เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 104 นามของหนิงอี้

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 104 นามของหนิงอี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 104 นามของหนิงอี้

บนแท่นสูงมรณะ

ทุกคนเห็นแสงสว่างร้อนแรงจากภูเขาแดงไกลๆ สองฝั่งนั้น สว่างบนฟ้าเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ เหมือนเทพเจ้าลืมตากลางค่ำคืนมืดมิด

เกิดเสียงดังครึกโครม ทะเลสาบจิตของผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนยากจะสงบลง มองไกลๆ ทางนั้นของภูเขาแดง หน้าซีดขาวเล็กน้อย พูดงึมงำ “นี่คือ…ดวงตาของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณรึ”

นกกระจอกเงินที่นั่งหน้าสุดมองดวงตาคู่สว่างพร่างพราวคู่นั้น เส้นผมขาวอมเทาถูกสายลมพัดไปข้างหลัง อัจฉริยะหนุ่มที่มาจากโลกเทาคนนี้จับตัวหอก จิตใจถูกดวงตาเทพเจ้ายักษ์คู่นั้นสั่นสะเทือน แต่ไม่นานก็ใจเย็นลง พูดอย่างเย็นชา “เตรียมตัวให้พร้อม…จะมาถึงแล้ว”

เพราะห่างกันไกลมาก ผนวกกับดวงตาคู่นั้นแค่ปรากฏกลางฟ้ายามราตรีครู่เดียวก็หายไป ดังนั้นความรู้สึกกระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นจึงไม่รุนแรงเท่าอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น สิบคนที่รออยู่บนแท่นสูงมรณะต่างได้รับผลกระทบทางจิตใจบ้างมากบ้างน้อย

หนิงอี้ต่างกับพวกเขา

ในดวงตาเขาจุดประกายแปลกใจช้าๆ ทะเลสาบจิตของเขายากจะสงบลงได้เช่นกัน…แต่ไม่ใช่เพราะดวงตายักษ์นั้นของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณที่ลืมตาขึ้นเหนือศีรษะตน สร้างแรงกระทบกระเทือนต่อจิตใจตน

ทุกคนเห็นความเป็นเทพ ไม่กล้าเงยหน้า

หนิงอี้เห็นความเป็นเทพ เหมือนขนมหวาน

ความเป็นเทพคือยาบำรุงที่ดีที่สุดของหนิงอี้ รอพลังบำเพ็ญหนิงอี้สูงพอ เช่นนั้นแสงดารามากกว่านี้ก็ไม่อาจเติมเต็มความต้องการของเขาได้ สิ่งที่ทำให้เขาฝึกบำเพ็ญต่อไปได้มีเพียงความเป็นเทพ!

เด็กหนุ่มที่เงยหน้ามองดวงตายักษ์คู่นั้น ในลูกตาดำสะท้อนเป็นแสงสว่างสีแดงและขาวบนฟ้า ก่อนจะดับลงอย่างรวดเร็ว

หนิงอี้สังเกตเห็นความคุ้นเคยหนึ่งในความเป็นเทพของดวงตาคู่นั้น

“แดนประจิมมีสินค้าอย่างหนึ่ง…” เขาพูดพึมพำ เม้มริมฝีปาก ละสายตากลับจากบนฟ้าไปมองทางนั้นของภูเขาแดง ที่ราบกระดูกสั่นไหวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นความกระหายอย่างหนึ่ง

หนิงอี้เข้าใจหน่อยๆ แล้วว่าทางนั้นของภูเขาแดง สิ่งที่ส่งความเป็นเทพปลุกตื่นแดนต้องห้ามบุพกาลเป็นใครกันแน่…นอกจากนางแล้วยังมีใครอีก ส่วนสินค้าแดนประจิมที่พวกตนกำลังจะดักสกัดที่แท่นสูงมรณะ…คือคนนั้นที่จะลงมือสังหาร คือเด็กสาวความเป็นเทพในอารามรู้กรรม

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เขากวาดสายตามองทุกคนที่ตกอยู่ในห้วงความตกใจในความเป็นเทพ

นกกระจอกเงินยืนขึ้นช้าๆ เตรียมพุ่งลงจากแท่นสูงมรณะทุกเมื่อ

หนิงอี้ลูบหน้ากากหัวใจราชสีห์ เขาพยายามให้อารมณ์ตนใจเย็นลง ให้ตนรับมือได้กับทุกสถานการณ์ อย่าตื่นตระหนก…หากไม่มีอะไรผิดพลาด รถม้านั้นที่จะมาถึงจะแล่นมาจากภูเขาแดง พวกตนจะพุ่งเข้าไปสังหารอีกฝ่าย

ในขณะที่กำลังสงบใจลงนั้น หนิงอี้พลันรู้สึกถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง

หลังจากเขาใช้ความเป็นเทพปลอบที่ราบกระดูกหลายครั้งแล้ว ความดีใจและตื่นเต้นที่ ‘แยกจากกันนานและได้พบกันใหม่’ นั้นค่อยๆ หายไปในตันเถียน แต่ที่ราบกระดูกยังคงสั่นไหวไม่หยุด…

นี่เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง

ที่ราบกระดูกตรวจเจออันตรายที่ซ่อนอยู่ก่อน ใช้วิธีนี้เตือนหนิงอี้ว่าต้องระวังหลบเลี่ยง

“เจ้ากำลังเตือนให้ข้าระวังนกกระจอกเงินรึ” หนิงอี้ใช้เสียงที่มีเพียงตนได้ยินพูดเงียบๆ ในใจ “นี่เป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลย แต่ขอแค่ข้าออกมือเร็ว แม่นยำและโหด อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว จะช่วยเด็กสาวนั่นก็ไม่ถือว่ายาก”

ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสวีชิงเยี่ยน…หลี่ไป๋จิงแห่งแดนบูรพายิ่งไม่รู้ว่าตนรู้จัก ‘สินค้าแดนประจิม’

ที่ราบกระดูกยังคงสั่นไหว

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น

“ไม่ใช่นกกระจอกเงินรึ”

……

ทางเข้าภูเขาแดงมีทางแยกมากมาย ตอนออกมา เส้นทางไม่ราบเรียบ โคลงเคลงไม่มั่นคง

รถม้าธรรมดาไม่ฉูดฉาดแล่นบนเส้นทางภูเขาแดงช้าๆ ผู้บำเพ็ญแดนประจิมที่คุ้มกันรถม้านี้มีสีหน้าระมัดระวังอย่างยิ่ง ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมสามคนยังคงเงียบตลอดทาง ผนึกต้องห้ามของภูเขาแดงมีค่อนข้างเยอะ ราชวงศ์ต้าสุยใช้ค่ายกลไปไม่น้อยเพื่อกำราบแดนต้องห้ามบุพกาล แดนโบราณแห่งนี้ เล่าลือว่าเดิมทีเป็นแหล่งรวมปราณหยิน ปรากฏการณ์แปลกๆ มากมายก็อาจจะปรากฏที่นี่ได้

คนที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็คืออัจฉริยะโลกเทาที่อยู่หน้าสุด ผู้บำเพ็ญที่สวมชุดคลุมดำตัวใหญ่ดูเหมือนหลับตาพักผ่อน แต่ความจริงปล่อยแสงดาราของตน สำรวจสถานการณ์ระหว่างทาง พร้อมเปลี่ยนทิศทางทุกเมื่อ

“ผนึกต้องห้ามข้างหน้าแปลกๆ เราต้องเปลี่ยนเส้นทาง”

เขาพลันลืมตาขึ้น

ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมสามคนงุนงงเล็กน้อย ลงจากม้าทันที

ผู้บำเพ็ญโลกเทาย่อตัวลง บีบดินเลนชื้นบนพื้นก่อนพูดงึมงำ “ภูเขาแดงเป็นแดนต้องห้ามส่วนลึกสุดของเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ที่นี่อาจจะมีเผ่าปีศาจบุพกาลแข็งแกร่งอยู่ ข้าสู้ในโลกเทามาหลายปี คุ้นชินกับกลิ่นอายของเผ่าปีศาจมาก…”

ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพูดเสียงแหบ “ไม่ใช่ว่ารู้เส้นทางออกจากภูเขาแดงแน่นอนแล้วรึ”

ผู้บำเพ็ญโลกเทามีใบหน้าราบเรียบ ชำเลืองตามองผู้บำเพ็ญแดนบูรพาข้างหลัง “การเปลี่ยนแปลงต้องเร็วกว่าแผน เผ่าปีศาจบุพกาลปรากฏตัวไร้กฎเกณฑ์ ใครจะไปคาดการณ์ได้ทุกอย่าง”

เขาลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามตัว พูดขึ้น “ดินเลนที่นี่มีร่องรอยของยอดปีศาจผ่าน หากข้าเดาไม่ผิด อาจจะเป็นยอดปีศาจเก้าร้อยปี กระทั่งแกร่งกว่านั้น”

ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

ยอดปีศาจเก้าร้อยปี…เท่ากับผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตที่เก้า!

“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี”

“อ้อมไป” ผู้บำเพ็ญโลกเทาขมวดคิ้ว “หากไม่อยากเจอพวกมันก็ไม่มีทางเลือก”

เขามองใบหน้าขาวซีดของอีกสามคน ก่อนจะแค่นยิ้ม “อะไรกัน มีดีแค่นี้รึ ยอดปีศาจเก้าร้อยปีก็ตกใจกันขนาดนี้แล้ว ข้าเคยติดตามอาจารย์สังหารราชันปีศาจสามพันปีในโลกเทามาแล้วด้วยซ้ำ ไม่ได้กลัวอย่างพวกเจ้าเลย”

ผู้บำเพ็ญแดนประจิมกัดฟันพูด “แล้วจะไปอย่างไร”

ผู้บำเพ็ญโลกเทาเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนำม้วนหนังแกะโบราณออกมา เอ่ยเสียงเบา “เส้นทางออกจากภูเขาแดงมีเยอะมาก แต่ดูจากระดับความหนาแน่นของไอปีศาจแล้ว เราต้องอ้อมไปทางตะวันออก”

“ทางตะวันออกรึ” คนหนึ่งพูดด้วยความสงสัย “แท่นสูงมรณะหรือ”

ผู้บำเพ็ญโลกเทาตอบอืม

“องค์ชายรับสั่งไว้ว่า…มีหลายที่ห้ามผ่าน…” เขาเพิ่งพูดได้ครึ่งเดียวก็ถูกผู้บำเพ็ญโลกเทาขัดอย่างรำคาญ พูดเสียงเย็นๆ “หากเจ้ายึดมั่นจะไปตามทางเดิม เจอยอดปีศาจเก้าร้อยปี เจ้าจะสู้หรือหนี ต่อให้เจ้ารอดมาได้ สินค้าในรถม้านี่จะทำอย่างไร”

เงียบ

เด็กสาวที่นั่งในรถม้าฟังเสียงสนทนาข้างนอกเงียบๆ เสียงของผู้บำเพ็ญพวกนั้นไม่ได้หลบเลี่ยงตน แต่มองตนเป็นสินค้าจริงๆ

สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก

ในดวงตานางมีประกายแปลกๆ มองไกลไปนอกรถม้า

แท่นสูงมรณะ…ทิศทางที่นางสัมผัสได้ก่อนหน้านี้เหมือนจะเป็นแท่นสูงมรณะหรือ

…..

รถม้าเดินหน้าต่อไป

“ได้ยินว่าเจ้ามีชื่อเสียงในโลกเทามาก…” ผู้บำเพ็ญแดนประจิมคนหนึ่งพลันเอ่ยถาม “เจ้าเคยสังหารยอดปีศาจแปดร้อยปีรึ”

บุรุษที่นำหน้าสุดมีสีหน้าเกียจคร้าน แสงดาราเขากระจายไปข้างนอกตลอด เส้นทางในภูเขาแดงต้องระมัดระวัง จะเสียสมาธิไม่ได้ แต่มาถึงระดับอย่างเขา เบนความสนใจไปส่วนหนึ่ง การพูดคุยย่อมไม่มีปัญหา

บรรยากาศระหว่างทางตึงเครียดมาก เสียงลมเสียงนกกระสาร้อง

ผู้บำเพ็ญโลกเทาหยุดลง หรี่ตาลงจ้องผนังหิน พิจารณามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือมาดึงหญ้าป่าที่อยู่ในซอกหิน ยัดใส่ปากเคี้ยวอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถุย พ่นออกมา

ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมสามคนไม่เข้าใจการกระทำของเขา ได้แต่เข้าใจว่าเป็นวิธีการในสำนักของผู้บำเพ็ญโลกเทาคนนี้ ตามหาร่องรอยผ่านไอปีศาจ ใช้วิธีนี้เลี่ยงการเจอกับยอดปีศาจบุพกาล

ผู้บำเพ็ญโลกเทาหยุดอยู่พักหนึ่งก็เหมือนตั้งสติกลับมาได้ นึกถึงคำพูดของคนนั้น ก่อนตอบอย่างเฉยชา “เคยสังหารยอดปีศาจแปดร้อยปี แต่ไม่เท่าไรหรอก ข้ารู้แก่ใจดีว่าระหว่างข้ากับผู้บำเพ็ญสุดยอดพวกนั้นต่างกันเพียงใด”

คนนั้นถามต่อ “หมายความว่าอย่างไร”

อัจฉริยะโลกเทาชำเลืองตามองผู้บำเพ็ญแดนประจิมอย่างเย็นชา ภายนอกยิ้มแต่ในใจไม่ยิ้ม “เจ้ามาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ใดในแดนประจิม เขาอนันต์เล็กหรือตำหนักทะเลสาบกระบี่ ดูท่ายังไม่ถึงขอบเขตที่แปด…คงจะหมายตาตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาตนล่ะสิ จะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้เจ้าก้าวสู่ขอบเขตที่แปด ก็เทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริงเหนือหัวเจ้าไม่ได้ ข้าเจอบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งออกจากบ้านหลายคนในโลกเทา ไม่ถือว่าเก่งเท่าไร แต่สู้กับพลังบำเพ็ญเดียวกันได้ไร้พ่าย”

ผู้บำเพ็ญแดนประจิมคนนั้นมีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย

“ขอบเขตที่สิบคือธรณีประตูใหญ่ เก้าร้อยปีของเผ่าปีศาจก็เป็นธรณีประตูใหญ่เช่นกัน ข้าเคยสังหารยอดปีศาจแปดร้อยปี ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสังหารยอดปีศาจแปดร้อยปีทั้งหมดได้…ในเผ่าปีศาจบุพกาลมีปีศาจหิมะที่แข็งแกร่งมาก ตัวที่มีสายเลือดและพรสวรรค์ดีขึ้นมาหน่อย ฝึกอีกช่วงหนึ่งก็ก้าวสู่ขอบเขตเก้าร้อยปีได้ หากเจ้าเจอจริงๆ จะได้รู้ถึงความสิ้นหวังนั้น”

ผู้บำเพ็ญโลกเทาพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกเทา พวกนกกระจอกเงิน มังกรอัสนี ล้วนมีผลการรบที่สังหารยอดปีศาจแปดร้อยปีกันทั้งนั้น ฟังดูน่าเกรงขามมาก แต่น่าเสียดายหากวางในเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ได้ตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์”

ศิษย์แดนประจิมได้ยินดังนั้นก็ผ่อนคลายในใจลงเล็กน้อย

“ข้าก็คิดว่าอัจฉริยะโลกเทามีกำลังรบแข็งแกร่ง หยิบออกมาก็มีที่ยืนในรายนามดารา ตอนนี้ดูแล้ว…เหมือนจะไม่เท่าไรเลย” ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมพูดเย้ยเยาะ

“ไม่เท่าไรหรือ แกร่งกว่าเจ้าก็แล้วกัน” ผู้บำเพ็ญโลกเทายิ้มเยาะ “ถ้าใครไม่ยอมรับ เรามาลองดูกันได้ หากเจ้ารับข้าได้เกินสิบกระบวนท่า จะถือว่าเจ้าชนะ”

ศิษย์แดนประจิมเงียบ

“ข้าเคยประมือกับนกกระจอกเงิน หากเขาทะลวงพลัง บางทีอาจจะสู้กับระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ ตัวเลือกอย่างเจ้าอย่าเพ้อฝันเลย…หลังจบภารกิจนี้ ไปค่ายแดนประจิม รับทรัพยากรไปให้พอ ตามพลังบำเพ็ญให้ทัน บางทีอาจจะได้รับความสนใจจากฝ่าบาทในงานราชวงศ์ใหญ่ โอกาสเป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกรอย่างแท้จริงก็จะวางอยู่ตรงหน้าเจ้า”

อัจฉริยะโลกเทาลึกลับพูดอย่างเย็นชา “ส่วนรายนามดารา ก็แค่ของไร้ประโยชน์เท่านั้น…เยี่ยหงฝูกับเฉาหลันอยู่ที่สองกับสาม ใครจะไปคิดว่าผู้บำเพ็ญเขาสู่ซานหนิงอี้จะมีคุณสมบัติเป็นที่หนึ่ง”

สวีชิงเยี่ยนในรถม้าฟังเสียงของนางเงียบๆ เสียงคนค่อยๆ เบาลง

นางเพิ่งได้ยินนามของคนนั้น

นางกางฝ่ามือออก ใช้ปลายนิ้วเขียนสองคำเบาๆ

“หนิงอี้…”

มีเสียงตะโกนดังมาจากนอกรถม้า

“เอาละ!”

บุรุษที่เอ่ยจบทำหน้าตาสดชื่น พูดขึ้น “ข้างหน้าเป็นทางออกภูเขาแดงแล้ว”

ผู้บำเพ็ญแดนประจิมสามคนเรียกสติตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด