เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 355 ใครปลุกปั่นเก่งกว่ากัน

Now you are reading เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย Chapter บทที่ 355 ใครปลุกปั่นเก่งกว่ากัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 355 ใครปลุกปั่นเก่งกว่ากัน

“จี้หมิงซู! นางพูดว่าอะไรนะ นางบอกว่าธิดาเทพคือจี้หมิงซูอย่างนั้นหรือ?!”

มีคนที่ไม่ได้อยู่แถวหน้า ๆ จึงได้ยินไม่ชัด แต่จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ธิดาหงส์บัญชาสวรรค์คือจี้หมิงซู! จี้หมิงซูบอกว่าตัวเองมีชะตาฮองเฮา!?

สตรีที่มีนิสัยต่ำช้า อาศัยการขโมยความสามารถของผู้อื่น วางแผนทำร้ายพี่สาวที่เป็นบุตรภรรยาเอกสามารถขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างนั้นหรือ?

เช่นนั้นคนที่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างพวกเขา มิเท่ากับสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้หรอกหรือ!

จี้หมิงซูเห็นทหารองครักษ์เหล่านั้นยืนนิ่งไม่ขยับ จึงไปลากหญิงชราผู้นั้นมาด้วยมือตัวเอง “เจ้าอย่ามาปล่อยข่าวให้ผู้คนตื่นตระหนก จี้หมิงซูอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก! ทุกคนอย่าไปฟังนางบ้าผู้นี้พูดจาเหลวไหล

ข้าไม่ใช่จี้หมิงซู!”

นางเอ่ยอธิบาย แต่เสียงเพียงเท่านั้นจะอุดปากของทุกคนได้อย่างไร

“ข้ารู้ นางก็คือจี้หมิงซู หน้าตาเหมือนกันเลย”

มีคนออกมายืนยันไม่ขาดสาย ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างก็ไม่เคยเห็นจี้หมิงซูมาก่อน คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ออกจากบ้าน ไหนเลยจะเปิดเผยหน้าตาให้ผู้คนทั่วไปเห็น พวกเขาเคยได้ยินแต่เรื่องที่จี้หมิงซูแอบทำลับ ๆ ว่าสกปรกเพียงใด

สิ่งที่น่าเกลียดชังยิ่งกว่าก็คือการฆ่าและทำร้ายบัณฑิต แย่งชิงความสามารถของผู้อื่น

“ใช่ ข้าก็เคยเห็น จี้หมิงซูก็มีหน้าตาเช่นนี้”

“สวรรค์ ธิดาหงส์บัญชาสวรรค์คือจี้หมิงซูจริงหรือ?!”

เวลานี้ทุกคนกลับพูดไม่ออกแล้ว

หญิงชราที่จับจี้หมิงซูเอาไว้ยกยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ร้องไห้เสียงดัง “คุณหนู ตอนนี้ท่านเป็นธิดาหงส์บัญชาสวรรค์แล้ว ต้องทำให้จวนจี้กั๋วกงของพวกเรากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งนะเจ้าคะ! ทำให้หย่งกวานโหวนั่นได้รู้ถึงความร้ายกาจของเรา!”

เมื่ออารมณ์ของบรรดาฝูงชนถูกปลุกปั่นขึ้นมาแล้ว หญิงชราผู้นั้นก็ปล่อยข้อเท้าของจี้หมิงซูและวิ่งฝ่าเข้าไปในฝูงชนก่อนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อจี้หมิงซูกระวนกระวายจนไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่น ๆ เช่นไร หญิงชราผู้นั้นจึงได้มุดเข้าไปในตรอก เช็ดเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าทะเล้นของเสี่ยวลิ่วจื่อ

เขาโผล่หัวออกไปและตะโกนขึ้นมาหนึ่งประโยค “ต้องเป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว หากว่าฮองเฮาของแคว้นเป็นคนที่มีนิสัยต่ำช้าเช่นนี้ บ้านเมืองคงล่มจมเป็นแน่!”

ประโยคเดียวปลุกคนที่อยู่ในความฝันให้ตื่นขึ้นมา!

ใช่แล้ว แค่นางเป็นธิดาเทพอะไรนี่ก็จะให้ชาวบ้านนำเงินหลายพันตำลึงออกมาแล้ว หากนางได้เป็นฮองเฮาจริง ๆ มิเท่ากับต้องซื้อขายตำแหน่งขุนนาง เสียดินแดนให้ศัตรูหรอกหรือ?

สตรีเช่นนี้คู่ควรให้ได้รับความเคารพจากพวกเขาที่ใดกัน!

เช่นนี้ดูท่าราชครูเองก็น่าสงสัยเช่นกัน ไม่แน่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกหลอกด้วย

เจียงเช่อกับจี้หมิงซูต่างก็คาดไม่ถึงว่าตัวตนของนางจะถูกเปิดโปงเช่นนี้ ทั้งยังส่งผลต่อแผนการทั้งหมดด้วย เทียบกับการมีชีวิตรอด เทียบกับความเลื่อมใส พวกเขารังเกียจคนอย่างจี้หมิงซูมากกว่า

เจียงเช่อสัมผัสได้ว่าจี้หมิงซูตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ก็รีบลุกขึ้นยืนและสั่งนักต้มตุ๋นข้างกายให้สะบัดธงที่ใช้เรียกลมเรียกฝน พลางลากจี้หมิงซูกลับมา ปากก็เริ่มท่องอย่างฉะฉาน

“สิ่งชั่วร้ายปล่อยข่าวลือในฝูงชน ทุกคนอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด! นี่คือกลอุบายของสิ่งชั่วร้ายที่มังกรน้ำสร้างขึ้นมา!

ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก จะถูกสิ่งสกปรกครอบงำได้”

ไม้นี้ของเจียงเช่อนับว่าได้ผล สาวกที่ยังนับถือบางคนก็เริ่มเงียบลงบราวนี่ออนไลน์

แต่หากเขาคิดว่าการทำเช่นนี้จะสามารถตบตาได้ เช่นนั้นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!

ขณะที่เจียงเช่อหมุนเข็มทิศ ท่าทางราวกับผู้สูงส่งกำลังสื่อสารกับทวยเทพอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดขึ้นมา “ดูนั่น! เป็นมังกร เป็นมังกรเทพ!”

“ท่านราชครูแสดงอิทธิฤทธิ์! ท่านราชครูศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ!”

ชาวบ้านต่างเบิกตากว้าง มองดูมังกรเทพบนท้องฟ้าที่กำลังพลิกตัวไปมาท่ามกลางหมู่เมฆ

ตำหนักฉินเจิ้งในเวลานี้ บรรดาคนในวังต่างชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าและร้องออกมาด้วยความตกใจ ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็มีเจียงเต๋อคอยประคองขณะเดินออกมานอกตำหนัก “เป็นมังกรจริงหรือ!? ท่านราชครูมีอิทธิฤทธิ์จริง ๆ”

ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นฝีมือของเจียงเช่อ แต่มีเพียงเจียงเช่อคนเดียวเท่านั้นที่มองไม่เห็นอะไรและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้เขายากที่จะควบคุมได้

ขณะที่บรรดาชาวบ้านกำลังฮือฮากันอยู่นั้น กลับพบว่ามังกรตัวนั้นได้เหาะไปยังอีกด้านหนึ่งของถนนจูเชว่ ราวกับว่าเป็นการต้อนรับการมาของเทพเจ้าตัวจริง

ทุกคนต่างมองตามโดยพร้อมเพรียงกัน ราวกับกลัวว่าจะพลาดการเคลื่อนไหวของมังกรเทพไป

จนกระทั่งมังกรตัวนั้นเปล่งเสียงคำรามขึ้นมาหนึ่งครั้งและมุดหัวลงไปทางด้านนั้น ทุกคนจึงพบว่าบนแท่นของชั้นบนสุดของภัตตาคารไม่ไกลนัก มีดอกบัวขนาดใหญ่ค่อย ๆ เบ่งบาน มีเด็กชายและเด็กหญิงสองคนนั่งอยู่ข้างใน

สวมผ้าเอี๊ยมคาดหน้าอกและปลอกคอสีทอง หว่างคิ้วของทั้งสองมีจุดสีแดง ทั้งยังเปล่งประกายสีทองใต้แสงรัศมีอีกด้วย และมังกรเทพตัวนั้นก็ลอยวนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา

โดยทั้งสองด้านของพวกเขา ต่างก็มีพระอรหันต์สัมฤทธิ์คุ้มกันอยู่

อาชิงบิดก้นเล็ก ๆ ไปมา พลางกระซิบ “พี่หญิง ข้าคันก้นจังเลย”

อาอินจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “อย่าขยุกขยิก ตอนนี้เจ้าคือซุนต้าเซิ่งปราบมารสยบปีศาจ พวกเราเป็นกุมารสวรรค์ ต้องวางท่าเป็นเทพเจ้า”

อาชิงพยักหน้ารับคำ เลียนแบบคำพูดที่เว่ยเจ๋อเซิงสอนเมื่อครู่ เขาเบิกตากว้าง มือถือขวดหยก พลางถามเสียงดังไปยังแท่นพิธีด้านล่าง “ได้ยินว่ามีปีศาจมาก่อภัยพิบัติ ข้าจึงมาเพื่อสยบมาร ราชครูเจียงเช่อ ยังไม่รีบให้จับแต่โดยดีอีกหรือ!”

เพื่อช่วยเสริมบทพูดของอาชิง จี้จือฮวนจึงเขย่ากล่องยาน้อย ภาพทางนั้นก็เปลี่ยนไป มีเสียงที่เป็นภาษาสันสกฤตท่อนหนึ่งดังออกมาทันที

เว่ยเจ๋อเซิงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แทบอยากจะคุกเข่าลงเรียกนางว่าท่านปรมาจารย์เสียเดี๋ยวนี้

“แม่นางจี้…อิทธิฤทธิ์นี้ หรือว่าท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนขอรับ?”

จี้จือฮวนเอ่ยอย่างลึกซึ้งยากจะคาดเดา “เป็นแค่ละครลิง ตอนเด็กข้าอาศัยฝีมือด้านนี้ ขายศิลปะเพื่อเลี้ยงชีพในยุทธภพก็เท่านั้น”

แววตาของเว่ยเจ๋อเซิงเผยความนับถือออกมา “หากมีวิธีตบตาเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาผู้ที่ขายศิลปะในยุทธภพแล้วขอรับ”

จี้จือฮวน “…”

ขอบคุณที่ชม

เสียงภาษาสันสกฤตที่ดังออกมาจากกล่องยาน้อยฟังดูโบราณ ประกอบกับเสียงสวดพระสูตรทำให้ผู้คนรู้สึกดื่มด่ำ ราวกับว่าพวกเขาอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าและได้เห็นเทพเจ้าที่แท้จริงก็มิปาน

“นี่ต่างหากเทพเจ้าที่แท้จริง!”

“ท่านเทพช่วยพวกเราด้วย!”

อาอินสะบัดกิ่งหลิวที่อยู่ในขวดหยกหนึ่งครั้ง เสียงนุ่มนิ่มดังขึ้นมา “ราชครูเจียงเช่อพูดจาเหลวไหลเพื่อหลอกลวงผู้คน สร้างภัยพิบัติให้กับสรรพสิ่ง…”

คำพูดที่เหลือชาวบ้านได้ยินไม่ชัดเจน แต่สองประโยคแรกพวกเขากลับได้ยินอย่างชัดเจน!

ราชครูเป็นปีศาจ! เขาพูดจาเหลวไหล หลอกลวงฮ่องเต้ ทั้งยังหลอกลวงผู้คนด้วย

แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่ายังมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าไม่สามารถเชื่อมโยงได้

จนกระทั่งนักแสดงนำอย่างเสี่ยวลิ่วจื่อและจางปาเหลี่ยงที่ปะปนอยู่ในฝูงชนมาโดยตลอดหาโอกาสตะโกนออกมาได้ “ธิดาหงส์บัญชาสวรรค์คือจี้หมิงซู ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าจี้หมิงซูกับองค์ชายรองมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ส่วนองค์ชายสามเพื่อให้ได้เงินสกปรกและขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ถึงกับทำให้หลูโจวตกที่นั่งลำบาก กุมราคาข้าวไว้ในมือ! ราชสำนักแห่งนี้เป็นกลุ่มหัวขโมย ราชสำนักนี้เป็นพวกไก่ขันหมาขโมย*เช่นไรกัน?!”

* ไก่ขันหมาขโมย (鸡鸣狗盗) หมายถึง ผู้ที่มีพฤติกรรมหรือวิธีการต่ำช้า

“องค์ชายของราชวงศ์ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาเช่นนี้ พวกเรายังต้องภักดีต่อคนเช่นนี้อีกอย่างนั้นหรือ!?”

“เช่นนี้ฮ่องเต้ควรออกมาให้คำอธิบายกับราษฎรหรือไม่? หลูโจวก็คือตัวอย่างของความล้มเหลว อย่ามองว่าอยู่ห่างไกลจากพวกเรา เพราะที่ต่อไปไม่แน่อาจจะเป็นพวกเราก็ได้!”

ใครบ้างไม่มีพ่อแม่หรือญาติมิตร? ใครบ้างไม่อยากมีชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้คนที่ตัดทางรอดของพวกเขากลับเป็นลูกชายสุนัขของฮ่องเต้ ผู้ที่หลอกลวงพวกเขาก็เป็นราชครูที่ฮ่องเต้สนับสนุน ฮ่องเต้เช่นนี้ ราชสำนักเช่นนี้! พวกเขาจะสามารถฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้อย่างสบายใจได้อย่างไร!

“ฆ่าราชครู ฆ่านางปีศาจ!!”

“องค์ชายทำผิด มีโทษเท่ากับราษฎร!! อย่าคิดว่าจะปกปิดเรื่องนี้ได้!”

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด