เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 117 หนึ่งกระบี่สวรรค์รังสรรค์

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 117 หนึ่งกระบี่สวรรค์รังสรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 117 หนึ่งกระบี่สวรรค์รังสรรค์

ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ

หนิงอี้เงยหน้าขึ้น เขาเพ่งมองฟ้าอย่างจริงจัง ชื่นชมทิวทัศน์ที่รวมเป็นภาพน้ำมันบนฟ้า

เมฆดำหนาแน่นกดอยู่บนที่ราบภูเขาแดง กดจนคนหายใจไม่สะดวก สายฝนและประกายสายฟ้าพัวพันกลางฟ้าดิน ยืนอยู่ที่นี่ รู้สึกว่าฟ้าดินยิ่งใหญ่ชีวิตเล็กจ้อย มักจะมีบางเรื่องที่เกินกำลังคน

อย่างเช่นชนะการต่อสู้ครั้งนี้

หนิงอี้ทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้แล้ว เขาลอกเศษเทพของผลึกราชาหัวใจราชสีห์ ใช้พินิจเหมันต์ออกกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ตนจะออกได้ในตอนนี้แล้ว

ทว่าผลลัพธ์ก็ยังไม่เหนือความคาดหมาย…แพ้แล้ว

ที่ราบกระดูกสั่นไหวอย่างรุนแรง อีกทั้งยังสั่นเร็วขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก

ศึกที่ตนควรสู้จบลงแล้ว

แต่สายฝนบนที่ราบภูเขาแดงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย กลับตกหนักยิ่งขึ้น ส่วนจะยืนหยัดได้อีกนานเท่าไร…ยืนหยัดถามสองสามคำถาม บางทีอาจจะยืนหยัดจนถึงตอนนั้นที่บางคนที่ตนนึกถึงตลอดในใจมาถึง

หานเยวียมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเฉยชา แต่มุมปากกับสีหน้าเผยไอมรณะออกมาแล้ว เขาจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หรืออาจจะยันกระบี่ยืน พายุฝนกระทบสุดทางที่ราบภูเขาแดง ไม่รู้ว่าที่ราบแห่งนี้มีภูเขาใหญ่ หินผาเก่าแก่เท่าไรที่ถูกสายฝนชะล้าง

เส้นทางแคบยาวนั้นห่างจากหนิงอี้ไม่ไกล หนึ่งเส้นอยู่กลางฟ้า หมอกวนเวียนบางๆ แสงดารายากจะสัมผัสได้ว่าภูเขาแดงข้างในซ่อนอะไรไว้ แต่สายฝนตกไปได้ แนบผ่านผนังหินสองข้างไกลเข้าไปในนั้น

พันปีร้อยปีล้วนเป็นเช่นนี้

สามกรมต้าสุยเฝ้าระวังเขตปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณอย่างเคร่งครัด เผ่าปีศาจบุพกาลของที่ราบสูงเทพสวรรค์ถูกล่ามาทุกยุค แต่พวกนั้นที่แกร่งที่สุดต่างอพยพไปหุบเขาวิญญาณร่วงหล่นรวมถึงในภูเขาแดงนี้เพื่ออยู่รอด

หนิงอี้พิงผนังหิน ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นหลายครั้ง เขายังคงควบคุมสายตาตนไม่ให้มองไปทางเส้นขอบฟ้าด้านข้างนั้นตลอด

หนิงอี้เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ข้าอยากถามเจ้าสองสามอย่าง”

หานเยวียตัดความคิดสุดท้ายของเขา ก่อนเอ่ยนิ่งๆ “ถามสองสามอย่างก็ได้…แต่หากเจ้าคิดจะหาโอกาสหนีเข้าภูเขาแดง ข้ารับรองว่าเจ้าอยู่รอดไม่เกินสามลมหายใจ อีกทั้งชีวิตนับจากนี้ เจ้าจะต้องเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนกับการกระทำบุ่มบ่ามหนีเข้าภูเขาแดง”

หนิงอี้ถอนหายใจเบา

เขาเอาสองมือกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ นั่งจ้ำเบ้ากับพื้น พูดเสียงเบา “หากตอนนั้นที่เมืองหลวง ข้าให้โลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่กับเจ้าหยดหนึ่ง…จะมีการต่อสู้ในวันนี้หรือไม่”

นี่เป็นเรื่องที่หนิงอี้หวาดกลัวในใจมาตลอด

การตกลงในโรงเตี๊ยมตอนนั้น บัณฑิตอ่อนแอวางมาดว่าตกลงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใจกว้างจะแลกทรัพยากรทะลวงขอบเขตที่สิบกับโลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่หนึ่งหยดของเขา…ถึงตอนนี้ ช่วงที่ ‘ฝุ่นละอองตกลง’ แล้ว หนิงอี้อยากรู้ว่าหานเยวียเตรียมล่าตนตั้งแต่ตอนนั้นหรือไม่

เงียบ

หานเยวียเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามาแดนอุดร ไม่ใช่แค่เพราะเจ้า…การจะได้โลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่ของเจ้าหยดเดียวมีเป็นพันเป็นหมื่นวิธี ให้เจ้ายอมเข้าหลอดแก้วแดนบูรพาข้าง่ายๆ ไฉนต้องมาเสียเวลากับเจ้าที่นี่ การต่อสู้ในวันนี้ ข้าใช้กระบี่รากมรณะ ร่างของกุมารเสียหายแล้ว เพื่อจับเจ้ากลับไป ข้าจ่ายไปค่อนข้างมากเลย เจ้าน่าจะภูมิใจได้”

หนิงอี้หัวเราะ เขาพูดเสียงแหบ “ข้ามาจากเขาสู่ซาน ศิษย์พี่หญิงคือพันกร เจ้าภูเขาคือลู่เซิ่ง เจ้าหานเยวียกล้าหล่อหลอม ไม่กลัวพันกรสังหารเจ้ารึ”

หานเยวียคลึงแก้ม ใบหน้าอาบเลือดนั้นถูกพายุฝนชะล้างสะอาด ค่อยๆ ขาวขึ้น ก็ยังน่าเกลียด แต่ท่าทีเฉยชาสงบนิ่ง ในแววตามีความเฉยเมยที่อยู่สูงส่ง มีลักษณะเหมือนเทพจุติสามส่วน

หานเยวียยิ้ม “เจ้าหมายความว่า…หากหล่อหลอมเจ้า ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมากรึ”

หนิงอี้เม้มริมฝีปากยิ้ม

หานเยวียพูดอย่างนุ่มนวล “หากพันกรล้างแค้นแทนเจ้า มาแดนบูรพาข้าง่าย แต่ออกไปไม่ง่าย ส่วนอยากได้ผลประโยชน์อะไรที่จับต้องได้ ก็ฝันไปเถอะ ส่วนเจ้าภูเขาสู่ซานลู่เซิ่งที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้นั่น…หนิงอี้ เจ้าคงไม่โง่ถึงกับเชื่อว่าเจ้าภูเขาสู่ซานนั่นจะทะลวงขีดจำกัดห้าร้อยปี ถอยไปหมื่นเก้าได้จริงๆ หรอกนะ ต่อให้ลู่เซิ่งยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ห้าร้อยปีมานี้ก็คงจะอยู่เหนือเมฆตลอด จะออกมือให้อาจารย์อาน้อยที่ไม่หนักไม่เบาอย่างเจ้าหรือ”

หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “มันก็ไม่แน่”

“เจ้าเป็นคนคนตัวเล็กๆ ในเมืองหลวง ต่อให้ได้รับแต่งตั้ง แต่สำหรับข้าก็เป็นแค่มดปลวก” เสียงหานเยวียมีความเย็นชาเสี้ยวหนึ่ง “ในเมืองหลวงข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้า แต่ที่นี่เป็นเขตต้องห้ามแดนอุดร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เทียบกับหล่อหลอมเจ้า ฆ่าเจ้า เรื่องที่มีผลร้ายแรงตามมายิ่งกว่า…ข้าทำมาไม่น้อยแล้วตลอดหลายปีมานี้ น่าเสียดายที่ไม่เคยเห็นกรรมตามทันเลย ข้าก็ยังอยู่ดี”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “คำถามสุดท้าย ข้าต้องตายแน่รึ”

หานเยวียพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ตาย แต่เป็นชีวิตนิรันดร์”

เขาไม่ชูด้ามกระบี่รูปคนหยินหยางขึ้นอีก แต่วางลงช้าๆ ปลายกระบี่รากมรณะกดบนที่ราบ

สายลมพัดภูเขาแดง ทุ่งหญ้าปลิวไสว

เสียงของหานเยวียอ่อนโยนขึ้นมา “หนิงอี้ เข้าหลอดแก้วของข้า…ลิ้มลองน้ำค้างในโลก จะไม่ต้องเจ็บปวดอีก”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าเหม่อลอยขึ้นมา

ในทะเลสาบจิต เหมือนได้ยินคำพูดอ่อนโยนของหานเยวีย ไม่ต่อต้านอีก

ความเย็นเยือกในตัวพลันหลอมละลาย

ไอชั่วร้ายเงามืดรอบกาย เดิมทีเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจที่สุดในโลก ตอนนี้หลั่งไหลเข้ามา แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่บังฝนบังลมให้หนิงอี้ บังพายุฝนในตัวให้เบาลง

ความเจ็บปวดในตัวหนิงอี้เหมือนจะน้อยลงมาก

ด้วยการขอให้หานเยวีย ‘ออกมือ’ ในที่สุดหนิงอี้ก็มีแรง

เขาปักกระบี่ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก เดินสองก้าวไปทางช่องแคบภูเขาแดง

จากนั้นถอนหายใจยาว

หนิงอี้หลับตาลง ไม่เดินหน้าอีก สองมือกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ ปักกระบี่ยาวที่ไม่กว้างและหนานี้ลงบนพื้นหญ้าตรงหน้า

หานเยวียหรี่ตาลง

“ชีวิตนิรันดร์…”

หนิงอี้หลับตาลง พูดสองคำนี้เบาๆ ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเล็กน้อย น้ำหนักของสองคำนี้ รวมหานเยวียเข้าไปด้วยกันก็ยากจะชั่งน้ำหนักได้ ถึงตอนนี้ คุยโวโอ้อวด คิดลอยๆ ปลอบใจตน เพราะอยากคุมจิตมรรคของตนหรือ

เสียงเขาเคร่งขรึมขึ้นมา เอ่ยทีละคำ “เป็นหรือตาย นี่เป็นคำถามหนึ่งนะ…หานเยวีย…ข้าเห็นด้วยกับสองคำที่เจ้าพูด เจ้าเป็นอันดับหนึ่งแดนบูรพา ข้าเป็นมดปลวกในเมืองหลวง”

เสียงของหนิงอี้ไม่มีการเย้ยเยาะตัวเอง แต่มีความหนักแน่น มีความรู้สึกเป็นพิธีการยิ่งใหญ่ เปิดออกกลางฝนตกหนัก ดังกึกก้อง

หนิงอี้พูดต่อ “แต่น่าเสียดาย มดปลวกในเมืองหลวงไม่อยากมีชีวิตนิรันดร์ และเขาก็ไม่อยากตาย เขาอยากมีชีวิตไปเช่นนี้”

หานเยวียที่ยืนตรงหน้าหนิงอี้พลันรู้สึกผิดปกติบางอย่าง

หนิงอี้ไม่เดินหน้าอีก และก็ไม่ขยับอีก

หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “คำพูดที่สอง วิชากระบี่เน้นการปลิดชีพในทีเดียว ไม่ได้เน้นความสวยงาม…คำพูดนี้ถูกต้องมากจริงๆ”

หนิงอี้ที่เอ่ยจบก็เอาตัวมาขวางหน้าช่องนั้นด้วยความบังเอิญและเหมือนไม่บังเอิญ ข้างหลังเขาเป็นหมอกภูเขาแดงของผนึกลอยล่อง เป็นไอวิญญาณแสงดาราหนาทึบยากจะสำรวจได้

นี่เป็นตำแหน่งที่ดีมาก

สองคนกับหนึ่งภูเขา เป็นเส้นตรงสายหนึ่ง

พูดให้ชัดๆ คือ…สามคนกับหนึ่งภูเขา เป็นเส้นตรงสายหนึ่ง

ในตันเถียนของหนิงอี้

ในที่สุดที่ราบกระดูกก็หยุดสั่นไหว

หลังหัวใจหนิงอี้มีสิ่งหนึ่งแนบเข้าไปอย่างอ่อนโยนและเชื่องช้า

นั่นเป็นฝ่ามือขาวหิมะ กลางฝ่ามือยังมีคราบเลือด และที่มากกว่านั้นคือความอบอุ่น หลังลูบเบาๆ ก็ชิดกับหลังหนิงอี้อย่างแน่วแน่

ความรู้สึกนี้อบอุ่นมาก ความรู้สึกนี้สบายมาก

สบายจน…ทำให้หนิงอี้พ่นลมหายใจเบาๆ

สบายจน…คมกระบี่พินิจเหมันต์จุดแสงสว่างมืดสลัวขึ้นอีกครั้ง

โลกนี้มีการพบกันอย่างหนึ่ง เหนือกว่าพันหมื่นคำพูด

เด็กสาวที่เดินทางไกลจนในที่สุดก็มาถึงที่นี่ ฝ่ามือแนบกับแผ่นหลังของหนิงอี้ แววตาต่างมีความตื้นตันใจที่ได้พบกันอีกครั้ง เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าตน ชุดคลุมสะบัด ขวางพายุฝนทั้งหมดไว้ข้างหน้าคนเดียว

เด็กสาวยืนในภูเขาแดง เด็กหนุ่มยืนนอกภูเขาแดง ระหว่างสองคนมีหมอกลอยล่องขวางอยู่

ฝ่ามือกับแผ่นหลังเป็นจุดเชื่อมเพียงหนึ่งเดียว คือสะพานระหว่างสองคน

สัญญาลับเช่นนี้เหนือกว่าคำพูด

เด็กสาวถามในใจเสียงเบา “คุณชายหนิงอี้…ต้องการให้ข้าทำเช่นนี้หรือ”

เหมือนได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่าย

หนิงอี้ยืนนอกภูเขาแดง พูดเสียงเบา

“ข้าต้องการ…”

หลังหยุดชะงักไปเล็กน้อย หนิงอี้ไม่ได้บอกว่าต้องการให้เด็กสาวทำอะไร แค่เอ่ยคำเดียว

“เจ้า”

คำพูดนี้ไม่ได้ผิด

หนิงอี้ต้องการสวีชิงเยี่ยน ต้องการทั้งหมดของนาง อย่างน้อยในช่วงเวลาสำคัญนี้ เขาต้องรับรองว่าเด็กสาวส่งความเป็นเทพมา ออกกระบี่นั้นแล้ว จะสร้างพลังที่ไม่อาจต่อต้านได้

ทว่าสวีชิงเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย นางตอบอืมเบาๆ

ฝ่ามือกดแผ่นหลัง

ความเป็นเทพไหลหลากออกมา

หนิงอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ

ในดวงตาเขามีประกายไฟลุกโชนขึ้น

……

ปราณหยินรอบตัวถูกปราณกระบี่ปักพื้นพัดกระจายไปรอบๆ

ทหารเงามืดที่รวมขึ้นจากหมอกเงามืดยังอยู่ในท่าแยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งออกมา หยุดค้างอยู่นอกหนิงอี้สามฉื่อ

บนคมกระบี่พินิจเหมันต์มีประกายไฟเดือดพล่าน ลุกโชตช่วงจากในไปสู่นอก

“วิชากระบี่เน้นการปลิดชีพในทีเดียว ไม่ใช่ความสวยงามยิ่งใหญ่…”

เกิดการสั่นไหวเบาๆ มาจากในตันเถียน

ความเป็นเทพของสวีชิงเยี่ยน นุ่มนวลและยิ่งใหญ่

เหมือนสวรรค์รังสรรค์

หนิงอี้ยืนบนที่ราบภูเขาแดง เขามองผ่านหญ้าน้ำค้างที่หมุนวนเต็มฟ้าและฝนตกหนัก

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดฝนถึงไม่มีทีท่าจะหยุด แต่ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ

เพราะทุกอย่างเพิ่งเริ่มเท่านั้น

ฝนตกหนัก

หนิงอี้พูดเสียงแหบ

“ข้ามีหนึ่งกระบี่…”

จากนั้นเขาพูดด้วยความแน่วแน่ ไม่มีลังเลใดๆ จิตสังหารเผยออกมา

“เชิญให้เจ้าไปตาย!”

เมื่อเอ่ยจบ

ฟ้าร้องเสียงดัง

หญ้าน้ำค้างหมุนวนออกไป หินภูเขาระเบิด

แสงเงินเล็กสายหนึ่งฟันออกจากคมกระบี่พินิจเหมันต์

เงามืดกลางฟ้าดินถูกเส้นเงินนี้ผ่าออก

ที่ราบนอกภูเขาแดง ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี หานเยวียที่คำรามด้วยความโกรธพร้อมกับพุ่งเข้าไปฟันกระบี่รากมรณะถูกแสงเงินระเบิดจมหายไป

……………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด