกนี่”
เขารู้สึกซาบซึ้งที่เธอพาเขามาดูละครเขาไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วแต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขึ้นมาอ่านบทบนเวทีด้วยสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือมิโซอยากให้เขาทําเหลือเกิน
“ไม่ยอมแพ้จริง ๆ นะ หือ? เจ้าเด็กมัธยมนี่”
มิโซหันไปหาเหล่ารุ่นน้องโดยหวังว่าจะหาพวกแต่…
“เยี่ยมมาก”
“ใช่ ๆ ให้เธอได้รู้บ้าง”
“สวยน้อง”
พวกเขาคงถูกิมิโซกดขี่กันมามากพวกเขาหยุดตะโกนได้เพราะว่ามิโซคํารามเจ้าพวกบ้าน” เบา ๆ ในลําคอ
“นี่ก็เป็นกิจกรรมชมรมเหมือนกัน”
“แต่ผมเป็นผู้กํากับเวที”
“งานของเธอคือการแสดงอารมณ์ที่ถูกต้องให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ เหตุผลแค่นี้พอไหม?”
ไม่ มันไม่พอแต่มารุก็เปิดดูบทอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่อยากจะเถียงกับเธอต่อเขาอยากรีบกลับไปที่โรงเรียนเร็ว ๆ เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มอ่านประโยคแรก
“มันเป็นเพราะเขา”
ในที่สุดเขาก็เริ่มอ่านบทจนได้
Comments