ข้าคือหงส์พันปี 597 วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 597 วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ก็ใช่ แต่เรื่องมงกุฎราชินีนั้น ข้าก็ต้องยอมรับในน้ำใจของเจ้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเจ้าที่ซื้อไป ในเมื่อนำมันมาที่ต้าฉู่แล้ว ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ทีแรกรึ?”

เย่ซวิ่นเอ่ยอย่างห่อเหี่ยวใจว่า“ก็ท่านไม่เคยได้ให้โอกาสกับข้าเลย เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ท่านตั้งแต่คืนวันแต่งงานนั้นแล้ว”

เฉินเสียนพูดขึ้นทันทีว่า“เจ้าพูดว่าเจ้าตั้งใจจะของขวัญแก่ข้า นั้นก็คือสิ่งนี้หรือ?”

เย่ซวิ่นไม่อยากจะยอมรับ ไม่อยากจะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบต่อหน้าเธอ แต่ความเงียบที่ไม่พูดของเขานั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายอมรับ

เฉินเสียนเม้มปากแล้วเอ่ยว่า“ตอนนี้ข้ารับมันไว้แล้ว คงไม่สายเกินไปใช่หรือไม่”

เย่ซวิ่นชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า“แต่ว่าข้าใช้เงินก้อนโตเพื่อที่จะซื้อมันมา ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจแล้วล่ะ ไม่อยากจะให้ท่านแล้ว”

“นั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมงกุฎราชินีนั้นตกอยู่ในมือของข้าแล้ว เงินก้อนโตนั้นหรือว่ามันยังไม่คุ้มค่าพอที่ข้าให้อิรสะเสรีภาพกับเจ้าในครั้งนี้รึ?”

“ใครอยากได้โอกาสที่ห่วยแตกจากท่านกัน!”เย่ซวิ่นพูดด่าว่า“ อิสระเสรีภาพนั้นคืออะไร มันสามารถทำให้ข้าสามารถเสพสุขได้หรือไม่!ทำให้ข้าใช้ชีวิตได้สุขสบายหรือไม่!เฉินเสียนข้าจะบอกท่านเอาไว้ ตั้งแต่ข้ายังเล็กข้านั้นชอบชีวิตดั่งนกคิรีบูนที่ถูกขังอยู่ในกรง!เพื่ออิสระเสรีภาพบ้าๆนี่มันทำให้ข้านั้นวิ่งเต้นต้องทะเยอทะยาน มองดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่รูปแบบของข้า!ข้านั้นชอบการใช้ชีวิตที่เสพสุขอย่างสบาย !”

เฉินเสียนถูไปที่ใบหูพร้อมกับลุกขึ้น แล้วพูดว่า“ยังคงพอมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าค่อยคิดให้ดีๆ”

ผู้ตรวจการแผ่นดินซวีเวยนั้นยังคงถูกขังไว้ในศาลยุติธรรมต้าหลี่ตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีลงโทษที่ชัดเจน แต่เฉินเสียนนั้นก็ได้ถอนกำลังองครักษ์วังหลวงที่เป็นผู้คุมดูแลนักโทษที่บ้านเขาออกมาหมดแล้ว จึงทำให้เหล่าขุนนางเฒ่าทั้งหลายรู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้น เพียงแค่เฉินเสียนไม่ได้สืบสวนโทษฐานทางกฎหมายให้ลึกเข้าไป นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับพวกเขาแล้ว

เจตนาเดิมของเฉินเสียนนั้นไม่ได้อยากจะจัดการเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว เพราะถ้าทำเช่นนั้นมันก็ไม่มีผลดีอะไรกับในตอนนี้ สู้ผ่อนปรนแล้วให้พวกเขาได้มีทางออก ปล่อยให้ในอนาคตเมื่อพวกเขาได้พูดถึงซูเจ๋อก็จะรู้สึกหวาดผวาและไม่มั่นคงในจุดยืนกันไปเอง

เมื่อผ่านไปหนึ่งวัน เฉินเสียนเข้าราชสำนักได้ทรงตัดสินพระทัยอย่างแน่ชัดแล้วว่า ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนผู้ตรวจการแผ่นดินซวีเวยนั้นจะถูกยุยุงโดยผู้อื่น แต่ตัวเขาเองก็รู้ข้อพระราชบัญญัติแต่ก็ยังได้ฝ่าฝืนไม่เอื้อให้ก่อประโยชน์แก่ขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เกือบจะทำให้ก่อเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ ในเวลานี้ซวีเวยได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ออกไปจากราชสำนัก และจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซวีเวยนั้นได้รับรู้ถึงชีวิตที่ผันผวนอย่างมาก แต่วันนี้จักรพรรดินีได้ไว้ชีวิตและไม่ได้มีการทำร้ายคนในครอบครัวของเขา เพียงแต่ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งขุนนาง ถึงแม้ว่าจะเศร้าโศกเสียใจแต่เขาก็ได้การรับการผ่อนปรน ครั้นแล้วก็ได้นั่งลงคุกเข่าลงไปเคารพในน้ำพระทัยของพระองค์

ในที่สุดเรื่องเหล่านี้ก็ได้จบลง เพียงแค่เฉินเสียนไม่ได้พูดเรื่องการรับซูเจ๋อเข้ามาในวัง เหล่าขุนนางทั้งหลายก็ต่างรู้กันดีว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

วันนี้เป็นวันเทศกาลสารทจีน

หลังจากเฉินเสียนเสร็จกิจราชการแล้ว เวลาก็ล่วงไปบ่ายโมงตรง แสงอาทิตย์สีแดงสดใสสาดส่องไปทั่วท้องทะเลสาบด้านหน้าพระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนที่ตื่นจากการนอนกลางวัน เวลานั้นก็นั่งมองอย่างเบื่อหน่ายอยู่ที่ริมทะเลสาบ มองไปยังสีแดงของทะเลสาบอย่างเหม่อลอย

เฉินเสียนเดินเข้าไปด้านหลังแล้วโอบเขาไว้ในอ้อมกอด ถามขึ้นว่า“กำลังคิดอะไรอยู่รึ?”

ซูเซี่ยนกอดแขนของเฉินเสียน ตอบกลับอย่างเงียบสงบว่า “กำลังคิดถึงตอนที่ท่านลุงเฮ่อพาข้าออกไปนอกวัง บนถนนที่ประดับไปด้วยโคมไฟสีแดง งดงามกว่าแสงในยามตะวันรอนที่ส่องมายังทะเลสาบนี้เสียอีก ”

เฉินเสียนชำเลืองมองตามดูรูปเงาของแสงในยามตะวันรอนที่สะท้อนลงบนผิวน้ำของทะเลสาบ

เธอลูบไปที่ใบหน้าของซูเซี่ยนอย่างอ่อนโยน แล้วพูดว่า“อยากจะไปดูอีกรึ?แต่ว่าคืนนี้เป็นเทศกาลปล่อยผี เจ้าไม่กลัวหรือ?”

ซูเซี่ยนส่ายหัว

เฉินเสียนจึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า“อย่างนั้นตอนที่เราออกข้างนอกวัง ก็ถือโอกาสไปกินข้าวเย็นที่จวนท่านพ่อของเจ้ากัน กินเสร็จแล้วแม่กับพ่อจะพาเจ้าไปเดินชมที่ตลาดกลางคืน ดีหรือไม่ ?”

แววตาของซูเซี่ยนนั้นเป็นประกายขึ้นมา แต่ปากกลับพูดว่า“แต่ว่าครั้งก่อนเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพิ่งบอกว่าองค์ชายไม่ควรที่จะออกนอกวังบ่อยๆ ”

เฉินเสียนกอดให้เขาเข้าไปในเสื้ออีกชั้น แล้วเอ่ยว่า“วันนี้ไม่ต้องทำหน้าที่เป็นองค์ชายแล้ว เป็นลูกของแม่ก็แล้วกัน”

เมื่อเดินผ่านเข้าไปในตรอกด้านหลังจวนของผู้คนในเวลาพลบค่ำ มักจะทำให้รู้สึกถึงความกลมกลืนกันอย่างสงบสุข เพียงกำแพงที่ถูกกั้นในบางครั้งก็จะได้เสียงสุนัขเห่าและเสียงของไก่ที่กำลังหาอาหาร

เมื่อมายืนที่ด้านข้างประตูหน้าจวน ซูเซี่ยนก็เคาะไปที่ประตู

ไม่นานประตูก็เปิดออก ซูเจ๋อยืนอยู่ประตูด้านหน้า ซูเซี่ยนเดินเข้าไปข้างในอย่างคุ้นเคย แล้วพูดขึ้นว่า“วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่”

ซูเซี่ยนเดินตรงเข้าไปหาพ่อบ้าน ขอให้พ่อบ้านสั่งห้องครัวว่าให้เตรียมอาหารเพิ่มเพื่ออีกสองคน แน่นอนว่าพ่อบ้านนั้นดีใจมากจึงรีบไปออกคำสั่งโดยทันที

เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างเสียงใสว่า“ไม่เชิญข้าเข้าไปหน่อยรึ?”

ซูเจ๋อยืนพิงที่ขอบประตูอย่างสบายใจ“กลับมาจวนยังจะต้องให้ข้าเชิญเข้าอีกหรือ?”

แต่ซูเจ๋อนั้นยืนพิงอยู่ที่ขอบประตู ทำให้เฉินเสียนเข้าไปไม่ถนัด เวลานั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา เธอยิ้มแล้วยื่นมือไปกุมเอาไว้ ซูเจ๋อก็ได้จูงมือเธอเดินเข้าไปในจวน

ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ที่ลานบ้าน บรรยากาศในเวลาพลบค่ำนั้นเงียบสงัดและงดงามอย่างมาก

เฉินเสียนประสานนิ้วมือเข้ากับมือของเขาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ เดินเข้าในเส้นทางที่สงบคดเคี้ยวนั้น เป็นช่วงเวลาที่สุขแสนสบายใจ

“ร่างกายของท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง?”เฉินเสียนถาม

“ช่วงนี้ไม่ได้ทานยาแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

แต่เฉินเสียนมักจะรู้สึกไม่วางใจ เมื่อพบเขาทีไรก็ถามทุกครั้ง

เฉินเสียนหยุดเดิน แล้วหันไปมองที่ซูเจ๋อ เธอเลิกคิ้วแล้วลูบไปที่คิ้วของเขา จึงเอ่ยว่า“แต่ทำไมข้าคิดว่าท่าน มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเลย”

ซูเจ๋อพูด“อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ เลยไม่ได้ยืดเส้นยืดสายร่างกาย ”

เฉินเสียนพูด“ถ้าอย่างนั้นต่อไปข้าจะเป็นเพื่อนท่านต่อยมวยเพื่อออกกำลังกาย”เธอยังถามอีกว่า “คืนนี้ท่านอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่?ครั้งก่อนเฮ่อโยวพาอาเซี่ยนไปเดินเที่ยวเล่นตอนกลางคืน อาเซี่ยนจำได้ว่าบนท้องถนนนั้นถูกประดับเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงตลอดทาง”

“ไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร คืนนี้เป็นวันสารทจีน บนท้องถนนนั้นคงจะคึกครึ้นน่าดู”

เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็น สามคนพ่อแม่ลูกนั่งร่วมอยู่บนโต๊ะกินข้าวด้วยกัน ช่วงเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวคนธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ความอยากอาหารของซูเซี่ยนนั้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวังเสียอีก ไม่ใช่เพราะว่าอาหารที่นี่รสชาติดีกว่าในวังหรอก แต่เป็นเพราะว่าได้ร่วมทานข้าวร่วมกับท่านพ่อและท่านแม่ นั่นก็เป็นเหตุผลให้รสชาติอาหารของที่นี้นั้นอร่อยมากยิ่งขึ้น

ซูเซี่ยนทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ปากเล็กๆนั้นแวววาวไปด้วยคราบน้ำมัน มือของเขาสั้นจึงคีบอาหารไม่ถึง เฉินเสียนจึงเป็นคนคีบอาหารใส่ในจานให้เขา

พ่อลูกคู่นี้เหมือนกัน ไม่เลือกทานอาหาร ขอแค่เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมัน

เฉินเสียนนั้นไม่ได้สนใจแต่ซูเซี่ยนคนเดียว ในบางครั้งเธอยังมองไปที่ซูเจ๋ออีกด้วย ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่ยุ่งจัดการเรื่ององค์ชายหกและเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เธอไม่ได้มาดูแลเขา เมื่อเห็นเขาถือถ้วยข้าวในมือ อีกข้างก็คีบตะเกียบไว้ ลักษณะท่าทางที่ดูไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่เมื่อได้เห็นแล้วก็รู้สึกเพลิดเพลินทางสายตา

ซูเจ๋อรู้สึกตัวว่าเฉินเสียนนั้นแอบมองเขาอยู่ จึงเอ่ยว่า “ตั้งใจทานข้าวดีๆ”

เฉินเสียนดึงสติกลับมา แล้วพูดขึ้นว่า“แบบนี้มันทำให้อาหารรสชาติดี”

คำตอบของเธอนั้นถูกใจซูเจ๋อ เขาจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ซูเซี่ยนไปยืนอยู่ที่ลานบ้านก็ได้มองขึ้นไปเห็นโคมลอมที่กำลังล่องลอยสู่บนท้องฟ้าในยามราตรี เห็นได้ว่าเขามีความปรารถนาที่จะออกไปร่วมงานตลาดกลางคืนของเทศกาลสารทจีนอย่างมาก

สามคนพ่อแม่ลูกพากันเดินออกไปในยามราตรี เดินตรงไปยังตลาดที่คึกคักของค่ำคืนนี้

เมื่อเดินไปถึงบนถนนนั้นก็พบเห็นมีผู้คนจำนวนมากมาย ส่งเสียงร้องกันอย่างรื่นเริงเต็มไปทั่วท้องถนน

พื้นที่บริเวณฉู่จิงนั้นเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของต้าฉู่มาโดยตลอด หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง ในวันนี้ความมีชีวิตชีวาในอดีตก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา เหล่าประชาชนก็ได้ปฏิบัติพึ่งพาอาศัยตามหลักปัจจัยพื้นฐานในความเป็นอยู่ ได้ออกมาเที่ยวชมเพลิดเพลินกับแสงไฟ นั้นก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าคือหงส์พันปี 597 วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 597 วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินเสียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ก็ใช่ แต่เรื่องมงกุฎราชินีนั้น ข้าก็ต้องยอมรับในน้ำใจของเจ้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเจ้าที่ซื้อไป ในเมื่อนำมันมาที่ต้าฉู่แล้ว ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ทีแรกรึ?”

เย่ซวิ่นเอ่ยอย่างห่อเหี่ยวใจว่า“ก็ท่านไม่เคยได้ให้โอกาสกับข้าเลย เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ท่านตั้งแต่คืนวันแต่งงานนั้นแล้ว”

เฉินเสียนพูดขึ้นทันทีว่า“เจ้าพูดว่าเจ้าตั้งใจจะของขวัญแก่ข้า นั้นก็คือสิ่งนี้หรือ?”

เย่ซวิ่นไม่อยากจะยอมรับ ไม่อยากจะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบต่อหน้าเธอ แต่ความเงียบที่ไม่พูดของเขานั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายอมรับ

เฉินเสียนเม้มปากแล้วเอ่ยว่า“ตอนนี้ข้ารับมันไว้แล้ว คงไม่สายเกินไปใช่หรือไม่”

เย่ซวิ่นชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า“แต่ว่าข้าใช้เงินก้อนโตเพื่อที่จะซื้อมันมา ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจแล้วล่ะ ไม่อยากจะให้ท่านแล้ว”

“นั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมงกุฎราชินีนั้นตกอยู่ในมือของข้าแล้ว เงินก้อนโตนั้นหรือว่ามันยังไม่คุ้มค่าพอที่ข้าให้อิรสะเสรีภาพกับเจ้าในครั้งนี้รึ?”

“ใครอยากได้โอกาสที่ห่วยแตกจากท่านกัน!”เย่ซวิ่นพูดด่าว่า“ อิสระเสรีภาพนั้นคืออะไร มันสามารถทำให้ข้าสามารถเสพสุขได้หรือไม่!ทำให้ข้าใช้ชีวิตได้สุขสบายหรือไม่!เฉินเสียนข้าจะบอกท่านเอาไว้ ตั้งแต่ข้ายังเล็กข้านั้นชอบชีวิตดั่งนกคิรีบูนที่ถูกขังอยู่ในกรง!เพื่ออิสระเสรีภาพบ้าๆนี่มันทำให้ข้านั้นวิ่งเต้นต้องทะเยอทะยาน มองดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่รูปแบบของข้า!ข้านั้นชอบการใช้ชีวิตที่เสพสุขอย่างสบาย !”

เฉินเสียนถูไปที่ใบหูพร้อมกับลุกขึ้น แล้วพูดว่า“ยังคงพอมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าค่อยคิดให้ดีๆ”

ผู้ตรวจการแผ่นดินซวีเวยนั้นยังคงถูกขังไว้ในศาลยุติธรรมต้าหลี่ตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีลงโทษที่ชัดเจน แต่เฉินเสียนนั้นก็ได้ถอนกำลังองครักษ์วังหลวงที่เป็นผู้คุมดูแลนักโทษที่บ้านเขาออกมาหมดแล้ว จึงทำให้เหล่าขุนนางเฒ่าทั้งหลายรู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้น เพียงแค่เฉินเสียนไม่ได้สืบสวนโทษฐานทางกฎหมายให้ลึกเข้าไป นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับพวกเขาแล้ว

เจตนาเดิมของเฉินเสียนนั้นไม่ได้อยากจะจัดการเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว เพราะถ้าทำเช่นนั้นมันก็ไม่มีผลดีอะไรกับในตอนนี้ สู้ผ่อนปรนแล้วให้พวกเขาได้มีทางออก ปล่อยให้ในอนาคตเมื่อพวกเขาได้พูดถึงซูเจ๋อก็จะรู้สึกหวาดผวาและไม่มั่นคงในจุดยืนกันไปเอง

เมื่อผ่านไปหนึ่งวัน เฉินเสียนเข้าราชสำนักได้ทรงตัดสินพระทัยอย่างแน่ชัดแล้วว่า ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนผู้ตรวจการแผ่นดินซวีเวยนั้นจะถูกยุยุงโดยผู้อื่น แต่ตัวเขาเองก็รู้ข้อพระราชบัญญัติแต่ก็ยังได้ฝ่าฝืนไม่เอื้อให้ก่อประโยชน์แก่ขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เกือบจะทำให้ก่อเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ ในเวลานี้ซวีเวยได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ออกไปจากราชสำนัก และจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซวีเวยนั้นได้รับรู้ถึงชีวิตที่ผันผวนอย่างมาก แต่วันนี้จักรพรรดินีได้ไว้ชีวิตและไม่ได้มีการทำร้ายคนในครอบครัวของเขา เพียงแต่ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งขุนนาง ถึงแม้ว่าจะเศร้าโศกเสียใจแต่เขาก็ได้การรับการผ่อนปรน ครั้นแล้วก็ได้นั่งลงคุกเข่าลงไปเคารพในน้ำพระทัยของพระองค์

ในที่สุดเรื่องเหล่านี้ก็ได้จบลง เพียงแค่เฉินเสียนไม่ได้พูดเรื่องการรับซูเจ๋อเข้ามาในวัง เหล่าขุนนางทั้งหลายก็ต่างรู้กันดีว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

วันนี้เป็นวันเทศกาลสารทจีน

หลังจากเฉินเสียนเสร็จกิจราชการแล้ว เวลาก็ล่วงไปบ่ายโมงตรง แสงอาทิตย์สีแดงสดใสสาดส่องไปทั่วท้องทะเลสาบด้านหน้าพระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนที่ตื่นจากการนอนกลางวัน เวลานั้นก็นั่งมองอย่างเบื่อหน่ายอยู่ที่ริมทะเลสาบ มองไปยังสีแดงของทะเลสาบอย่างเหม่อลอย

เฉินเสียนเดินเข้าไปด้านหลังแล้วโอบเขาไว้ในอ้อมกอด ถามขึ้นว่า“กำลังคิดอะไรอยู่รึ?”

ซูเซี่ยนกอดแขนของเฉินเสียน ตอบกลับอย่างเงียบสงบว่า “กำลังคิดถึงตอนที่ท่านลุงเฮ่อพาข้าออกไปนอกวัง บนถนนที่ประดับไปด้วยโคมไฟสีแดง งดงามกว่าแสงในยามตะวันรอนที่ส่องมายังทะเลสาบนี้เสียอีก ”

เฉินเสียนชำเลืองมองตามดูรูปเงาของแสงในยามตะวันรอนที่สะท้อนลงบนผิวน้ำของทะเลสาบ

เธอลูบไปที่ใบหน้าของซูเซี่ยนอย่างอ่อนโยน แล้วพูดว่า“อยากจะไปดูอีกรึ?แต่ว่าคืนนี้เป็นเทศกาลปล่อยผี เจ้าไม่กลัวหรือ?”

ซูเซี่ยนส่ายหัว

เฉินเสียนจึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า“อย่างนั้นตอนที่เราออกข้างนอกวัง ก็ถือโอกาสไปกินข้าวเย็นที่จวนท่านพ่อของเจ้ากัน กินเสร็จแล้วแม่กับพ่อจะพาเจ้าไปเดินชมที่ตลาดกลางคืน ดีหรือไม่ ?”

แววตาของซูเซี่ยนนั้นเป็นประกายขึ้นมา แต่ปากกลับพูดว่า“แต่ว่าครั้งก่อนเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพิ่งบอกว่าองค์ชายไม่ควรที่จะออกนอกวังบ่อยๆ ”

เฉินเสียนกอดให้เขาเข้าไปในเสื้ออีกชั้น แล้วเอ่ยว่า“วันนี้ไม่ต้องทำหน้าที่เป็นองค์ชายแล้ว เป็นลูกของแม่ก็แล้วกัน”

เมื่อเดินผ่านเข้าไปในตรอกด้านหลังจวนของผู้คนในเวลาพลบค่ำ มักจะทำให้รู้สึกถึงความกลมกลืนกันอย่างสงบสุข เพียงกำแพงที่ถูกกั้นในบางครั้งก็จะได้เสียงสุนัขเห่าและเสียงของไก่ที่กำลังหาอาหาร

เมื่อมายืนที่ด้านข้างประตูหน้าจวน ซูเซี่ยนก็เคาะไปที่ประตู

ไม่นานประตูก็เปิดออก ซูเจ๋อยืนอยู่ประตูด้านหน้า ซูเซี่ยนเดินเข้าไปข้างในอย่างคุ้นเคย แล้วพูดขึ้นว่า“วันนี้ข้ากับท่านแม่จะมาทานข้าวเย็นที่นี่”

ซูเซี่ยนเดินตรงเข้าไปหาพ่อบ้าน ขอให้พ่อบ้านสั่งห้องครัวว่าให้เตรียมอาหารเพิ่มเพื่ออีกสองคน แน่นอนว่าพ่อบ้านนั้นดีใจมากจึงรีบไปออกคำสั่งโดยทันที

เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างเสียงใสว่า“ไม่เชิญข้าเข้าไปหน่อยรึ?”

ซูเจ๋อยืนพิงที่ขอบประตูอย่างสบายใจ“กลับมาจวนยังจะต้องให้ข้าเชิญเข้าอีกหรือ?”

แต่ซูเจ๋อนั้นยืนพิงอยู่ที่ขอบประตู ทำให้เฉินเสียนเข้าไปไม่ถนัด เวลานั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา เธอยิ้มแล้วยื่นมือไปกุมเอาไว้ ซูเจ๋อก็ได้จูงมือเธอเดินเข้าไปในจวน

ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ที่ลานบ้าน บรรยากาศในเวลาพลบค่ำนั้นเงียบสงัดและงดงามอย่างมาก

เฉินเสียนประสานนิ้วมือเข้ากับมือของเขาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ เดินเข้าในเส้นทางที่สงบคดเคี้ยวนั้น เป็นช่วงเวลาที่สุขแสนสบายใจ

“ร่างกายของท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง?”เฉินเสียนถาม

“ช่วงนี้ไม่ได้ทานยาแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

แต่เฉินเสียนมักจะรู้สึกไม่วางใจ เมื่อพบเขาทีไรก็ถามทุกครั้ง

เฉินเสียนหยุดเดิน แล้วหันไปมองที่ซูเจ๋อ เธอเลิกคิ้วแล้วลูบไปที่คิ้วของเขา จึงเอ่ยว่า“แต่ทำไมข้าคิดว่าท่าน มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเลย”

ซูเจ๋อพูด“อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ เลยไม่ได้ยืดเส้นยืดสายร่างกาย ”

เฉินเสียนพูด“ถ้าอย่างนั้นต่อไปข้าจะเป็นเพื่อนท่านต่อยมวยเพื่อออกกำลังกาย”เธอยังถามอีกว่า “คืนนี้ท่านอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่?ครั้งก่อนเฮ่อโยวพาอาเซี่ยนไปเดินเที่ยวเล่นตอนกลางคืน อาเซี่ยนจำได้ว่าบนท้องถนนนั้นถูกประดับเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงตลอดทาง”

“ไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร คืนนี้เป็นวันสารทจีน บนท้องถนนนั้นคงจะคึกครึ้นน่าดู”

เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็น สามคนพ่อแม่ลูกนั่งร่วมอยู่บนโต๊ะกินข้าวด้วยกัน ช่วงเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวคนธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ความอยากอาหารของซูเซี่ยนนั้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวังเสียอีก ไม่ใช่เพราะว่าอาหารที่นี่รสชาติดีกว่าในวังหรอก แต่เป็นเพราะว่าได้ร่วมทานข้าวร่วมกับท่านพ่อและท่านแม่ นั่นก็เป็นเหตุผลให้รสชาติอาหารของที่นี้นั้นอร่อยมากยิ่งขึ้น

ซูเซี่ยนทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ปากเล็กๆนั้นแวววาวไปด้วยคราบน้ำมัน มือของเขาสั้นจึงคีบอาหารไม่ถึง เฉินเสียนจึงเป็นคนคีบอาหารใส่ในจานให้เขา

พ่อลูกคู่นี้เหมือนกัน ไม่เลือกทานอาหาร ขอแค่เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมัน

เฉินเสียนนั้นไม่ได้สนใจแต่ซูเซี่ยนคนเดียว ในบางครั้งเธอยังมองไปที่ซูเจ๋ออีกด้วย ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่ยุ่งจัดการเรื่ององค์ชายหกและเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เธอไม่ได้มาดูแลเขา เมื่อเห็นเขาถือถ้วยข้าวในมือ อีกข้างก็คีบตะเกียบไว้ ลักษณะท่าทางที่ดูไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่เมื่อได้เห็นแล้วก็รู้สึกเพลิดเพลินทางสายตา

ซูเจ๋อรู้สึกตัวว่าเฉินเสียนนั้นแอบมองเขาอยู่ จึงเอ่ยว่า “ตั้งใจทานข้าวดีๆ”

เฉินเสียนดึงสติกลับมา แล้วพูดขึ้นว่า“แบบนี้มันทำให้อาหารรสชาติดี”

คำตอบของเธอนั้นถูกใจซูเจ๋อ เขาจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ซูเซี่ยนไปยืนอยู่ที่ลานบ้านก็ได้มองขึ้นไปเห็นโคมลอมที่กำลังล่องลอยสู่บนท้องฟ้าในยามราตรี เห็นได้ว่าเขามีความปรารถนาที่จะออกไปร่วมงานตลาดกลางคืนของเทศกาลสารทจีนอย่างมาก

สามคนพ่อแม่ลูกพากันเดินออกไปในยามราตรี เดินตรงไปยังตลาดที่คึกคักของค่ำคืนนี้

เมื่อเดินไปถึงบนถนนนั้นก็พบเห็นมีผู้คนจำนวนมากมาย ส่งเสียงร้องกันอย่างรื่นเริงเต็มไปทั่วท้องถนน

พื้นที่บริเวณฉู่จิงนั้นเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของต้าฉู่มาโดยตลอด หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง ในวันนี้ความมีชีวิตชีวาในอดีตก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา เหล่าประชาชนก็ได้ปฏิบัติพึ่งพาอาศัยตามหลักปัจจัยพื้นฐานในความเป็นอยู่ ได้ออกมาเที่ยวชมเพลิดเพลินกับแสงไฟ นั้นก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+