ยอดหญิงสกุลเสิ่น 187-1 ตลกร้ายกลางงานเลี้ยงกลางวัน

Now you are reading ยอดหญิงสกุลเสิ่น Chapter 187-1 ตลกร้ายกลางงานเลี้ยงกลางวัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวรุ่ยฟังจับกำไลบนข้อมือรีบเดินไปยังเรือนของตน ทว่าตอนที่ใกล้จะถึงหน้าประตูเรือนกลับหยุดเท้าลง สายตาหันไปยังทิศทางหนึ่ง เดินไปที่เรือนซงเฮ่อของท่านย่าแทน

 

 

วันนี้อารมณ์ของเหล่าไท่จวินดีอย่างยิ่ง หลานสาวที่ออกเรือนสามคนพาหลายเขยมาเคารพนาง หลานเขยโขกศีรษะให้นาง ทำให้นางมีความสุขจนดวงตาหรี่เป็นขีด ไม่เห็นหรือว่า กำลังลากแม่นมฉินมาพูดไม่หยุดปาก

 

 

“ข้าน่ะ ชอบเด็กผู้ชายที่มีสง่าราศี หลานเขยสามคนนี้ล้วนแต่เลือกมาดีทั้งสิ้น” เหล่าไท่จวินยิ้มจนตาปิด หลานเขยสามคนไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังกตัญญูต่อนาง ของขวัญที่เตรียมมาก็จริงใจ

 

 

แม่นมฉินเองก็เอาใจอย่างอารมณ์ดีทั้งใบหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจวนโหวของเราจะเลือกเขยด้อยได้อย่างไร นี่เองก็เป็นเพราะพึ่งพาวาสนาของเหล่าไท่จวิน”

 

 

เหล่าไท่จวินถูกยกยอก็ยิ่งมีความสุขดั่งคาด แต่ปากกลับบอกว่า “ไหนเลยจะเป็นวาสนาของข้า ล้วนแต่เป็นการจัดการของลูกสะใภ้คนโต” ทว่าสีหน้าบนใบหน้านั้นกลับเก็บคุณงามความดีคืนสู่ตัวเอง

 

 

แม่นมเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบตาขึ้นมองปราดหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาก้มหน้างุดลงไป

 

 

ตอนที่หลิวรุ่ยฟังเข้ามาก็ฟังอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะตั้งใจฟังอีก สาวใช้ก็เรียกนางเข้าไปแล้ว

 

 

“ท่านย่า” หลิวรุ่ยฟังเงยหน้ายิ้มให้เหล่าไท่จวินอย่างมีความสุข

 

 

เหล่าไท่จวินเห็นเสื้อผ้าบนร่างนางคิ้วก็ขมวดมุ่นทันที คนอายุมากชอบให้ลูกหลานสวมชุดสีสด แต่งตัวอย่างสดใสที่สุด ที่ต้องห้ามที่สุดก็คือชุดที่จืดชืด ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่กึ่งเก่า ดูไกลๆ เหมือนชุดไว้ทุกข์ ในจวนกำลังมีงานมงคล ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมชุดเช่นนี้ไม่เข้าตาเหล่าไท่จวินจริงๆ

 

 

หลิวรุ่ยฟังทำเป็นมองไม่เห็นความไม่ชอบใจบนใบหน้าของเหล่าไท่จวิน หยิบของขวัญที่ได้มาเมื่อครู่ออกมาราวกับเด็กอวดสมบัติ “ท่านย่าท่านดูสิ นี่เป็นของที่ญาติผู้พี่ให้ข้า ปิ่นทองอันนี้ญาติผู้พี่รองให้มา กำไลพันไหมทองอันนี้ญาติผู้พี่สามให้มา กำไลหยกที่สวยงามอันนี้ญาติผู้พี่สี่ให้มา ญาติผู้พี่ดีจริงๆ” นางกล่าวด้วยใบหน้าเล็กๆ ที่เปล่งประกาย

 

 

ปิ่นทองกับกำไลทองนี้เหล่าไท่จวินมองดูแล้วเป็นเพียงของธรรมดา มีแต่กำไลหยกอันนั้นที่ยังดีกว่าหน่อย แต่ของธรรมดาๆ เช่นนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับนำมาอวดถึงหน้านาง นี่ทำให้เหล่าไท่จวินอดใจอ่อนไม่ได้ ทั้งยังสงสารอย่างถึงที่สุด

 

 

พวกซวงเอ๋อร์มีใครบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงมาอย่างดิบดี แม้แต่อิงเอ๋อร์ที่เป็นลูกอนุภรรยาก็ยังไม่เคยขาดแคลนเครื่องประดับสวยๆ แต่บนศีรษะฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับโล่งโจ้ง แม้แต่เครื่องประดับศีรษะดีๆ สักชิ้นก็ไม่มี นี่คือหลานสาวของตน จะไม่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจได้อย่างไร

 

 

“เด็กดี ในเมื่อญาติผู้พี่ให้ของเจ้า เจ้าก็เก็บไว้ให้ดีเถอะ” เหล่าไท่จวินถอนหายใจในใจหนึ่งครา มองฟังเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความเอ็นดู กล่าวอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นสตรีอายุน้อย เป็นวัยที่ต้องสวมเสื้อผ้าสีสดใส แต่งตัวจืดชืดเช่นนี้ดูไม่ดีนัก หู่พั่ว ไปหาผ้าสีสดสว่างสี่ผืน ส่งไปที่เรือนคุณหนูญาติผู้น้อง แล้วไปบอกเรือนเย็บปักด้วยว่า ตัดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสตรีสี่ชุดให้คุณหนูญาติผู้น้อง”

 

 

หู่พั่วตอบรับหนึ่งคราจากนั้นจึงถอยออกไป ใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังแดงก่ำ “ท่านย่า พอแล้วๆ ผ้าสี่ผืนมากพอแล้ว ไม่ต้องตัดเสื้อผ้าให้ข้าแล้ว ข้า ข้ามีเสื้อผ้าใส่” ประโยคสุดท้ายเสียงของนางเบามากเป็นพิเศษ กัดริมฝีปากอย่างละอายใจ “ท่านย่า รุ่ยฟังใช่ทำท่านขายหน้าหรือไม่”

 

 

ท่าทางใกล้จะร้องไห้นั่นของนางทำให้เหล่าไท่จวินยิ่งอดตำหนินางไม่ได้ “ไม่โทษเจ้า เป็นย่าที่คิดไม่ถึงเอง เด็กดี เจ้าทำใจให้สบายรอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เถอะ ย่าชอบเด็กผู้หญิงแต่งตัวเหมือนดอกไม้ที่สุด”

 

 

สถานการณ์บ้านฝั่งมารดานางก็รู้มาพอควร พ่อของฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนไม่มีเหตุผล ยกย่องคนชั้นต่ำขึ้นฟ้า แม้แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวภรรยาหลวงผู้นี้ยังไม่ได้สมปรารถนา แม่ของฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ไร้ประโยชน์ กุมหัวใจสามีไม่ได้ ซ้ำยังรักษาลูกไว้ไม่ได้อีก

 

 

สงสารก็แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์เด็กคนนี้ ช่างเถอะๆ เรื่องจุกจิกเหล่านั้นที่บ้านฝั่งมารดานางเองก็ขี้เกียจจะยุ่ง ช่วยเหลือด้านการเงินทุกปีก็พอแล้ว ถือโอกาสที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์อยู่ตรงหน้านาง นางจะต้องเตรียมของให้นางดีๆ หลังจากนี้ออกเรือนก็จะได้มีสมบัติส่วนตัว

 

 

คิดถึงตรงนี้ สายตาที่เหล่าไท่จวินก็มองฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็มีความสงสารเพิ่มมากขึ้น กล่าวกับแม่นมฉิน “เอาเครื่องประดับ**บนั้นที่ได้จากผู้น้อยเมื่อเดือนก่อนมาให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ใส่เสีย”

 

 

เห็นฟังเจี่ยเอ๋อร์ตกใจจนโบกมือไม่เอา นางก็โน้มน้าวเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ สตรีต้องสวมใส่ของสวยๆ งามๆ เยอะๆ จึงจะดูดี **บเครื่องประดับของญาติผู้พี่เจ้าเต็มไปหมด มีแต่เจ้าที่ไม่มี ย่าไม่อาจละเลยเจ้าได้”

 

 

น้ำตาแห่งความซาบซึ้งของหลิวรุ่ยฟังไหลลงมา ซบขาของเหล่าไท่จวินแล้วสะอื้นกล่าว “ท่านย่า ท่านดีกับรุ่ยฟังมากจริงๆ ท่านพ่อ ท่านแม่…” นางพูดต่อไม่ได้แล้ว ก้มหน้าสะอื้นไห้เสียงเบา

 

 

เหล่าไท่จวินลูบหัวฟังเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความสงสาร “รู้แล้ว รู้แล้ว ย่ารู้แล้วว่าเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม เจ้าเป็นเด็กดี วางใจได้แล้ว เจ้าอยู่ในจวนให้สบายใจ กลับไปย่าจะไม่ลืมเรื่องการสมรสของเจ้า” นางสัญญาเช่นนี้

 

 

“ท่านย่า” ใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังแดงกว่าเดิม เสียงเบาราวกับยุง ในสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเขินอาย ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นน้อยๆ ดวงตาที่หลุบลงก็เปล่งประกายจนน่าตกใจ หากท่านย่าสามารถช่วยนางวางแผนเรื่องการสมรสได้ เช่นนั้นนางจะยังมีอะไรให้ทุกข์ใจอีก

 

 

ในมือชิงหยาถือ**บเครื่องประดับเดินตามอยู่ข้างหลังคุณหนูอย่างงุนงง ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเพียงแค่เดินวนหนึ่งรอบเช่นนี้จะได้ของดีมากถึงเพียงนี้

 

 

ออกจากเรือนซงเฮ่อแล้วสีหน้าบนใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังก็เกลี้ยงเกลาหมดจด ไหนเลยจะยังมีความลำบากใจและเขินอายอย่างก่อนหน้านี้อยู่อีก ในใจนางพอใจอยู่เงียบๆ ก็แค่แสร้งบีบน้ำตาทำตัวน่าสงสารมิใช่หรือ เป็นแผนซื้อขาย ดูสิ ท่านย่าให้ของดีนางมากเพียงใด แค่เครื่องประดับหนึ่ง**บนี้ก็มีมูลค่าหลายร้อยตำลึงแล้ว

 

 

หลิวรุ่ยฟังกำหมัดแน่นบอกตัวเอง จะต้องเอาอกเอาใจท่านย่า จะต้องทำให้นางชอบใจเพื่อที่จะได้คู่สมรสที่ดี นางจึงจะสามารถหลุดออกมาจากรังโคลนแห่งนั้นในจวนตระกูลหลิวได้

 

 

ตอนที่ผ่านภูเขาจำลอง หลิวรุ่ยฟังนายบ่าวก็มองเห็นสาวใช้น้อยสองคนกวาดใบไม้ร่วงไปพลางสนทนาไปพลาง หลิวรุ่ยฟังคล้ายได้ยินพวกนางเอ่ยถึงท่านเขยสองคำนี้ ใจเต้นอย่างอดไม่ได้ ดึงชิงหยาหลบหลังภูเขาจำลอง

 

 

“จะว่าไปคุณหนูจวนพวกเราก็โชคดีจริงๆ ท่านเขยที่มาวันนี้เจ้าเห็นแล้วหรือยัง”

 

 

“ไม่เห็น พวกเราไม่ใช่สาวใช้ใหญ่ที่ได้หน้า ไหนเลยจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้านายได้ พี่หลานเห็นท่านเขยแล้วหรือ เล่ามาเร็ว” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา

 

 

“หึ ตอนที่ท่านเขยมาข้าทำงานอยู่ในสวนดอกไม้เล็กพอดี ก็แค่บังเอิญเห็นไม่ใช่หรือไร ท่านเขยสามคนนี้ของพวกเราหน้าตาดีจริงๆ ตัวก็สูง ไม่ต่างจากคุณชายใหญ่ของพวกเรานัก เสื้อผ้าที่สวมก็งดงาม ดูมีสง่าราศียิ่งนัก อีกทั้งยังใจกว้าง เพียงแค่คนรับใช้ที่บังเอิญเจอก็ให้เงินปูนบำเหน็จแล้ว ข้าเองก็ได้ก้อนเงินหนึ่งก้อน ได้ก้อนเงินเชียวนะ” ในน้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความดีใจ

 

 

“จริงหรือ พี่หลานโชคดีจริงๆ เหตุใดข้าถึงไม่โชคดีเช่นนี้บ้างเล่า” เสียงที่เศร้าใจดังขึ้น “ดูท่าแล้วฐานะท่านเขยสามคนนี้ของพวกเราคงจะไม่ด้อยเลย”

 

 

“ใช่แล้ว สามีของคุณหนูจวนโหวจะด้อยได้อย่างไร ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ท่านเขยสองของพวกเราเป็นคุณชายจวนเสนาบดี เป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีใจให้กันตั้งแต่เล็กกับคุณหนูสองของเรา ได้ยินพี่ๆ ข้างบนบอกว่า ฮูหยินของพวกเรากับพี่สะใภ้ฝั่งแม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คุณหนูสองของเราแต่งเข้าไปแล้วไม่ใช่ว่าตกเข้าไปในบ่อแห่งความสุขหรอกหรือ ท่านเขยห้าเองก็ไม่ธรรมดา เขาเป็นท่านซื่อจื่อจวนหย่งหนิงโหว เป็นคุณชายยอดเยี่ยมที่มีชื่อในเมืองหลวง เทียบกับสองคนนี้แล้วท่านเขยสามด้อยกว่าเล็กน้อย ตระกูลเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ต่อให้จะด้อย เขาก็เป็นถึงคุณชายตระกูลขุนนางขั้นสี่” คนผู้นี้ที่ถูกเรียกว่าพี่หลานดูเหมือนเป็นคนสืบข่าว พูดเรื่องข่าวลือของนายแล้วรู้ดีเหมือนเป็นเรื่องของตนเอง

 

 

“พูดได้ว่ายังคงเป็นท่านเขยห้าที่โดดเด่นที่สุดใช่หรือไม่ คุณหนูห้าโชคดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่ากันว่าคนผู้นั้นของบ้านสามถูกขังอยู่ในหอธรรมหรอกหรือ” ประโยคสุดท้ายกดเสียงต่ำกล่าว หลิวรุ่ยฟังได้ยินไม่ชัดเจน

 

 

จากนั้นก็ได้ยินพี่หลานผู้นั้นกล่าว “ชู่ว์ เบาๆ หน่อย เจ้าอยากตายหรือไร” ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เบาลงมาก หลิวรุ่ยฟังพยายามโน้มตัวจึงจะพอได้ยิน

 

 

“เจ้าเพิ่งเข้าจวนมาทำงานเลยไม่รู้ ฮูหยินผู้นั้นของบ้านสามเข้าหอธรรมก็เพราะท่านเขยผู้นี้ไม่ใช่หรือ เดิมท่านเขยห้าผู้นี้เป็นคู่หมั้นคุณหนูสี่ของเรา แต่ฮูหยินสามใช้อุบายช่วยคุณหนูห้าวางแผนดึงตัวมา”

 

 

“จริงหรือ” เป็นเสียงปิดปากอุทาน “เช่นนั้น…เช่นนั้นคุณหนูสี่ของพวกเรายินยอมด้วยหรือ”

 

 

“ดังนั้นฮูหยินสามจึงต้องเข้าหอธรรมอย่างไรเล่า” นี่เป็นเสียงของพี่หลาน “คุณหนูสี่ผู้นี้ของเราเก่งกาจ วาสนาก็ดี ต่อมาจักรพรรดิก็พระราชทานสมรสให้ ว่าที่ท่านเขยสี่ก็คือคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ตอนนี้คุณหนูสี่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่แล้ว ชีวิตหลังจากนี้น่ะ จุ๊ๆ”

 

 

จากนั้นเสียงของพี่หลานก็ดังขึ้นต่อ “เจ้าเองก็ไม่มีโชค ตอนที่เข้าจวนมาคุณหนูสี่ก็ไปวัดต้าเจวี๋ยแล้ว เรือนเฟิงหวาไม่ต้องการคน หากเจ้าได้เข้าเรือนเฟิงหวาก็นับได้ว่าตกลงในบ่อแห่งความสุข ทั้งจวนก็มีแต่เรือนเฟิงหวาที่เงินดีที่สุด เสื้อผ้าที่สาวใช้กวาดพื้นเหมือนพวกเราสวมใส่ยังไม่ด้อยกว่าสาวใช้ใหญ่ที่อื่นด้วยซ้ำ หากข้ามีเส้นสายก็คงจะฝากคนขอย้ายเข้าไปนานแล้ว”

 

 

ต่อมาเสียงของทั้งสองคนก็เบาลงอีก หลิวรุ่ยฟังพยายามเงี่ยหูก็ยังไม่ได้ยิน นางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดพาชิงหยาออกจากหลังภูเขาจำลองอย่างระมัดระวัง

 

 

กระทั่งกลับไปถึงห้องนางก็ยังคงมีท่าทางครุ่นคิด นางก็ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นญาติผู้พี่ห้าเลย ที่แท้แล้วญาติผู้พี่สี่กับญาติผู้พี่ห้าก็ไม่ถูกกันนี่เอง ก็ใช่ หากมีคนแย่งคู่หมั้นของนาง นางก็คงจะไม่ยอมวางมือเหมือนกัน มิหนำซ้ำที่แย่งไปยังเป็นท่านซื่อจื่อผู้นั้นของจวนหย่งหนิงโหวอีกด้วย

 

 

อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน หลิวรุ่ยฟังเองก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านซื่อจื่อผู้นี้ พี่สาวลูกอนุภรรยาของนางก็มักจะพูดถึงท่านซื่อจื่อผู้นี้อยู่บ่อยๆ ท่าทางชื่นชมไม่หยุด ต่อให้จะต้องสละตนเป็นอนุภรรยาก็ยินดี

 

 

หลิวรุ่ยฟังอยากเห็นว่าท่านซื่อจื่อผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไรจริงๆ ตอนนี้กลับมีโอกาสดี ยังมีคุณชายจวนเสนาบดีผู้นั้น กระทั่งคุณชายตระกูลขุนนางขั้นสี่ผู้นั้น หลิวรุ่ยฟังอยากเห็นหน้าตาของคุณชายสูง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด