เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 342 : สนามรบ

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 342 : สนามรบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 342 : สนามรบ

ซอยเจ็ดสิบหกพังยับเยินเป็นซากโดยสมบูรณ์แล้ว

เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าเหนือสนามรบเหมือนขนห่าน แต่ไม่มีเกล็ดหิมะใดที่ลงถึงพื้นได้สำเร็จ พวกมันถูกอีเธอร์มหาศาลที่มองไม่เห็นแผดเผาจนระเหยไปกลางอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นวังวนความชื้นมหาศาลในอากาศ

ถนนด้านล่างและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบทั้งหมดถูกทำลาย ซากแตก ๆ และอิฐพัง ๆ กลายเป็นกระแสเหล็กอันทรงพลังซึ่งถูกแรงที่มองไม่เห็นยกขึ้น ลอยกระจัดกระจายบนอากาศเป็นวงกลมสีขาวดำสองวงจากการเกิดของสนามพลังขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร

หากมองลงมาจากเบื้องบน ภาพที่เห็นจะเหมือนดาวเคราะห์ขนาดย่อมที่ถูกล้อมรอบด้วยชั้นอุกกาบาตที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พื้นดินรอบ ๆ ถูกบดขยี้จนแหลก

เหตุผลการเกิดเรื่องนี้ง่ายมาก…

นั่นคือโจเซฟกับไวลด์ที่บังเอิญเลื่อนระดับสู่เหนือนภาพร้อมกันโดยไม่ได้คาดฝัน ทำให้เกิดการระเบิดและปะทะกันของอีเธอร์รอบข้าง

เจ้าหน้าที่หน่วยโลจิสติกส์ของหอพิธีกรรมต้องห้ามกระจัดกระจายกันอยู่รอบ ๆ สนามพลัง ในระยะพอเหมาะแล้วสร้างเขตแดนจากเครื่องจำลองนิมิตเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาหลงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนเจ้าหน้าที่จากหน่วยรบแต่ละคนต่างจัดตำแหน่งของตนเองไว้อย่างมั่นคง พวกเขาบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ต้องเข้ารับการรักษาหรือพักผ่อน ขวัญกำลังใจโดยรวมต่ำเตี้ย

ตั้งแต่วินาทีที่ตรวจพบการระเบิดของอีเธอร์ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลางสนามรบเมื่อครู่ จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่ใช่กำลังหลักในสงครามนี้อีกต่อไป แต่ต่อจากนี้ พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับผู้เหลือรอดจากนิกายกลืนศพอยู่ดี

แต่ที่จริงแล้ว ในหมู่ผู้เหลือรอดในตอนนี้ น้อยคนที่ยังสู้ต่อไหว

เมื่อผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติสองคนจุติเป็นเทพพร้อม ๆ กันแล้วระเบิดพลังสุดแรงเข้าปะทะกันเอง ผู้ที่เห็นภาพนี้แล้วรอดชีวิตมาได้คงมีไม่มาก…ที่จริงก็คงไม่ถึงหนึ่งในสิบของคนที่อยู่ที่นี่

ส่วนคนที่หนีไม่ทัน…ก็จะถูกสนามพลังขยี้เละแล้วลอยไปตามวงโคจรพร้อม ๆ กับเศษซากและฝุ่นผงอื่น ๆ

จบเห่! ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้วโว้ยย!

เมื่อวินสตันได้ยินหน่วยโลจิสติกส์รายงานการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของอีเธอร์อย่างกะทันหันจากสองแกนกลาง เขาก็มีเพียงความคิดนี้เท่านั้นที่แล่นเข้ามาในใจ

ไม่ว่าหัวหน้าหน่วยรบคนนี้จะมีบุคลิกเยือกเย็นแค่ไหน เขาก็อยากจะสบถ ‘เ**ดแม่!’ ขึ้นมาอยู่ดี

ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วนับแต่ที่โจเซฟได้ยินข่าวที่ลูกสาวของเขาติดอยู่ในสนามรบแล้วปรี่ออกมาจากหอพิธีกรรมต้องห้ามสู่จุดเกิดเหตุ และกำลังรบหลักของหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ถูกส่งออกมาแล้วเช่นกัน

ศูนย์กลางของสนามรบมีการใช้เครื่องจำลองนิมิตกลางเขตแดนคลุมไว้ ข้อมูลภายในถูกตัดขาด มีเพียงต้องเข้าไปด้านในเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าสถานการณ์รุนแรงแค่ไหน

ในฐานะที่วินสตันเป็นหัวหน้าหน่วยรบ เขาจึงต้องออกรบด้วยตนเอง แต่ก็ยังต้องคอยบัญชาการสถานการณ์โดยรวมไว้เสมอด้วย

แต่ก็ไม่มีวิธีเขยิบเข้าไปหาไวลด์กับโจเซฟที่ต่อสู้กันอยู่เพื่อสนับสนุนเลย เขาทำได้แค่รายงานสภาผู้อาวุโสที่หอพิธีกรรมต้องห้ามแล้วรอพวกเขาตัดสินใจเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร ระดับภัยพิบัติก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งพอจะทำลายทุกอย่างได้จริง ๆ

เรื่องโชคดีเรื่องเดียวคือเมลิสซ่าถูกช่วยเหลือออกมาได้…ไม่สิ คงจะดีกว่าถ้าจะบอกว่าเธอสบายดี ถึงขนาดที่สามารถฆ่าสาวกระดับสัตว์ประหลาดของนิกายกลืนศพได้สามคนด้วย

ปัญหาคือคนของนิกายกลืนศพถูกส่งมาแทนที่คนที่ตายไปได้ไวมาก และพวกเขายังทวีความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจากการสังเวยเลือดเพื่อนพ้องที่ตายไปด้วย

กล่าวอีกแง่ก็คือ ยิ่งสาวกถูกฆ่าเยอะแค่ไหน พวกที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และยิ่งพวกเขาเสียคนไปมาก สถานการณ์ก็ยิ่งแก้ยากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าเมลิสซ่าจะปลอดภัย แต่ทีมภารกิจนี้ต่างถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง หัวหน้าหน่วยวิเวียนเองก็เสียชีวิตหลังจากลูกน้องอีกคนของไวลด์มาถึงแล้วร่วมมือกันจัดการกับเธออย่างน่ารังเกียจ

สาวน้อยเมลิสซ่าเองก็ไม่เคยประสบกับเรื่องโหดร้ายขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่เธอได้รับพลังใหม่และยังไม่ทันได้ดื่มด่ำความสำเร็จในการสังหารสาวกนิกายชั่วร้ายด้วยตนเอง รอยยิ้มที่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นก็ค้างบนใบหน้าของเธอ

ถ้าวินสตันไม่พุ่งไปลากเธอออกมาได้ไวทันเวลา เมลิสซ่าที่ยังยืนอึ้งก็คงถูกสนามพลังบี้เละไปแล้ว

ตอนนี้ เด็กสาวกำลังนั่งอยู่ด้านข้างสนามรบ สีหน้าของเธอเหม่อค้างเหมือนกับเจ้าหน้าที่หน่วยรบคนอื่น ๆ ไม่มีใครที่ยอมรับการตายอย่างสยดสยองของสหายร่วมรบที่พวกเขาเพิ่งคุยกันไปหยก ๆ ได้ ต่อให้เป็นอัศวินที่มีประสบการณ์ เมื่อพบกับความสูญเสียมหาศาลขนาดนี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี

ไม่เพียงแค่อัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามเท่านั้น สาวกของนิกายกลืนศพเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน

สิ่งที่ต่างออกไปคือพวกเขาเห็นกับตาว่าสาวกนิกายกลืนศพที่หนีไม่ทันถูกอีเธอร์ฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างไร พวกเขาถูกกลืนกินโดยสนามพลังอีเธอร์ดำมืดที่ไวลด์สร้างขึ้นมาทันที แต่งแต้มสีเลือดอันน่าขนลุกให้กับมัน ราวกับเป็นเส้นเลือดที่เต้นกระตุกและคืบคลานอยู่ภายในความมืดดำ

เห็นได้ชัดว่าในขณะที่ไวลด์กำลังเลื่อนระดับ เขายังคงทำพิธีสังเวยเลือดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนิกายกลืนศพอยู่ เพื่อเปลี่ยนให้สาวกเหล่านั้นกลายเป็นสารอาหารบำรุงตนเองในพริบตา

ก่อนหน้านี้ สาวกเหล่านั้นได้สังเวยเลือดมาแล้วหลายครั้ง แล้วพลังทั้งหมดของพวกเขาในตอนนี้ก็ถูกไวลด์ดูดซับไปจนหมด

การสังเวยเลือดเป็นขั้นบันได…ไวลด์สนแต่เพียงเลี้ยงสาวกเหล่านี้เพื่อกินกันเป็นทอด ๆ ควบคุม ใช้งาน แล้วสุดท้ายก็กินพวกเขาเข้าไป แสดงความเป็นนักเวทมนตร์ดำผู้ขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยมโหดเลือดเย็นอย่างถึงกึ๋น

เขาพาสาวกเหล่านี้มายังสนามรบในฐานะเครื่องเซ่น เพื่อเป็นเครื่องมือและขั้นบันไดของเขาสู่ความแข็งแกร่ง

“สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก…”

วินสตันมองสนามพลังอีเธอร์ทั้งสองที่โรมรันกลืนกินกันเองอยู่ไกล ๆ ด้านหนึ่งคือท้องฟ้าที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีขาวราวกับจะทะลวงสวรรค์ ในขณะที่อีกด้านเป็นก้อนเนื้อสีดำที่ดูเหมือนหัวใจเบี้ยว ๆ เต้นตุบตับ จากนั้นก็กระซิบใส่อุปกรณ์สื่อสาร “ไวลด์เตรียมตัวมาพร้อมเกินไป เขาวางแผนที่จะใช้ในตอนนี้มานานแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังคงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่โจเซฟ…ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะดูเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่ไวลด์ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว”

เกร็กไม่อยากเชื่อหู เขาหันไปมองค่ำคืนหิมะตกที่เงียบงันและสงบนิ่งนอกหน้าต่างห้อง มองเกล็ดหิมะอันสวยงามค่อย ๆ โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา แล้วหนังหัวของเขาก็ชาวาบ

กลับกลายเป็นว่า…สายฟ้าและแผ่นดินไหวนั่น ที่จริงแล้วเป็นผลจากการปะทะกันของอีเธอร์ที่บุคคลระดับเหนือนภาสองคนปล่อยออกมา

ซอย 67 ไกลจากเขตกลางแค่ไหน? มันเกือบจะคนละฟากกันในนอร์ซินเลยนะ!

เขาอยู่ที่นี่ยังรับรู้การสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน นึกไม่ออกเลยว่าที่กลางสนามรบจะมีความเสี่ยงสูงขนาดไหน…

แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยกลุ่มนี้ก็ยังรื่นเริงกันอยู่ในงานเลี้ยง ยังพูดคุยถึงพรุ่งนี้ที่ไม่รู้จะมีไหมอยู่เลย

จู่ ๆ เกร็กก็เห็นช่องโหว่แล้วรีบถามออกมา “คนในหอพิธีกรรมไม่เตรียมการอะไรเพื่อหยุดพวกเขาเลยเหรอครับ? ทำไมต้องขอ…”

เขาพูดไปได้ครึ่งทางแล้วก็หยุดไปทันที เกือบพูดว่า ‘ขอความช่วยเหลือจากปีศาจตนนี้’ ออกไปแล้ว

วินสตันส่ายหน้า “อัศวินฝึกหัด ภารกิจนี้ถูกออกโดยสภาผู้อาวุโส นี่คือภารกิจของคุณ ในเมื่อคุณเข้าติดต่อกับเจ้าของร้านหนังสือแล้ว พยายามหยั่งเชิงความคิดปัจจุบันของเขาให้ได้เร็วที่สุด เราต้องทำตามข้อมูลที่คุณได้รับมา”

แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังวิกฤติร้ายแรง ความสำคัญอันดับแรกไม่ใช่ว่าเป็นการหยุดสงครามระดับเหนือนภาคู่นี้ก่อนเหรอ?

ถึงแม้ว่าคนในหอคอยจะคิดอยากหยั่งเชิงเจ้าปีศาจนี่อยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็เท่ากับใช้คนมากมายและโจเซฟเป็นเครื่องมือหยั่งเชิงไม่ใช่เหรอ!

นี่มันต่างจากที่ไวลด์ทำตรงไหน?! พวกเขาคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่?!

ความคิดมากมายประดังเข้ามาลึก ๆ ในใจของเกร็ก แต่เขาก็ทำได้แต่กดข่มมันไว้ โกรธหน้าแดง ไม่กล้าพูด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 342 : สนามรบ

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 342 : สนามรบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 342 : สนามรบ

ซอยเจ็ดสิบหกพังยับเยินเป็นซากโดยสมบูรณ์แล้ว

เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าเหนือสนามรบเหมือนขนห่าน แต่ไม่มีเกล็ดหิมะใดที่ลงถึงพื้นได้สำเร็จ พวกมันถูกอีเธอร์มหาศาลที่มองไม่เห็นแผดเผาจนระเหยไปกลางอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นวังวนความชื้นมหาศาลในอากาศ

ถนนด้านล่างและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบทั้งหมดถูกทำลาย ซากแตก ๆ และอิฐพัง ๆ กลายเป็นกระแสเหล็กอันทรงพลังซึ่งถูกแรงที่มองไม่เห็นยกขึ้น ลอยกระจัดกระจายบนอากาศเป็นวงกลมสีขาวดำสองวงจากการเกิดของสนามพลังขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร

หากมองลงมาจากเบื้องบน ภาพที่เห็นจะเหมือนดาวเคราะห์ขนาดย่อมที่ถูกล้อมรอบด้วยชั้นอุกกาบาตที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พื้นดินรอบ ๆ ถูกบดขยี้จนแหลก

เหตุผลการเกิดเรื่องนี้ง่ายมาก…

นั่นคือโจเซฟกับไวลด์ที่บังเอิญเลื่อนระดับสู่เหนือนภาพร้อมกันโดยไม่ได้คาดฝัน ทำให้เกิดการระเบิดและปะทะกันของอีเธอร์รอบข้าง

เจ้าหน้าที่หน่วยโลจิสติกส์ของหอพิธีกรรมต้องห้ามกระจัดกระจายกันอยู่รอบ ๆ สนามพลัง ในระยะพอเหมาะแล้วสร้างเขตแดนจากเครื่องจำลองนิมิตเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาหลงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนเจ้าหน้าที่จากหน่วยรบแต่ละคนต่างจัดตำแหน่งของตนเองไว้อย่างมั่นคง พวกเขาบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ต้องเข้ารับการรักษาหรือพักผ่อน ขวัญกำลังใจโดยรวมต่ำเตี้ย

ตั้งแต่วินาทีที่ตรวจพบการระเบิดของอีเธอร์ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลางสนามรบเมื่อครู่ จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่ใช่กำลังหลักในสงครามนี้อีกต่อไป แต่ต่อจากนี้ พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับผู้เหลือรอดจากนิกายกลืนศพอยู่ดี

แต่ที่จริงแล้ว ในหมู่ผู้เหลือรอดในตอนนี้ น้อยคนที่ยังสู้ต่อไหว

เมื่อผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติสองคนจุติเป็นเทพพร้อม ๆ กันแล้วระเบิดพลังสุดแรงเข้าปะทะกันเอง ผู้ที่เห็นภาพนี้แล้วรอดชีวิตมาได้คงมีไม่มาก…ที่จริงก็คงไม่ถึงหนึ่งในสิบของคนที่อยู่ที่นี่

ส่วนคนที่หนีไม่ทัน…ก็จะถูกสนามพลังขยี้เละแล้วลอยไปตามวงโคจรพร้อม ๆ กับเศษซากและฝุ่นผงอื่น ๆ

จบเห่! ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้วโว้ยย!

เมื่อวินสตันได้ยินหน่วยโลจิสติกส์รายงานการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของอีเธอร์อย่างกะทันหันจากสองแกนกลาง เขาก็มีเพียงความคิดนี้เท่านั้นที่แล่นเข้ามาในใจ

ไม่ว่าหัวหน้าหน่วยรบคนนี้จะมีบุคลิกเยือกเย็นแค่ไหน เขาก็อยากจะสบถ ‘เ**ดแม่!’ ขึ้นมาอยู่ดี

ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วนับแต่ที่โจเซฟได้ยินข่าวที่ลูกสาวของเขาติดอยู่ในสนามรบแล้วปรี่ออกมาจากหอพิธีกรรมต้องห้ามสู่จุดเกิดเหตุ และกำลังรบหลักของหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ถูกส่งออกมาแล้วเช่นกัน

ศูนย์กลางของสนามรบมีการใช้เครื่องจำลองนิมิตกลางเขตแดนคลุมไว้ ข้อมูลภายในถูกตัดขาด มีเพียงต้องเข้าไปด้านในเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าสถานการณ์รุนแรงแค่ไหน

ในฐานะที่วินสตันเป็นหัวหน้าหน่วยรบ เขาจึงต้องออกรบด้วยตนเอง แต่ก็ยังต้องคอยบัญชาการสถานการณ์โดยรวมไว้เสมอด้วย

แต่ก็ไม่มีวิธีเขยิบเข้าไปหาไวลด์กับโจเซฟที่ต่อสู้กันอยู่เพื่อสนับสนุนเลย เขาทำได้แค่รายงานสภาผู้อาวุโสที่หอพิธีกรรมต้องห้ามแล้วรอพวกเขาตัดสินใจเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร ระดับภัยพิบัติก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งพอจะทำลายทุกอย่างได้จริง ๆ

เรื่องโชคดีเรื่องเดียวคือเมลิสซ่าถูกช่วยเหลือออกมาได้…ไม่สิ คงจะดีกว่าถ้าจะบอกว่าเธอสบายดี ถึงขนาดที่สามารถฆ่าสาวกระดับสัตว์ประหลาดของนิกายกลืนศพได้สามคนด้วย

ปัญหาคือคนของนิกายกลืนศพถูกส่งมาแทนที่คนที่ตายไปได้ไวมาก และพวกเขายังทวีความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจากการสังเวยเลือดเพื่อนพ้องที่ตายไปด้วย

กล่าวอีกแง่ก็คือ ยิ่งสาวกถูกฆ่าเยอะแค่ไหน พวกที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และยิ่งพวกเขาเสียคนไปมาก สถานการณ์ก็ยิ่งแก้ยากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าเมลิสซ่าจะปลอดภัย แต่ทีมภารกิจนี้ต่างถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง หัวหน้าหน่วยวิเวียนเองก็เสียชีวิตหลังจากลูกน้องอีกคนของไวลด์มาถึงแล้วร่วมมือกันจัดการกับเธออย่างน่ารังเกียจ

สาวน้อยเมลิสซ่าเองก็ไม่เคยประสบกับเรื่องโหดร้ายขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่เธอได้รับพลังใหม่และยังไม่ทันได้ดื่มด่ำความสำเร็จในการสังหารสาวกนิกายชั่วร้ายด้วยตนเอง รอยยิ้มที่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นก็ค้างบนใบหน้าของเธอ

ถ้าวินสตันไม่พุ่งไปลากเธอออกมาได้ไวทันเวลา เมลิสซ่าที่ยังยืนอึ้งก็คงถูกสนามพลังบี้เละไปแล้ว

ตอนนี้ เด็กสาวกำลังนั่งอยู่ด้านข้างสนามรบ สีหน้าของเธอเหม่อค้างเหมือนกับเจ้าหน้าที่หน่วยรบคนอื่น ๆ ไม่มีใครที่ยอมรับการตายอย่างสยดสยองของสหายร่วมรบที่พวกเขาเพิ่งคุยกันไปหยก ๆ ได้ ต่อให้เป็นอัศวินที่มีประสบการณ์ เมื่อพบกับความสูญเสียมหาศาลขนาดนี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี

ไม่เพียงแค่อัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามเท่านั้น สาวกของนิกายกลืนศพเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน

สิ่งที่ต่างออกไปคือพวกเขาเห็นกับตาว่าสาวกนิกายกลืนศพที่หนีไม่ทันถูกอีเธอร์ฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างไร พวกเขาถูกกลืนกินโดยสนามพลังอีเธอร์ดำมืดที่ไวลด์สร้างขึ้นมาทันที แต่งแต้มสีเลือดอันน่าขนลุกให้กับมัน ราวกับเป็นเส้นเลือดที่เต้นกระตุกและคืบคลานอยู่ภายในความมืดดำ

เห็นได้ชัดว่าในขณะที่ไวลด์กำลังเลื่อนระดับ เขายังคงทำพิธีสังเวยเลือดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนิกายกลืนศพอยู่ เพื่อเปลี่ยนให้สาวกเหล่านั้นกลายเป็นสารอาหารบำรุงตนเองในพริบตา

ก่อนหน้านี้ สาวกเหล่านั้นได้สังเวยเลือดมาแล้วหลายครั้ง แล้วพลังทั้งหมดของพวกเขาในตอนนี้ก็ถูกไวลด์ดูดซับไปจนหมด

การสังเวยเลือดเป็นขั้นบันได…ไวลด์สนแต่เพียงเลี้ยงสาวกเหล่านี้เพื่อกินกันเป็นทอด ๆ ควบคุม ใช้งาน แล้วสุดท้ายก็กินพวกเขาเข้าไป แสดงความเป็นนักเวทมนตร์ดำผู้ขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยมโหดเลือดเย็นอย่างถึงกึ๋น

เขาพาสาวกเหล่านี้มายังสนามรบในฐานะเครื่องเซ่น เพื่อเป็นเครื่องมือและขั้นบันไดของเขาสู่ความแข็งแกร่ง

“สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก…”

วินสตันมองสนามพลังอีเธอร์ทั้งสองที่โรมรันกลืนกินกันเองอยู่ไกล ๆ ด้านหนึ่งคือท้องฟ้าที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีขาวราวกับจะทะลวงสวรรค์ ในขณะที่อีกด้านเป็นก้อนเนื้อสีดำที่ดูเหมือนหัวใจเบี้ยว ๆ เต้นตุบตับ จากนั้นก็กระซิบใส่อุปกรณ์สื่อสาร “ไวลด์เตรียมตัวมาพร้อมเกินไป เขาวางแผนที่จะใช้ในตอนนี้มานานแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังคงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่โจเซฟ…ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะดูเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่ไวลด์ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว”

เกร็กไม่อยากเชื่อหู เขาหันไปมองค่ำคืนหิมะตกที่เงียบงันและสงบนิ่งนอกหน้าต่างห้อง มองเกล็ดหิมะอันสวยงามค่อย ๆ โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา แล้วหนังหัวของเขาก็ชาวาบ

กลับกลายเป็นว่า…สายฟ้าและแผ่นดินไหวนั่น ที่จริงแล้วเป็นผลจากการปะทะกันของอีเธอร์ที่บุคคลระดับเหนือนภาสองคนปล่อยออกมา

ซอย 67 ไกลจากเขตกลางแค่ไหน? มันเกือบจะคนละฟากกันในนอร์ซินเลยนะ!

เขาอยู่ที่นี่ยังรับรู้การสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน นึกไม่ออกเลยว่าที่กลางสนามรบจะมีความเสี่ยงสูงขนาดไหน…

แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยกลุ่มนี้ก็ยังรื่นเริงกันอยู่ในงานเลี้ยง ยังพูดคุยถึงพรุ่งนี้ที่ไม่รู้จะมีไหมอยู่เลย

จู่ ๆ เกร็กก็เห็นช่องโหว่แล้วรีบถามออกมา “คนในหอพิธีกรรมไม่เตรียมการอะไรเพื่อหยุดพวกเขาเลยเหรอครับ? ทำไมต้องขอ…”

เขาพูดไปได้ครึ่งทางแล้วก็หยุดไปทันที เกือบพูดว่า ‘ขอความช่วยเหลือจากปีศาจตนนี้’ ออกไปแล้ว

วินสตันส่ายหน้า “อัศวินฝึกหัด ภารกิจนี้ถูกออกโดยสภาผู้อาวุโส นี่คือภารกิจของคุณ ในเมื่อคุณเข้าติดต่อกับเจ้าของร้านหนังสือแล้ว พยายามหยั่งเชิงความคิดปัจจุบันของเขาให้ได้เร็วที่สุด เราต้องทำตามข้อมูลที่คุณได้รับมา”

แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังวิกฤติร้ายแรง ความสำคัญอันดับแรกไม่ใช่ว่าเป็นการหยุดสงครามระดับเหนือนภาคู่นี้ก่อนเหรอ?

ถึงแม้ว่าคนในหอคอยจะคิดอยากหยั่งเชิงเจ้าปีศาจนี่อยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็เท่ากับใช้คนมากมายและโจเซฟเป็นเครื่องมือหยั่งเชิงไม่ใช่เหรอ!

นี่มันต่างจากที่ไวลด์ทำตรงไหน?! พวกเขาคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่?!

ความคิดมากมายประดังเข้ามาลึก ๆ ในใจของเกร็ก แต่เขาก็ทำได้แต่กดข่มมันไว้ โกรธหน้าแดง ไม่กล้าพูด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 342 : สนามรบ

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 342 : สนามรบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 342 : สนามรบ

ซอยเจ็ดสิบหกพังยับเยินเป็นซากโดยสมบูรณ์แล้ว

เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าเหนือสนามรบเหมือนขนห่าน แต่ไม่มีเกล็ดหิมะใดที่ลงถึงพื้นได้สำเร็จ พวกมันถูกอีเธอร์มหาศาลที่มองไม่เห็นแผดเผาจนระเหยไปกลางอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นวังวนความชื้นมหาศาลในอากาศ

ถนนด้านล่างและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบทั้งหมดถูกทำลาย ซากแตก ๆ และอิฐพัง ๆ กลายเป็นกระแสเหล็กอันทรงพลังซึ่งถูกแรงที่มองไม่เห็นยกขึ้น ลอยกระจัดกระจายบนอากาศเป็นวงกลมสีขาวดำสองวงจากการเกิดของสนามพลังขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร

หากมองลงมาจากเบื้องบน ภาพที่เห็นจะเหมือนดาวเคราะห์ขนาดย่อมที่ถูกล้อมรอบด้วยชั้นอุกกาบาตที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พื้นดินรอบ ๆ ถูกบดขยี้จนแหลก

เหตุผลการเกิดเรื่องนี้ง่ายมาก…

นั่นคือโจเซฟกับไวลด์ที่บังเอิญเลื่อนระดับสู่เหนือนภาพร้อมกันโดยไม่ได้คาดฝัน ทำให้เกิดการระเบิดและปะทะกันของอีเธอร์รอบข้าง

เจ้าหน้าที่หน่วยโลจิสติกส์ของหอพิธีกรรมต้องห้ามกระจัดกระจายกันอยู่รอบ ๆ สนามพลัง ในระยะพอเหมาะแล้วสร้างเขตแดนจากเครื่องจำลองนิมิตเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาหลงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนเจ้าหน้าที่จากหน่วยรบแต่ละคนต่างจัดตำแหน่งของตนเองไว้อย่างมั่นคง พวกเขาบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ต้องเข้ารับการรักษาหรือพักผ่อน ขวัญกำลังใจโดยรวมต่ำเตี้ย

ตั้งแต่วินาทีที่ตรวจพบการระเบิดของอีเธอร์ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลางสนามรบเมื่อครู่ จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่ใช่กำลังหลักในสงครามนี้อีกต่อไป แต่ต่อจากนี้ พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับผู้เหลือรอดจากนิกายกลืนศพอยู่ดี

แต่ที่จริงแล้ว ในหมู่ผู้เหลือรอดในตอนนี้ น้อยคนที่ยังสู้ต่อไหว

เมื่อผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติสองคนจุติเป็นเทพพร้อม ๆ กันแล้วระเบิดพลังสุดแรงเข้าปะทะกันเอง ผู้ที่เห็นภาพนี้แล้วรอดชีวิตมาได้คงมีไม่มาก…ที่จริงก็คงไม่ถึงหนึ่งในสิบของคนที่อยู่ที่นี่

ส่วนคนที่หนีไม่ทัน…ก็จะถูกสนามพลังขยี้เละแล้วลอยไปตามวงโคจรพร้อม ๆ กับเศษซากและฝุ่นผงอื่น ๆ

จบเห่! ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้วโว้ยย!

เมื่อวินสตันได้ยินหน่วยโลจิสติกส์รายงานการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของอีเธอร์อย่างกะทันหันจากสองแกนกลาง เขาก็มีเพียงความคิดนี้เท่านั้นที่แล่นเข้ามาในใจ

ไม่ว่าหัวหน้าหน่วยรบคนนี้จะมีบุคลิกเยือกเย็นแค่ไหน เขาก็อยากจะสบถ ‘เ**ดแม่!’ ขึ้นมาอยู่ดี

ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วนับแต่ที่โจเซฟได้ยินข่าวที่ลูกสาวของเขาติดอยู่ในสนามรบแล้วปรี่ออกมาจากหอพิธีกรรมต้องห้ามสู่จุดเกิดเหตุ และกำลังรบหลักของหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ถูกส่งออกมาแล้วเช่นกัน

ศูนย์กลางของสนามรบมีการใช้เครื่องจำลองนิมิตกลางเขตแดนคลุมไว้ ข้อมูลภายในถูกตัดขาด มีเพียงต้องเข้าไปด้านในเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าสถานการณ์รุนแรงแค่ไหน

ในฐานะที่วินสตันเป็นหัวหน้าหน่วยรบ เขาจึงต้องออกรบด้วยตนเอง แต่ก็ยังต้องคอยบัญชาการสถานการณ์โดยรวมไว้เสมอด้วย

แต่ก็ไม่มีวิธีเขยิบเข้าไปหาไวลด์กับโจเซฟที่ต่อสู้กันอยู่เพื่อสนับสนุนเลย เขาทำได้แค่รายงานสภาผู้อาวุโสที่หอพิธีกรรมต้องห้ามแล้วรอพวกเขาตัดสินใจเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร ระดับภัยพิบัติก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งพอจะทำลายทุกอย่างได้จริง ๆ

เรื่องโชคดีเรื่องเดียวคือเมลิสซ่าถูกช่วยเหลือออกมาได้…ไม่สิ คงจะดีกว่าถ้าจะบอกว่าเธอสบายดี ถึงขนาดที่สามารถฆ่าสาวกระดับสัตว์ประหลาดของนิกายกลืนศพได้สามคนด้วย

ปัญหาคือคนของนิกายกลืนศพถูกส่งมาแทนที่คนที่ตายไปได้ไวมาก และพวกเขายังทวีความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจากการสังเวยเลือดเพื่อนพ้องที่ตายไปด้วย

กล่าวอีกแง่ก็คือ ยิ่งสาวกถูกฆ่าเยอะแค่ไหน พวกที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และยิ่งพวกเขาเสียคนไปมาก สถานการณ์ก็ยิ่งแก้ยากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าเมลิสซ่าจะปลอดภัย แต่ทีมภารกิจนี้ต่างถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง หัวหน้าหน่วยวิเวียนเองก็เสียชีวิตหลังจากลูกน้องอีกคนของไวลด์มาถึงแล้วร่วมมือกันจัดการกับเธออย่างน่ารังเกียจ

สาวน้อยเมลิสซ่าเองก็ไม่เคยประสบกับเรื่องโหดร้ายขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่เธอได้รับพลังใหม่และยังไม่ทันได้ดื่มด่ำความสำเร็จในการสังหารสาวกนิกายชั่วร้ายด้วยตนเอง รอยยิ้มที่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นก็ค้างบนใบหน้าของเธอ

ถ้าวินสตันไม่พุ่งไปลากเธอออกมาได้ไวทันเวลา เมลิสซ่าที่ยังยืนอึ้งก็คงถูกสนามพลังบี้เละไปแล้ว

ตอนนี้ เด็กสาวกำลังนั่งอยู่ด้านข้างสนามรบ สีหน้าของเธอเหม่อค้างเหมือนกับเจ้าหน้าที่หน่วยรบคนอื่น ๆ ไม่มีใครที่ยอมรับการตายอย่างสยดสยองของสหายร่วมรบที่พวกเขาเพิ่งคุยกันไปหยก ๆ ได้ ต่อให้เป็นอัศวินที่มีประสบการณ์ เมื่อพบกับความสูญเสียมหาศาลขนาดนี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี

ไม่เพียงแค่อัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามเท่านั้น สาวกของนิกายกลืนศพเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน

สิ่งที่ต่างออกไปคือพวกเขาเห็นกับตาว่าสาวกนิกายกลืนศพที่หนีไม่ทันถูกอีเธอร์ฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างไร พวกเขาถูกกลืนกินโดยสนามพลังอีเธอร์ดำมืดที่ไวลด์สร้างขึ้นมาทันที แต่งแต้มสีเลือดอันน่าขนลุกให้กับมัน ราวกับเป็นเส้นเลือดที่เต้นกระตุกและคืบคลานอยู่ภายในความมืดดำ

เห็นได้ชัดว่าในขณะที่ไวลด์กำลังเลื่อนระดับ เขายังคงทำพิธีสังเวยเลือดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนิกายกลืนศพอยู่ เพื่อเปลี่ยนให้สาวกเหล่านั้นกลายเป็นสารอาหารบำรุงตนเองในพริบตา

ก่อนหน้านี้ สาวกเหล่านั้นได้สังเวยเลือดมาแล้วหลายครั้ง แล้วพลังทั้งหมดของพวกเขาในตอนนี้ก็ถูกไวลด์ดูดซับไปจนหมด

การสังเวยเลือดเป็นขั้นบันได…ไวลด์สนแต่เพียงเลี้ยงสาวกเหล่านี้เพื่อกินกันเป็นทอด ๆ ควบคุม ใช้งาน แล้วสุดท้ายก็กินพวกเขาเข้าไป แสดงความเป็นนักเวทมนตร์ดำผู้ขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยมโหดเลือดเย็นอย่างถึงกึ๋น

เขาพาสาวกเหล่านี้มายังสนามรบในฐานะเครื่องเซ่น เพื่อเป็นเครื่องมือและขั้นบันไดของเขาสู่ความแข็งแกร่ง

“สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก…”

วินสตันมองสนามพลังอีเธอร์ทั้งสองที่โรมรันกลืนกินกันเองอยู่ไกล ๆ ด้านหนึ่งคือท้องฟ้าที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีขาวราวกับจะทะลวงสวรรค์ ในขณะที่อีกด้านเป็นก้อนเนื้อสีดำที่ดูเหมือนหัวใจเบี้ยว ๆ เต้นตุบตับ จากนั้นก็กระซิบใส่อุปกรณ์สื่อสาร “ไวลด์เตรียมตัวมาพร้อมเกินไป เขาวางแผนที่จะใช้ในตอนนี้มานานแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังคงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่โจเซฟ…ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะดูเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่ไวลด์ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว”

เกร็กไม่อยากเชื่อหู เขาหันไปมองค่ำคืนหิมะตกที่เงียบงันและสงบนิ่งนอกหน้าต่างห้อง มองเกล็ดหิมะอันสวยงามค่อย ๆ โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา แล้วหนังหัวของเขาก็ชาวาบ

กลับกลายเป็นว่า…สายฟ้าและแผ่นดินไหวนั่น ที่จริงแล้วเป็นผลจากการปะทะกันของอีเธอร์ที่บุคคลระดับเหนือนภาสองคนปล่อยออกมา

ซอย 67 ไกลจากเขตกลางแค่ไหน? มันเกือบจะคนละฟากกันในนอร์ซินเลยนะ!

เขาอยู่ที่นี่ยังรับรู้การสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน นึกไม่ออกเลยว่าที่กลางสนามรบจะมีความเสี่ยงสูงขนาดไหน…

แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยกลุ่มนี้ก็ยังรื่นเริงกันอยู่ในงานเลี้ยง ยังพูดคุยถึงพรุ่งนี้ที่ไม่รู้จะมีไหมอยู่เลย

จู่ ๆ เกร็กก็เห็นช่องโหว่แล้วรีบถามออกมา “คนในหอพิธีกรรมไม่เตรียมการอะไรเพื่อหยุดพวกเขาเลยเหรอครับ? ทำไมต้องขอ…”

เขาพูดไปได้ครึ่งทางแล้วก็หยุดไปทันที เกือบพูดว่า ‘ขอความช่วยเหลือจากปีศาจตนนี้’ ออกไปแล้ว

วินสตันส่ายหน้า “อัศวินฝึกหัด ภารกิจนี้ถูกออกโดยสภาผู้อาวุโส นี่คือภารกิจของคุณ ในเมื่อคุณเข้าติดต่อกับเจ้าของร้านหนังสือแล้ว พยายามหยั่งเชิงความคิดปัจจุบันของเขาให้ได้เร็วที่สุด เราต้องทำตามข้อมูลที่คุณได้รับมา”

แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังวิกฤติร้ายแรง ความสำคัญอันดับแรกไม่ใช่ว่าเป็นการหยุดสงครามระดับเหนือนภาคู่นี้ก่อนเหรอ?

ถึงแม้ว่าคนในหอคอยจะคิดอยากหยั่งเชิงเจ้าปีศาจนี่อยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็เท่ากับใช้คนมากมายและโจเซฟเป็นเครื่องมือหยั่งเชิงไม่ใช่เหรอ!

นี่มันต่างจากที่ไวลด์ทำตรงไหน?! พวกเขาคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่?!

ความคิดมากมายประดังเข้ามาลึก ๆ ในใจของเกร็ก แต่เขาก็ทำได้แต่กดข่มมันไว้ โกรธหน้าแดง ไม่กล้าพูด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+