ข้าคือหงส์พันปี 659 แค่ทำไปเล่นๆ

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 659 แค่ทำไปเล่นๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทอดพระเนตรหมอผีนิดหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดฉลองพระองค์และตรัสว่า “ข้าจะไปเตรียมตัวเข้าเฝ้ายามเช้า รอจนจบการเข้าเฝ้าแล้วค่อยไล่นางออกไปก็ยังไม่สาย”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินออกไปที่ประตูและรับสั่งว่า “อีกเดี๋ยวให้คนนำน้ำขิงเข้ามาสองถ้วย”

หากเป็นเพราะความเจ็บป่วยของซูเจ๋อที่จะทำให้เฉินเสียนยอมตัดใจกลับไปต้าฉู่และจะไม่กลับมายุ่งวุ่นวายอีกในอนาคต ความเจ็บป่วยของเขาก็นับว่าคุ้มค่า ในเวลานี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเองก็ไม่ได้คิดจะโต้แย้ง ทั้งที่รู้ว่าหมอผีกำลังช่วยพูดเพื่อให้เฉินเสียนได้อยู่ที่นี่นานขึ้นอีกนิด ช่างเถิด… ปล่อยให้นางอำลาซูเจ๋อก่อนจากกัน เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปจนกระทั่งตายจากพวกเขาจะไม่มีทางได้พบเจอกันอีก

แสงอรุณนอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างไสวขึ้น

น้ำซึ่งขังอยู่ในแอ่งบนพื้นสะท้อนให้สีสันอันสวยงามของแสงพระอาทิตย์ที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า

วันนี้เป็นวันที่แดดจ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่ง

เฉินเสียนดื่มน้ำขิงด้วยความรู้สึกที่สับสนว้าวุ่น เธอจับมือของซูเจ๋อไว้ตลอดเวลาพร้อมกับเคาะนิ้วของเขา มีความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่บนฝ่ามือ ทว่าไม่รู้ว่าเป็นความอบอุ่นจากเธอหรือเขา

เธอยิ้มและเอ่ยว่า “ซูเจ๋อ ข้าต้องไปแล้วนะ เห็นท่านเป็นแบบนี้ ตอนนี้ข้าคงให้ท่านไปต้าฉู่ด้วยไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปท่านจะปลอดภัยกว่าหากอยู่ที่เป่ยเซี่ยและพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่ ในอนาคตหากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีก”

มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว

แต่เธอไม่อยากพูดออกมาตรงๆ จนเหมือนกับเธอกำลังปิดหนทางของตนเองด้วยมือของเธอเอง

เฉินเสียนคิด เธอกล่าวอีกว่า “ถึงจะพูดไปหลายครั้งแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากเตือนให้ท่านดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาๆ เมื่ออากาศหนาว เมื่อหิวต้องบอกให้คนเตรียมอาหารมาให้ อย่าหาเรื่องทำให้ตัวเองลำบาก หลังจากนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ท่านต้องรีบหายไวๆ นะ”

“อ้อ ถึงแม้ตอนแรกข้าจะไม่เชื่อเรื่องการผูกดวงแต่งงานเพื่อขจัดปัดเป่าความชั่วร้าย แต่เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยของพวกท่านกำหนดตัวพระชายารุ่ย ท่านก็ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นี้จึงนับว่ายังมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง พระชายารุ่ยผู้นั้นอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นนางก็เท่านั้น เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว หากมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างและรับรู้ทุกข์สุขของท่านก็คงจะดี”

เธอเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเธอโลภมากเกินไป และเธอจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้… ขอเพียงแค่เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เท่านี้ก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือ?

เฉินเสียนคิดว่าบางทีเธออาจจะเข้ามาอยู่ในชีวิตของซูเจ๋อเพียงเพื่อทำอันตรายเขา

นิ้วที่สั่นไหวของเธอลูบไล้ไปบนคิ้วของซูเจ๋ออย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วค่อยๆ เลื่อนลงมาสัมผัสที่สันจมูก เธอกำลังจะดึงมือกลับ แต่ไม่คิดว่าทันใดนั้นจะถูกซูเจ๋อคว้ามือเอาไว้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ทว่าฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง

ซูเจ๋อไม่ได้ลืมตา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะอาการป่วยว่า “ข้าไม่เคยเห็นหน้าพระชายารุ่ยผู้นั้นมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่านางมีดีตรงไหน ที่ข้าคิดว่าดีคือสตรีอวดดีที่บุกเข้ามาในห้องหอของข้า และบอกว่าพระชายารุ่ยเป็นคนไม่ดี”

เฉินเสียนหัวเราะนิดหนึ่งและบอกว่า “ข้าทำลายพิธีสมรสของท่าน คิดแล้วก็รู้สึกผิดมาก”

ซูเจ๋อไม่ขำ เขาถามว่า “ในที่สุดองค์จักรพรรดิของข้าก็เปลี่ยนพระทัยแล้วงั้นหรือ”

เฉินเสียนรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับไม่ให้เสียงสั่น จากนั้นจึงกล่าวว่า “พระองค์เป็นคนที่ใจแข็งดั่งเหล็กกล้า เมื่อเห็นท่านป่วยแบบนี้จึงไม่ยอมเปลี่ยนคำพูด แต่ช่างเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว”

“ยอมแพ้?” ปลายเสียงของซูเจ๋อตวัดขึ้นเล็กน้อย เขาลืมตาและหันไปมองเฉินเสียน

ในดวงตาเรียวยาวคู่นั้นสะท้อนให้เห็นสภาพที่อึดอัดของเธอ

แต่เธอไม่ได้ถอยหนีอย่างขี้ขลาด

เฉินเสียนแสดงท่าทีเฉกเช่นยามที่อยู่ ณ ดินแดนต้าฉู่ในฐานะจักรพรรดินี เธอปล่อยชายแขนเสื้อที่เลิกขึ้นมาในตอนแรกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงกระตุกริมฝีปากราวกับจะยิ้มและเอ่ยว่า

“อืม ข้ายอมแพ้แล้ว ข้าตั้งใจว่าจะกลับต้าฉู่วันนี้ การที่ได้เห็นท่านฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยก่อนจะกลับไปทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก”

ซูเจ๋อมองเข้าไปในแววตาของเธอ ทว่าไม่เห็นพิรุธใดๆ ภายในแววตาที่เป็นประกายคู่นั้น เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเดินทางจากต้าฉู่มาถึงเป่ยเซี่ยเพื่อตามข้ากลับไปงั้นหรือ แต่ตอนนี้ท่านกลับบอกว่าท่านจะยอมแพ้”

เฉินเสียนเลิกคิ้วและเอ่ยออกไปอย่างคนไร้หัวใจ “พูดไปแล้วท่านอาจจะไม่ชอบใจนัก ข้าก็แค่ทำไปเล่นๆ”

ซูเจ๋อเอ่ยว่า “ข้าฟังแล้วไม่ชอบเลยจริงๆ”

เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่คิดว่าการเดินทางจะลำบากยากเข็ญขนาดนี้ หากรู้ตั้งแต่แรกข้าคงไม่มา เมื่อก่อนตอนที่ท่านอยู่ต้าฉู่ ข้าก็แค่มีท่านไว้เพราะท่านรูปงาม แต่ข้าคือจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ วังหลังของข้าจึงไม่ได้มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างข้ากับท่านก็ใช่ว่าจะดีนัก ปุบๆ ปับๆ ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”

ซูเจ๋อปิดตาลงครึ่งหนึ่งและเอ่ยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็จำอดีตไม่ได้ ท่านแต่งเรื่องได้ตามสบาย”

เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “จริงด้วยสิ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จำได้ แล้วจะพูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน… สรุปแล้วก็คือ ท่านต้องรู้ไว้ว่าในวังหลังของข้าไม่ได้มีบุรุษแค่เพียงคนเดียว แม้จะกลับไปโดยไม่ได้พาท่านไปด้วย ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนัก”

ทันทีที่เฉินเสียนหันหลังให้เขาน้ำตาก็พลันไหลออกมาดั่งทำนบแตก ทว่าท่าทีทุกอย่างกลับยังคงปกติ เธอกล่าวว่า “ซูเจ๋อ ต่อจากนี้ไปท่านจะมีชีวิตที่ดี”

สีหน้าที่พอจะมีความหวังรางๆ ของซูเจ๋อเริ่มกลายเป็นถดถอย เขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านบอกไม่ใช่หรือ ว่าอาเซี่ยนยังรอข้าอยู่ที่ต้าฉู่”

“ก็แค่เด็กไม่มีพ่อที่เก็บมาเลี้ยงเท่านั้น ไม่ได้มีค่าพอจะให้กล่าวถึง” ริมฝีปากของเฉินเสียนสั่นระริก ทว่าเสียงที่เปล่งออกไปกลับฟังดูสงบ “นี่ก็สายแล้ว ซูเจ๋อ ข้าต้องไปแล้ว”

มือที่เกาะกุมอยู่ที่ข้อมือกระชับขึ้นทันทีเมื่อเธอยื้อตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ซูเจ๋อจับข้อมือของเธอไว้ นิ้วอันเรียวยาวและอบอุ่นกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากจะปล่อยเธอไปทั้งแบบนี้

เขามองไม่เห็นน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาของเฉินเสียน ในขณะที่เฉินเสียนก็มองไม่เห็นรอยขมวดมุ่นที่คิ้วของเขา

ซูเจ๋ออยากจะออกแรงรั้งเธอไว้แต่ก็กังวลว่าจะทำให้เธอเจ็บ สุดท้ายจึงทำได้เพียงใช้ปลายนิ้วลูบไล้บนข้อมือของเธออย่างแผ่วเบา เอ่ยอย่างชวนให้ไตร่ตรองว่า “ท่านจะไม่รอให้ข้าจำเรื่องราวในอดีตของเราได้แล้วค่อยตัดสินใจที่หลังจริงๆ หรือ”

เฉินเสียนหัวเราทั้งน้ำตาและกล่าวว่า “โชคดีที่ท่านยังจำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอะไรๆ คงยากกว่านี้ การที่ท่านกวนใจข้ามีแต่จะทำให้ข้าลำบากใจยิ่งขึ้น”

ซูเจ๋อฝืนยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าคงทำเรื่องไม่ดีไว้มาก หลังจากความจำเสื่อมแล้วยังต้องถูกทอดทิ้งให้ทุกข์ทรมาน คงไม่มีผู้ที่ความจำเสื่อมคนไหนผิดหวังไปยิ่งกว่าข้าอีกแล้ว”

“ท่านปล่อยข้าเถอะ” เฉินเสียนก้มหน้ามองต่ำและเอี้ยวตัวไปมองมือใหญ่ที่จับอยู่บนข้อมือของเธอ

แต่ซูเจ๋อกลับตอบว่า “ข้าไม่ปล่อย”

เฉินเสียนกระตุกมุมปากและกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบที่ท่านเป็นแบบนี้”

ซูเจ๋อบอกว่า “ครั้งก่อนท่านจูบข้าโดยที่ข้ายังไม่ได้ยินยอม”

ทันทีที่สิ้นเสียง ซูเจ๋อก็ออกแรงดึงเฉินเสียนกลับมาอย่างกะทันหัน เฉินเสียนไม่ทันตั้งตัวและถลาลงไปที่ข้างเตียงของซูเจ๋อทันที ซูเจ๋อมองเห็นดวงตาที่เปียกชื้นของเธอเต็มตา เปลือกตาของเขาค่อยๆ หลุบลง

เขาประคองศีรษะของเฉินเสียน ค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าไปใกล้และประทับจูบลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ถึงคราวที่ท่านต้องจ่ายคืน”

เฉินเสียนไม่รอให้ถลำลึกไปกว่านั้น เพียงเขาแค่ได้ลิ้มรสสัมผัสของเธอ เธอก็รีบผลักเขาออกไปอย่างร้อนรน

เธอพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ลาก่อน”

สุดท้ายซูเจ๋อจึงตอบไปเพียงว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าคือหงส์พันปี 659 แค่ทำไปเล่นๆ

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 659 แค่ทำไปเล่นๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทอดพระเนตรหมอผีนิดหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดฉลองพระองค์และตรัสว่า “ข้าจะไปเตรียมตัวเข้าเฝ้ายามเช้า รอจนจบการเข้าเฝ้าแล้วค่อยไล่นางออกไปก็ยังไม่สาย”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินออกไปที่ประตูและรับสั่งว่า “อีกเดี๋ยวให้คนนำน้ำขิงเข้ามาสองถ้วย”

หากเป็นเพราะความเจ็บป่วยของซูเจ๋อที่จะทำให้เฉินเสียนยอมตัดใจกลับไปต้าฉู่และจะไม่กลับมายุ่งวุ่นวายอีกในอนาคต ความเจ็บป่วยของเขาก็นับว่าคุ้มค่า ในเวลานี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเองก็ไม่ได้คิดจะโต้แย้ง ทั้งที่รู้ว่าหมอผีกำลังช่วยพูดเพื่อให้เฉินเสียนได้อยู่ที่นี่นานขึ้นอีกนิด ช่างเถิด… ปล่อยให้นางอำลาซูเจ๋อก่อนจากกัน เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปจนกระทั่งตายจากพวกเขาจะไม่มีทางได้พบเจอกันอีก

แสงอรุณนอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างไสวขึ้น

น้ำซึ่งขังอยู่ในแอ่งบนพื้นสะท้อนให้สีสันอันสวยงามของแสงพระอาทิตย์ที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า

วันนี้เป็นวันที่แดดจ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่ง

เฉินเสียนดื่มน้ำขิงด้วยความรู้สึกที่สับสนว้าวุ่น เธอจับมือของซูเจ๋อไว้ตลอดเวลาพร้อมกับเคาะนิ้วของเขา มีความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่บนฝ่ามือ ทว่าไม่รู้ว่าเป็นความอบอุ่นจากเธอหรือเขา

เธอยิ้มและเอ่ยว่า “ซูเจ๋อ ข้าต้องไปแล้วนะ เห็นท่านเป็นแบบนี้ ตอนนี้ข้าคงให้ท่านไปต้าฉู่ด้วยไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปท่านจะปลอดภัยกว่าหากอยู่ที่เป่ยเซี่ยและพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่ ในอนาคตหากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีก”

มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว

แต่เธอไม่อยากพูดออกมาตรงๆ จนเหมือนกับเธอกำลังปิดหนทางของตนเองด้วยมือของเธอเอง

เฉินเสียนคิด เธอกล่าวอีกว่า “ถึงจะพูดไปหลายครั้งแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากเตือนให้ท่านดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาๆ เมื่ออากาศหนาว เมื่อหิวต้องบอกให้คนเตรียมอาหารมาให้ อย่าหาเรื่องทำให้ตัวเองลำบาก หลังจากนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ท่านต้องรีบหายไวๆ นะ”

“อ้อ ถึงแม้ตอนแรกข้าจะไม่เชื่อเรื่องการผูกดวงแต่งงานเพื่อขจัดปัดเป่าความชั่วร้าย แต่เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยของพวกท่านกำหนดตัวพระชายารุ่ย ท่านก็ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นี้จึงนับว่ายังมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง พระชายารุ่ยผู้นั้นอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นนางก็เท่านั้น เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว หากมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างและรับรู้ทุกข์สุขของท่านก็คงจะดี”

เธอเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเธอโลภมากเกินไป และเธอจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้… ขอเพียงแค่เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เท่านี้ก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือ?

เฉินเสียนคิดว่าบางทีเธออาจจะเข้ามาอยู่ในชีวิตของซูเจ๋อเพียงเพื่อทำอันตรายเขา

นิ้วที่สั่นไหวของเธอลูบไล้ไปบนคิ้วของซูเจ๋ออย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วค่อยๆ เลื่อนลงมาสัมผัสที่สันจมูก เธอกำลังจะดึงมือกลับ แต่ไม่คิดว่าทันใดนั้นจะถูกซูเจ๋อคว้ามือเอาไว้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ทว่าฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง

ซูเจ๋อไม่ได้ลืมตา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะอาการป่วยว่า “ข้าไม่เคยเห็นหน้าพระชายารุ่ยผู้นั้นมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่านางมีดีตรงไหน ที่ข้าคิดว่าดีคือสตรีอวดดีที่บุกเข้ามาในห้องหอของข้า และบอกว่าพระชายารุ่ยเป็นคนไม่ดี”

เฉินเสียนหัวเราะนิดหนึ่งและบอกว่า “ข้าทำลายพิธีสมรสของท่าน คิดแล้วก็รู้สึกผิดมาก”

ซูเจ๋อไม่ขำ เขาถามว่า “ในที่สุดองค์จักรพรรดิของข้าก็เปลี่ยนพระทัยแล้วงั้นหรือ”

เฉินเสียนรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับไม่ให้เสียงสั่น จากนั้นจึงกล่าวว่า “พระองค์เป็นคนที่ใจแข็งดั่งเหล็กกล้า เมื่อเห็นท่านป่วยแบบนี้จึงไม่ยอมเปลี่ยนคำพูด แต่ช่างเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว”

“ยอมแพ้?” ปลายเสียงของซูเจ๋อตวัดขึ้นเล็กน้อย เขาลืมตาและหันไปมองเฉินเสียน

ในดวงตาเรียวยาวคู่นั้นสะท้อนให้เห็นสภาพที่อึดอัดของเธอ

แต่เธอไม่ได้ถอยหนีอย่างขี้ขลาด

เฉินเสียนแสดงท่าทีเฉกเช่นยามที่อยู่ ณ ดินแดนต้าฉู่ในฐานะจักรพรรดินี เธอปล่อยชายแขนเสื้อที่เลิกขึ้นมาในตอนแรกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงกระตุกริมฝีปากราวกับจะยิ้มและเอ่ยว่า

“อืม ข้ายอมแพ้แล้ว ข้าตั้งใจว่าจะกลับต้าฉู่วันนี้ การที่ได้เห็นท่านฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยก่อนจะกลับไปทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก”

ซูเจ๋อมองเข้าไปในแววตาของเธอ ทว่าไม่เห็นพิรุธใดๆ ภายในแววตาที่เป็นประกายคู่นั้น เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเดินทางจากต้าฉู่มาถึงเป่ยเซี่ยเพื่อตามข้ากลับไปงั้นหรือ แต่ตอนนี้ท่านกลับบอกว่าท่านจะยอมแพ้”

เฉินเสียนเลิกคิ้วและเอ่ยออกไปอย่างคนไร้หัวใจ “พูดไปแล้วท่านอาจจะไม่ชอบใจนัก ข้าก็แค่ทำไปเล่นๆ”

ซูเจ๋อเอ่ยว่า “ข้าฟังแล้วไม่ชอบเลยจริงๆ”

เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่คิดว่าการเดินทางจะลำบากยากเข็ญขนาดนี้ หากรู้ตั้งแต่แรกข้าคงไม่มา เมื่อก่อนตอนที่ท่านอยู่ต้าฉู่ ข้าก็แค่มีท่านไว้เพราะท่านรูปงาม แต่ข้าคือจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ วังหลังของข้าจึงไม่ได้มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างข้ากับท่านก็ใช่ว่าจะดีนัก ปุบๆ ปับๆ ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”

ซูเจ๋อปิดตาลงครึ่งหนึ่งและเอ่ยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็จำอดีตไม่ได้ ท่านแต่งเรื่องได้ตามสบาย”

เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “จริงด้วยสิ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จำได้ แล้วจะพูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน… สรุปแล้วก็คือ ท่านต้องรู้ไว้ว่าในวังหลังของข้าไม่ได้มีบุรุษแค่เพียงคนเดียว แม้จะกลับไปโดยไม่ได้พาท่านไปด้วย ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนัก”

ทันทีที่เฉินเสียนหันหลังให้เขาน้ำตาก็พลันไหลออกมาดั่งทำนบแตก ทว่าท่าทีทุกอย่างกลับยังคงปกติ เธอกล่าวว่า “ซูเจ๋อ ต่อจากนี้ไปท่านจะมีชีวิตที่ดี”

สีหน้าที่พอจะมีความหวังรางๆ ของซูเจ๋อเริ่มกลายเป็นถดถอย เขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านบอกไม่ใช่หรือ ว่าอาเซี่ยนยังรอข้าอยู่ที่ต้าฉู่”

“ก็แค่เด็กไม่มีพ่อที่เก็บมาเลี้ยงเท่านั้น ไม่ได้มีค่าพอจะให้กล่าวถึง” ริมฝีปากของเฉินเสียนสั่นระริก ทว่าเสียงที่เปล่งออกไปกลับฟังดูสงบ “นี่ก็สายแล้ว ซูเจ๋อ ข้าต้องไปแล้ว”

มือที่เกาะกุมอยู่ที่ข้อมือกระชับขึ้นทันทีเมื่อเธอยื้อตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ซูเจ๋อจับข้อมือของเธอไว้ นิ้วอันเรียวยาวและอบอุ่นกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากจะปล่อยเธอไปทั้งแบบนี้

เขามองไม่เห็นน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาของเฉินเสียน ในขณะที่เฉินเสียนก็มองไม่เห็นรอยขมวดมุ่นที่คิ้วของเขา

ซูเจ๋ออยากจะออกแรงรั้งเธอไว้แต่ก็กังวลว่าจะทำให้เธอเจ็บ สุดท้ายจึงทำได้เพียงใช้ปลายนิ้วลูบไล้บนข้อมือของเธออย่างแผ่วเบา เอ่ยอย่างชวนให้ไตร่ตรองว่า “ท่านจะไม่รอให้ข้าจำเรื่องราวในอดีตของเราได้แล้วค่อยตัดสินใจที่หลังจริงๆ หรือ”

เฉินเสียนหัวเราทั้งน้ำตาและกล่าวว่า “โชคดีที่ท่านยังจำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอะไรๆ คงยากกว่านี้ การที่ท่านกวนใจข้ามีแต่จะทำให้ข้าลำบากใจยิ่งขึ้น”

ซูเจ๋อฝืนยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าคงทำเรื่องไม่ดีไว้มาก หลังจากความจำเสื่อมแล้วยังต้องถูกทอดทิ้งให้ทุกข์ทรมาน คงไม่มีผู้ที่ความจำเสื่อมคนไหนผิดหวังไปยิ่งกว่าข้าอีกแล้ว”

“ท่านปล่อยข้าเถอะ” เฉินเสียนก้มหน้ามองต่ำและเอี้ยวตัวไปมองมือใหญ่ที่จับอยู่บนข้อมือของเธอ

แต่ซูเจ๋อกลับตอบว่า “ข้าไม่ปล่อย”

เฉินเสียนกระตุกมุมปากและกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบที่ท่านเป็นแบบนี้”

ซูเจ๋อบอกว่า “ครั้งก่อนท่านจูบข้าโดยที่ข้ายังไม่ได้ยินยอม”

ทันทีที่สิ้นเสียง ซูเจ๋อก็ออกแรงดึงเฉินเสียนกลับมาอย่างกะทันหัน เฉินเสียนไม่ทันตั้งตัวและถลาลงไปที่ข้างเตียงของซูเจ๋อทันที ซูเจ๋อมองเห็นดวงตาที่เปียกชื้นของเธอเต็มตา เปลือกตาของเขาค่อยๆ หลุบลง

เขาประคองศีรษะของเฉินเสียน ค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าไปใกล้และประทับจูบลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ถึงคราวที่ท่านต้องจ่ายคืน”

เฉินเสียนไม่รอให้ถลำลึกไปกว่านั้น เพียงเขาแค่ได้ลิ้มรสสัมผัสของเธอ เธอก็รีบผลักเขาออกไปอย่างร้อนรน

เธอพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ลาก่อน”

สุดท้ายซูเจ๋อจึงตอบไปเพียงว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+