เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 123 ข้าราชาดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 123 ข้าราชาดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 123 ข้าราชาดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน

“ความรีบร้อนคือยันต์เร่งชีวิต”

…..

เหยี่ยวบินลงมาช้าๆ ลงบนต้นไม้โบราณที่ระเบิดต้นนั้น แววตาครุ่นคิด มันจ้องจักจั่นไหม้เกรียมตัวนั้น เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อ…เผ่าปีศาจก็มียอดปีศาจที่เป็นจักจั่นเช่นกัน ตัวอ่อนเช่นนี้ปรากฏในช่วงเวลานี้น้อยมาก หากไม่เกิดจิตวิญญาณ ก็จะเป็นเพียงสัตว์ ไม่ใช่ปีศาจ หากไม่ใช่ปีศาจก็ไม่อาจพลิกฟ้าเดินหน้า มีอายุขัยเกินกว่าช่วงชีวิตของตนได้

ในภูเขาแดงกลับกำเนิดสิ่งมีชีวิตผิดปกติเช่นนี้หรือ

มันเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายตนอย่างสับสน

ยอดปีศาจหนุ่มหรี่ตาลง ยื่นมือมาข้างหนึ่ง ลูบด้ามดาบเรียบทองอมแดงของตนช้าๆ พูดงึมงำ “ล่าวารี เล่มนี้ของข้าสัมผัสได้ถึงไอปีศาจในระยะโดยรอบร้อยลี้ หากเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าหัวเมืองธารน้ำบอกจริงๆ ‘ราชสีห์ขาว’ เล่มนั้นในภูเขาแดงจะปรากฏตามการแดนต้องห้ามบุพกาล ตอนนี้ข้าคงรู้สึกได้แล้ว”

เหยี่ยวงุนงง

ยอดปีศาจหนุ่มพูดพึมพำต่อ “แต่ว่า…ไม่น่าใช่ มหาปราชญ์เผ่าปีศาจโบราณในประวัติศาสตร์พวกนั้น บันทึกของทุกท่านละเอียดมาก ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณสิ้นชีพในเขตต้องห้ามนี้ ส่วนลึกสุดของภูเขาแดงปักดาบยาวราชสีห์ขาวที่เขารักมากที่สุดตอนมีชีวิต สุสานของเขาร้างไปแล้ว ค่ายกลเสียหายเป็นส่วนใหญ่ แดนต้องห้ามบุพกาลเปิด เหตุใดข้ายังไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายตอนมีชีวิตของปราชญ์ปีศาจท่านนี้”

ยอดปีศาจหนุ่มเข้าสู่ห้วงความคิด เขาใช้นิ้วโป้งดันด้ามดาบล่าวารีออกโดยไม่รู้ตัว ดันออกมาหนึ่งชุ่น ปิดหนึ่งชุ่น ดันออกหนึ่งชุ่น ปิดหนึ่งชุ่น ผู้เฒ่าใต้ฟ้าพยากรณ์คนนั้นที่หัวเมืองธารน้ำเคยบอกเขาว่า การเลี้ยงดาบพยายามให้อยู่ระหว่างดันและดึง ต้องเห็นฝีมือแท้จริงในความละเอียดอ่อน ท่านพ่อฝากมรดกไว้ให้เขามากมาย ตอนนี้เขานำมาได้แค่ล่าวารี ระดับไม่ต่ำ แต่ไม่ถือว่าอยู่ในกลุ่มระดับสูงสุด…

เด็กหนุ่มนั่นที่ปะทะคมกันก่อนหน้านี้ พลังบำเพ็ญถูกตนกด ก็ยังอาศัยพลังภายนอกมาต้านการโจมตีไว้ กระบี่นั่นในมือ ระดับค่อนข้างสูงเลย สูงกว่าล่าวารีราวครึ่งหนึ่ง หากพลังบำเพ็ญเท่ากัน สองฝ่ายคุมเชิงกัน เขาก็อาจจะเสียเปรียบในเรื่องอาวุธได้

แดนต้องห้ามปราชญ์ปีศาจเปิดออก เขากำลังรอโอกาสออกมือ ผู้เฒ่านั่นแห่งหัวเมืองธารน้ำให้ถุงลวดลายสวยงามเขาไว้ใบหนึ่ง ในนั้นซ่อนความลับสวรรค์ หากเปิดออกก็จะทำลายปราการสองแดน ทำให้ดวงจิตของผู้เฒ่านั่นข้ามมา อาศัยแสงสว่างในพริบตาเดียว

ยอดปีศาจหนุ่มนึกถึงผลลัพธ์ไม่ออก แต่ในใจปีศาจของเขากลับรู้สึกถึงอันตรายลับๆ

เขานำถุงสวยงามสีม่วงที่แกะสลักสัตว์ประหลาดนั้นออกมา นิ้วมือลูบผ้าเบาๆ เหมือนลังเลว่าจะเปิดตอนนี้หรือไม่ เพื่อถามดูสักหน่อย…ผู้เฒ่าแห่งหัวเมืองธารน้ำท่านนั้น พลังบำเพ็ญไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือนิพพานคนใดในใต้ฟ้าต้าสุย ครั้งนี้ให้ตนมาดึงราชสีห์ขาว จึงให้ถุงเอาตัวรอดที่ล้ำค่ายิ่งนี้ไว้

นี่เป็นเหตุผลที่เขาเผชิญหน้ากับหานเยวียและยังมีความมั่นใจเช่นนี้ได้

ยอดปีศาจหนุ่มรู้ตัวเองว่าตนมีความมั่นใจที่สู้กับทุกคนในรุ่นเยาว์ต้าสุยได้ แต่ที่นี่จำกัดพลังบำเพ็ญทุกคน ไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบ ไฉนจะต้องใช้กระเป๋าสวยงามนี่ด้วย การดึงราชสีห์ขาวครั้งนี้ เขาไม่สนใจระดับของดาบนั่น แต่อยากได้อาวุธที่เหมาะสมกับตนที่บิดาให้ไว้มากกว่า เพียงแต่ตรึกตรองดูดีๆ แล้ว ด้วยฐานะของผู้เฒ่านั่นแห่งหัวเมืองธารน้ำ จะไปยอมลดเกียรติใช้อาวุธเทพชีวิตที่ยอดปีศาจอื่นหล่อหลอมได้อย่างไร

เหยี่ยวตบสองปีกบินขึ้นไปใจกลางฟ้า

ยอดปีศาจหนุ่มเงยหน้าตามจิตใต้สำนึก หรี่ตาลง มองช่องแคบเล็กนั้นบนภูเขาแดง

ฝนตกหนักบนฟ้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เหมือนจะรวมกันลับๆ ทิศทางหนึ่งของภูเขาแดงเป็นใจกลาง

ยอดปีศาจหนุ่มพลันนึกไปถึงเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมานานในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ใบหน้าจริงจังขึ้นทีละนิด เหมือนเข้าใจเหตุผลที่ฝนตกหนักขนาดนี้

ในดวงตาเขามีความไม่แน่ใจขึ้นมา

เขาหยุดการดันล่าวารี ยันต์ภาพที่แกะสลักบนดาบเรียบทองอมเงินนั้นหมายถึงอิทธิฤทธิ์ร่างจริงของตน ตอนนี้ขยับแสงลับๆ ในความคิดยอดปีศาจกิเลน นำผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ ฝนตกหนักภูเขาแดง รวมถึงมหาปราชญ์เผ่าปีศาจท่านนั้นที่อยู่ริมสุดทะเลพลิกผัน พร้อมจะพุ่งทะลวงผิวทะเลไปโลกมนุษย์ต้าสุยตลอดเวลา ผูกทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ยอดปีศาจหนุ่มพูดเสียงเบา

“แขกวารี…”

แขกวารี

เหยี่ยวได้ยินสองคำนี้ก็รู้สึกแปลกหูมาก ไม่เข้าใจนิด

ยอดปีศาจหนุ่มมีสีหน้าแปลกประหลาด รู้สึกเหลือเชื่อ

“หรือว่าจะเป็นความจริง”

……

ละอองน้ำกระจาย

ยากจะจินตนาการได้ว่าสุสานใต้ดินที่นี่จะมีไอน้ำมากขนาดนี้

ไอวิญญาณแสงดารามีการแบ่งเป็นห้าธาตุ ทองไม้น้ำไฟดิน ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณไม่ได้ฝึกวิถีวารี นี่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้ ยอดปีศาจโบราณท่านนี้ไม่ถือว่าเป็นคนอารมณ์ร้ายอะไร แต่สำหรับใต้ฟ้าเผ่ามนุษย์ เหมือนจะมีความปรารถนาในการสำรวจแรงกล้า ในยุคเมื่อนานมาแล้ว อยู่ในเขตชายขอบมาตลอด แต่ติดที่ผนึกแก่กล้าของทะเลพลิกผันทำให้ก้าวมาไม่ได้ สุดท้ายก่อนตายได้ใช้พลังมหาศาล ลองทำศึกทะลวงพลัง น่าเสียดายที่สิ้นชีพลงที่นี่

หรือจะเป็นเพราะไม่ได้ฝึกวิถีวารี ถึงไม่อาจฝ่าทะเลพลิกผันได้

แต่ทุกคนรู้ว่า…สำหรับผู้บำเพ็ญปีศาจระดับอย่างปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ น้ำทะเลที่ผนึกแสงดาราใช้พลังจิตเลี่ยงได้ง่ายๆ ขอแค่เขายินดี เช่นนั้นทะเลพลิกผันจะแหวกทางให้เขา

สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว นางพิจารณามองผนังหินตรงหน้า

บนผนังหินแกะสลักอักขระเก่าแก่และเข้าใจยาก ไม่เหมือนอักขระของผู้บำเพ็ญปีศาจ แต่เหมือนยันต์ลูกอ้อดมากกว่า นางไม่รู้จัก

“ข้าราชันดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน”

เสียงแหบแห้งดังมาจากข้างหลังนาง

สวีชิงเยี่ยนหันไปมอง หนิงอี้ปักกระบี่ยืนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หน้าซีดขาวของเขาดีขึ้นหลายส่วน มองผนังหินตรงหน้าพลางพูดเสียงเบา “นี่เป็นของราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดร…ยังจำได้หรือไม่ เขตที่ใหญ่ที่สุดในเขตต้องห้ามนี้คือที่ราบสูงเทพสวรรค์”

สวีชิงเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย

หนิงอี้พูดต่อ “ราชาหัวใจราชสีห์เคยทำศึกที่แดนอุดร ขับไล่เผ่าปีศาจถอยไป ก้นทะเลพลิกผันกลายเป็นโลก กองทหารม้าเหล็กของเขาเหยียบข้ามที่ราบกว้างใหญ่นอกแท่นสูงเผ่ามนุษย์ ผลการรบในนั้นเป็นที่เลื่องลือ เหมือนเทพสวรรค์มาเยือนโลกมนุษย์…ดังนั้นต่อให้เป็นตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญปีศาจที่มีเจตนาร้ายต่อเผ่ามนุษย์ ก็ยังเรียกที่ราบแห่งนี้ระหว่างสองเผ่าว่าที่ราบสูงเทพสวรรค์”

“ราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรเมื่อสองพันปีก่อน กองทหารม้าเหล็กใต้บัญชา ไปที่ใดจะฝากร่องรอยไว้ บางทีอาจจะตะโกนเสียงดังว่า ‘ข้าราชาหมื่นปี’ หรือฝากเป็นคำว่า ‘ดวงชะตายุทธ์รุ่งเรือง’ หรือ ‘ข้าราชันดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน’”

หนิงอี้ยิ้ม ก่อนพูดอย่างเหนื่อยล้า “ร่องรอยการบันทึกในช่วงเวลาต่างกัน อย่างแรกเป็นหลังเอาชนะเผ่าปีศาจได้ชัยชนะครั้งใหญ่ อย่างหลังเป็นตอนที่สองเผ่าทำศึกกัน อันนั้นตรงกลางเกิดจากสองกองทัพคุมเชิงกัน ยังไม่เริ่มสงคราม ส่วนใหญ่จะเห็นบนกำแพงเมืองเก่าในแดนเหนือ หรือสิ่งของที่โชคดีรอดจากพายุหิมะสองพันปีมาได้”

สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก ถามด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง ลูบอักขระแถวนั้นบนผนังหิน พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยอ่านคัมภีร์มาบ้าง…ไม่ใช่ว่าข้าจะเข้าใจจักรพรรดิทุกองค์ของต้าสุย เพียงแต่ท่านนี้ไม่เหมือนกัน”

“ข้าราชาดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน…”

หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ผนังหินนี้เคยถูกกองกำลังของราชาหัวใจราชสีห์ยึดครอง ดูท่าสงครามเมื่อสองพันปีก่อนนั้นคงสู้กันอย่างยิ่งใหญ่ เจตจำนงกระบี่ที่เหลืออยู่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายไป ภูเขาแดงที่นี่ถูกสามกรมต้าสุยยึดครองมานาน เกรงว่าคุณความดีส่วนใหญ่คงต้องยกให้การรบอันรุ่งโรจน์ของราชาหัวใจราชสีห์ตอนนั้น

บนที่ราบกว้างใหญ่นั้น เคยมีกองทหารม้าเหล็กนับไม่ถ้วนวิ่งผ่าน ติดตามบุรุษคนนั้น…หนิงอี้อดนึกถึงหน้ากากหัวใจราชสีห์ที่เคยเห็นในโลงศพนั้นไม่ได้ ผลึกความเป็นเทพของราชาแดนเหนือท่านนี้ ตอนนี้ยังอยู่ในตันเถียนของตน

“ละอองน้ำที่นี่หนามาก…ข้าว่าแปลกๆ” สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก มองม่านน้ำข้างนอกพลางพูดด้วยความฉงน “ข้าไม่เข้าใจการบำเพ็ญ ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นยอดปีศาจที่ฝึกวิถีวารีหรือ”

“ไม่ใช่” หนิงอี้ส่ายหน้า

เขาเองก็สงสัยในจุดนี้เหมือนกัน

“ร่างจริงของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นราชสีห์เก้าหัว สายเลือดของเผ่านี้หาได้ยากมาก ทำศึกแทบจะไร้พ่าย ไม่มีทางฝึกวิถีวารี” หนิงอี้ขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกย้อนกลับไป “เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ฟังสวีจั้งเล่าเรื่องหนึ่ง…”

เขาหยิบพินิจเหมันต์ขึ้น คมกระบี่ลากผ่านม่านน้ำ ดีดม่านน้ำลอยขึ้น

ตรงหน้าเป็นเส้นทางเก่าแก่มืดครึ้ม แม้จะเตี้ย แต่ก็ไม่แคบ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เท่าไร ดูท่ากองกำลังราชาหัวใจราชสีห์คงไม่ได้ทำลายข้าวของที่นี่

หลังเปิดม่านน้ำก็เป็นเส้นทางแตกลอยบนน้ำ หินแตกก้อนใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้ำ มุ่งไปสู่ที่ใดไม่รู้

หินผายักษ์สองก้อนขวางเส้นทางซ้ายขวา กระแสน้ำถูกกดดันลงต่ำมาก ไหลเชี่ยวกราก หากลงไปก้นน้ำน่าจะสำรวจได้…เพียงแต่ว่าหนิงอี้ไม่มีความคิดนี้เลย แม่น้ำวนนั้นของหลังเขาสู่ซานทำให้เขาลำบากมาก หากตกไปกลางแม่น้ำยมโลกที่ผนึกแสงดารา ด้วยสภาพเขาตอนนี้คงไม่มีทางรอด มิหนำซ้ำยังพาสวีชิงเยี่ยนที่ไร้เรี่ยวแรงมาอีก

“สวีจั้ง…”

สวีชิงเยี่ยนพูดนามนี้เบาๆ พลันนึกไปถึงวันนั้น บุรุษสวมงอบกอดกระบี่ที่พิงเสาอารามรู้กรรม

ต่อมานางเข้าเมืองหลวงถึงรู้ว่าสวีจั้งนามนี้ ที่แท้ก็มีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับทั้งต้าสุย บุรุษคนนี้อยู่ในยุคหนึ่งก่อนหน้า เป็นตัวละครสำคัญของทั้งโลกหล้า และคนที่รับกระบี่ในมือสวีจั้งก็คือหนิงอี้ในตอนนี้

“สวีจั้งตายแล้ว” หนิงอี้พูดเสียงเบามาก

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กางใบร่มพินิจเหมันต์

“แต่สวีจั้งมีสหายคนหนึ่ง ชื่อโจวโหยว เป็นเจ้าตำหนักของตำหนักนภาม่วงสำนักเต๋า”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด