ข้าคือหงส์พันปี 199 ควรแข็งกร้าวกับนางอย่างไร

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 199 ควรแข็งกร้าวกับนางอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสียนเงยหน้ามองใบหน้าของเขา ภายในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เธอไม่อยากได้ยินคำว่า ‘เกะกะ’ จากปากของซูเจ๋อ

เธอไม่อยากทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวเกะกะ

เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่ได้ไม่พอใจ”

ซูเจ๋อเอ่ยว่า “คำพูดของท่านคลุมเครือ ความจริงแล้วท่านคิดว่าข้าไม่ได้เกะกะ หรือคิดว่าข้าเกะกะแต่ไม่ได้ทำให้ท่านไม่พอใจกันแน่”

“ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าจะคลุมเครือตรงไหน เป็นท่านที่คิดมากไปเอง”

ซูเจ๋อกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “เหตุใดท่านจึงอยากใช้ชีวิตร่วมกับเหลียนชิงโจว ท่านชอบเขามากรึ”

เฉินเสียนนิ่งคิดอย่างจริงจังและกล่าวว่า “ชอบ เพียงแต่ยังพูดไม่ได้ว่าเป็นความชอบระหว่างชายหญิง ทว่าข้าคิดว่าความรู้สึกเช่นนี้เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาได้ บางทีสักวันหนึ่ง ข้าคิดว่าถ้าเป็นก็คงดี”

ซูเจ๋อเอ่ยอย่างพินิจพิจารณาว่า “เป็นเพราะท่านคิดว่าเขาเป็นพ่อของเจ้าน่องน้อยหรือ?”

เฉินเสียนหยุดยืนอย่างตกใจและมองเขาด้วยความงุนงง “ท่านรู้ได้อย่างไร”

“ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านกับฉินหรูเหลียงแต่งงานกันมาหนึ่งปีกว่าและไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเขาเลย” ซูเจ๋อเอ่ยยิ้มๆ “นั่นหมายความว่าเจ้าน่องน้อยไม่ใช่ลูกของฉินหรูเหลียง และข้ายังจำได้อีกว่าตอนที่ตั้งชื่อให้เจ้าน่องน้อย ท่านยืนกรานที่จะใช้แซ่ ‘เหลียน’ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดาได้”

เฉินเสียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจคิดว่าเธอคงอยู่กับคนที่คิดอะไรละเอียดรอบคอบเกินไปไม่ได้ เพราะเขาเชื่อมโยงได้แม้กระทั่งช่องโหว่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ในคำพูด

“เจ้าน่องน้อยคงจะรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมนักที่ต้องไปเป็นลูกของคนอื่นอีกพักหนึ่ง” ซูเจ๋อเอ่ยเบาๆ อย่างคลุมเครือ

มีเสียงประทัดอีกลูกดังขึ้นพอดี ทำให้เฉินเสียนได้ยินที่เขาพูดไม่ชัด เธอถามไปว่า “ท่านว่าอย่างไรนะ”

“ข้าถามว่า ท่านรู้ไหมว่าเหตุใดเหลียนชิงโจวจึงปฏิเสธท่าน”

“ทำไมหรือ”

ดวงตาของซูเจ๋อหรี่ลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ว่า “เท่าที่ข้ารู้ เขาไม่ชอบผู้หญิง”

“หือ?” เฉินเสียนประหลาดใจมาก “ท่านบอกว่าเขาเป็นพวกชายรักชายงั้นหรือ”

ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เข้าใจทุกอย่างอย่างกระจ่าง เธอตีมือดังแปะ “มิน่าเล่า! ไม่แปลกใจเลยที่เขาปฏิเสธข้า ตั้งแต่รู้จักกันมาเนิ่นนานข้ายังไม่เคยเห็นว่ามีสตรีอยู่ข้างกายเขาสักคน! แท้จริงแล้วเป็นเพราะรสนิยมที่บอกให้คนนอกรู้ไม่ได้นี่เอง!”

เธอลูบคาง “เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่พ่อของลูกชายข้านะสิ”

ซูเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ว่าพ่อของเจ้าน่องน้อยจะเป็นใคร ในตอนนี้เขาจำเป็นต้องเป็นบุตรในนามของท่านแม่ทัพใหญ่ อาเสียน มีปัญหาน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

เฉินเสียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “อืม ท่านก็พูดถูก ถ้าหากข้าหาพ่อของเขาจนพบและพบว่าเขาเป็นคนอัปลักษณ์ขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร”

ซูเจ๋อ “…..”

เฉินเสียนยังคงทอดถอนใจ “ที่เจ้าน่องน้อยเติบโตขึ้นมาและมีรูปร่างหน้าตาดีเช่นนี้ ทั้งหมดคงเป็นเพราะได้กรรมพันธุ์ของข้าช่วยเอาไว้”

ครั้นแล้วเธอก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งค่อนข้างน่าสงสัยขึ้นมาได้ เธอเงยหน้ามองซูเจ๋อและถามว่า “ท่านกับเหลียนชิงโจวรู้จักกันมานาน ไม่ใช่ว่าท่านสองคนเป็นคู่รักกันหรอกนะ”

ซูเจ๋อฟังแล้วเห็นเป็นเรื่องตลกจนมีรอยยิ้มแผ่ซ่านไปถึงดวงตา ขณะที่เขากำลังจะหัวเราะและเงยหน้ามองไปข้างหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก ความรู้สึกอบอุ่นบนใบหน้ากลับกลายเป็นความเย็นชา

มีคนสองคนกำลังเดินมาจากอีกฟากของถนนอย่างไม่เร่งรีบ

ดูเหมือนจะเป็นคนรู้จัก

คนสองคนที่กำลังเดินมาจากฝั่งตรงข้ามคือขุนนางในราชสำนัก

เวลาล่วงมาถึงตอนนี้แล้ว ผู้คนบนถนนจึงบางตามาก โดยทั่วไปจึงไม่น่าจะมีขุนนางมาเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้แล้ว

แต่ขุนนางทั้งสองคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นสุราและเมามายไม่ได้สติ ที่ด้านหลังมีคนติดตามตามมาด้วยสองคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงที่อื่น

พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงหญิงสาวในหอและหิมะในคืนวันส่งท้ายปีเก่า นานๆ ทีจึงจะได้ทำตัวสำมะเลเทเมาอย่างเต็มที่เช่นนี้ ทั้งยังได้เดินลุยบนหิมะ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินใจมาก

เฉินเสียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซูเจ๋อจึงหยุดเดินอย่างกะทันหัน เธอคิดว่าเธออาจจะพูดจาตรงเป้าจึงหันกลับไปมองเขาและเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทำไม หรือว่าท่านมีรสนิยมเช่นนั้นจริงๆ”

ขณะที่กำลังจะสิ้นเสียง เฉินเสียนก็สูดลมหายใจเข้ายาวๆ

ทันใดนั้นซูเจ๋อก็โน้มตัวมาหาเธอ เขาใช้แขนโอบรอบเอวของเธอเอาไว้และดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด

เฉินเสียนดิ้นรนและกล่าวว่า “นี่ ท่านทำอะไรน่ะ”

ซูเจ๋อไม่ตอบ ในเวลานี้ขุนนางที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนเห็นเขาเข้าแล้ว หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “อ้าว นั่นท่านบัณฑิตซูไม่ใช่หรือ”

ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกราวกับมีน้ำเย็นๆ เทรดลงมาบนศีรษะของเธอจนเธอรู้สึกหนาวสั่น

เธอซุกอยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋อโดยไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะกลัวจะมีคนจำได้

เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของซูเจ๋อ ดูเหมือนขุนนางทั้งสองคนนี้จะรู้จักเขา ดังนั้นพวกเขาจะต้องรู้จักเฉินเสียนอย่างแน่นอน

ถ้าหากพวกเขาพบว่าองค์หญิงจิ้งเสียนซึ่งเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพกำลังนัวเนียอยู่กับซูเจ๋อบนถนน มันจะเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก

ซูเจ๋อยังคงสงบนิ่งและไม่สนใจสิ่งใดขณะที่ประคองศีรษะของเฉินเสียนเอาไว้แนบอก เขาพยักหน้าทักทายขุนนางทั้งสองคน “ช่างบังเอิญนักที่ได้พบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน”

ขุนนางทั้งสองคนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋อ

เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยได้ยินว่าบัณฑิตผู้นี้จะเคยใกล้ชิดกับสตรีเพศ แล้วนับประสาอะไรกับการที่เขากอดอยู่กับผู้หญิงบนถนนเช่นนี้!

นี่เป็นข่าวใหญ่

ขุนนางที่มึนเมาเดินไปข้างๆ พวกเขาสองคนและพยายามจะดูหน้าของสตรีผู้นี้ให้ชัด ทว่าไม่เป็นผล สุดท้ายจึงได้แต่หัวเราะและพูดว่า “ใต้เท้าซูช่างน่าสนใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันที่นี่”

“ท่านซูเป็นบัณฑิต เมื่อเดินอยู่บนหิมะเพื่อชมจันทร์ ย่อมเกิดความซาบซึ้งขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้”

“แม่นางผู้นี้คงจะงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงได้เข้าตาใต้เท้าซูเช่นนี้”

ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นเช่นนั้นที่ไหนขอรับ ก็แค่ผู้หญิงป่าเถื่อน ข้ายังกำราบไม่ได้จึงไม่รู้จะทำเช่นไรกับนาง”

เฉินเสียนฝังศีรษะของเธอในอ้อมแขนของเขา รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมเล็กน้อยที่หน้าอกของเขาขณะที่เขาพูด เธอร่วมมือกับซูเจ๋อโดยอัตโนมัติด้วยการบิดตัวดิ้นรนอยู่สองสามครั้ง

เธอรู้สึกกระวนกระวายใจจนหัวใจแทบจะเต้นขึ้นมาถึงคอหอย

เธอกังวลมาก

เห็นได้ชัดว่าซูเจ๋อก็กังวลเช่นกัน ทว่าเขายังรักษาอาการและพูดคุยอย่างสงบอยู่ได้

เมื่อขุนนางทั้งสองพูดถึงผู้หญิงขึ้นมา หนึ่งในนั้นซึ่งผ่านประสบการณ์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาอย่างโชกโชนจึงพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงเช่นนี้น่ะหรือ จะไปอยากอะไร ขอเพียงแค่ท่านแข็งกร้าวเสียหน่อย รับรองได้เลยว่านางจะต้องยอมนอบน้อมเชื่อฟังท่าน”

อีกคนเสริมขึ้นว่า “ใต้เท้าซูลองให้ข้าดูเสียหน่อยมิได้รึ แม่นางผู้นี้แท้จริงแล้วงามล้ำหรืออย่างไร เหตุใดจึงทำให้ใต้เท้าซูหลงใหลได้ถึงเพียงนี้”

ตราบใดที่ยังไม่เห็นหน้าเฉินเสียนพวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่ซูเจ๋อจะปล่อยให้พวกเขาเห็นหน้าเธอง่ายๆ ได้อย่างไร

ซูเจ๋อถามว่า “ใต้เท้าทั้งสองโปรดชี้แนะ ข้าควรแข็งกร้าวกับนางเช่นไรหรือขอรับ”

“ถ้านางไม่ยอมให้ท่านกอด ท่านต้องกอดให้แน่น ถ้านางไม่ยอมให้ท่านจูบ ท่านต้องจูบแรงๆ ถ้านางไม่ยอมให้ท่านสัมผัส ท่านต้องสัมผัสนางให้หนัก” ขุนนางผู้นั้นยิ้มกริ่ม

เฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งอยู่ในใจ ช่างต่ำช้าเสียจริง

ขุนนางอีกคนหนึ่งพูดว่า “ถูกต้องๆ พวกผู้หญิงมักจะปากอย่างใจอย่าง อยากปฏิเสธ ทว่าก็ยังต้อนรับ ยิ่งนางแสดงท่าทีว่าไม่ต้องการท่านมากเท่าไหร่ ในใจก็ยิ่งต้องการท่านมากเท่านั้น”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเจ๋อเอ่ยราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ข้าเข้าใจละ”

ทันทีที่สิ้นเสียง เฉินเสียนก็รู้สึกว่ามือของซูเจ๋อที่กอดไว้เริ่มคลายออก

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สูดลมหายใจเข้า ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ถูกมือซึ่งเรียวยาวและเย็นเยียบประคองเอาไว้ทั้งสองข้าง

เธอชายตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจและบังเอิญเห็นซูเจ๋อโน้มศีรษะลงมาพอดี ดวงตาคู่นั้นล้ำลึก ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างและมองไม่เห็นอะไรอีกเลย

ราวกับว่าเธอดำดิ่งลงไปในดวงตาของเขา ริมฝีปากที่เยียบเย็นเผยอขึ้นในขณะที่ใบหน้าของซูเจ๋อขยับเข้ามาประชิดใบหน้าของเฉินเสียนพอดี แล้วเขาก็จูบเธอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด