เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 396 : ช่วยคนจนถึงที่สุด

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 396 : ช่วยคนจนถึงที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากการเฝ้าสังเกตของหลินเจี๋ย ผักดองไม่มีอยู่ในนอร์ซิน

หลินเจี๋ยเคยอ่านบทความออนไลน์มาก่อน และตัวเอกชายส่วนใหญ่ในเรื่องราวเหล่านั้นต่างแบกข้าวของที่ไม่มีอยู่ในต่างโลก และหนังสือในร้านของหลินเจี๋ยก็ซุกซ่อนนวัตกรรมมากมายที่ไม่มีอยู่ในนอร์ซิน

แค่ว่าหลินเจี๋ยนั้นแสนขี้เกียจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ก็คิดแค่อยากจะเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ

พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ชายหนุ่มจะมีสูตรโกง เขาก็ไม่ได้อยากออกมาปฏิวัติโลก

แต่หากส่งหนังสือที่บรรจุนวัตกรรมแห่งโลกออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะไปแทรกแซงแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกนี้หรือ?

ในฐานะนักเดินทางผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม หลินเจี๋ยรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่ต้องตรากตรำไม่ให้สร้างผลกระทบต่อนอร์ซินเป็นวงกว้าง

อย่างที่เห็น นอร์ซินในตอนนี้เหมือนตอนที่เขาเพิ่งย้ายโลกมาเป๊ะ ๆ

พูดถึงเรื่องนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาสร้างผลงานใหญ่หลวง

หนังสือ ‘วิธีดองผัก’ ตรงหน้าเขาเป็นหนังสือกลเม็ดเคล็ดลับ

หลินเจี๋ยรู้สึกว่าการมอบหนังสือเคล็ดลับเล่มนี้ให้แซคคารีจะถือว่าให้นวัตกรรมเพื่อให้เขาพึ่งพาตนเองได้

อืม…ขอมอบภาระการเป็นบิดาแห่งผักดองของนอร์ซินให้คุณแล้วกัน

แซคคารีเห็นว่าหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลื่อนหนังสือมาตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล

ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก พลังรุนแรงกวาดปะทะใบหน้า เขาพยายามสุดชีวิตในการอ่านชื่อหนังสือ และถ้อยคำบิดเบี้ยวก็แทงทะลวงเข้าไปในสมองของเขาราวกับบทเพลงอันน่าหวาดหวั่น

‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’

คำเหล่านี้ทะลวงแก้วหูสู่สมองของเขาราวถ้อยคำแหลมเสียด

เมื่อแซคคารีเห็นหนังสือเล่มนี้ ความกลัวของเขาต่อโจเซฟก็สลายหาย เหมือนถูกสัตว์ร้ายกลืนกินทั้งเป็น และก่อนจะทันได้ขัดขืนก็ร่วงลงไปในกระเพาะของมันแล้ว

ดูเหมือนจะมีเสียงกลืนน้ำลายในหูของเขาชัดเจน

แซคคารีรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในอุโมงค์ไม่รู้จบ และหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นประตูที่ทำให้เขาฟังเสียงจากลึกสุดในอุโมงค์นั้นได้

ลึกเข้าไปในหลุมดำ เทพเจ้าโบราณอันยืนยงและไม่เป็นที่รู้จักกำลังรัวกลองยักษ์ล่องหน ในขณะเดียวกัน คนเป่าปี่ประหลาดก็กำลังเป่าปี่ทำเสียงอันน่าขยะแขยงอยู่ด้านข้างด้วยโทนเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

แซคคารียืนอยู่ในหลุมลึก ทุกเส้นประสาทในสมองเริ่มกรีดร้อง กระทั่งอวัยวะภายในยังสั่นคลอน ความเจ็บปวดโอบล้อมร่างของเขา แต่ใครสักคนตรึงวิญญาณของเขาไว้

ทำให้เขาหนีไม่ได้

ร่างที่แบกรับความเจ็บปวดหลั่งเหงื่อกาฬให้รินไหล ซึ่งทำให้ชุดที่เขาสวมอยู่เปียกชุ่ม…

แซคคารีอยากหยุดอ่านหนังสือ แต่หนังสือเล่มนี้มีมนตร์เสน่ห์น่าหลงไหล มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความกระหายในความรู้จากตัวบุคคลออกมาจนหมด

เขาเปิดหนังสือด้วยมือสั่น ๆ และคำนำบทแรกก็เขียนไว้ว่า…

ศพมีชีวิต

แซคคารีเบิกตากว้าง เส้นเลือดในตาปริ เขาหอบหายใจราวกับปลาเกยตื้น

หลินเจี๋ยคิดว่าท่าทางการอ่านอย่างตั้งใจเกินเหตุของแซคคารีเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ที่ซื้อหนังสือจากเขาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้

อันที่จริง มันก็เข้าใจได้ว่าการได้รับความรู้นั้นน่าอภิรมย์โดยแท้

ทว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่เขาขายมักจะเป็นหนังสือปลอบประโลมจิตใจหรือมีพล็อตเรื่องอ่านง่าย แต่หนังสือที่เขาให้ไปครั้งนี้เป็นกลเม็ดเคล็ดลับที่แซคคารีอ่านแบบลืมกินลืมนอน จะบอกว่าคน ๆ นี้เป็นอัจฉริยะนักดองผักในรอบร้อยปีได้จริง ๆ หรือเปล่านะ?

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายน่าสงสารมาก หลินเจี๋ยคงไม่มอบหนังสือเล่มนี้ให้อย่างใจกว้างหรอก

สอนให้เขาตกปลาดีกว่าให้ปลาเขากิน…

“คุณคิดอย่างไรบ้างครับ?” หลินเจี๋ยโพล่งถามขึ้น ขัดจังหวะการอ่านอย่างแทบจะเอาเป็นเอาตายของแซคคารี

ปึ้ก!

ราวระฆังถูกสั่นดังลั่นในหัวแซคคารี

“อะ แฮ่ก…แฮ่ก” แซคคารีหอบหายใจหนัก เหงื่อแตกพลั่ก “หนังสือเล่มนี้…ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้เป็น…”

“ใช่แล้วครับ มันเป็นศาสตร์โบราณที่มุ่งเน้นไปที่การถนอมอาหารบางชนิด” หลินเจี๋ยประสานมือเข้าหาตัว เท้าแขนกับโต๊ะ มองหนังสือ ‘วิธีดองผัก’ บนโต๊ะ

“อาหาร?” แซคคารีพูดทวนคำด้วยเสียงที่สั่นพลางมอง ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’ อย่างไม่อยากเชื่อ

“ใช่ครับ มันเป็นผัก ผักทั่วไปเก็บไว้นานไม่ได้ เน่าเปื่อยเสียตามเวลาง่าย ทำให้พวกมันกินไม่ได้” หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเป็นมิตร

ผัก? เน่าเสีย? แซคคารีเบิกตากว้าง มองหนังสืออีกรอบหนึ่ง

หรือจะเป็นว่า…ผักที่ว่าคือ ‘ศพ’? วิธีทำตุ๊กตามัมมี่?

แซคคารีเคยเชื่อในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ต่อมาโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ถูกติดป้ายเป็นลัทธิชั่วร้าย ตำรวจมาหาเขาเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิ หนึ่งในนั้นกล่าวว่าลัทธิตั้งพิธีกรรมชั่วร้ายทำให้ผู้บริสุทธิ์ฆ่าตัวตาย

แต่นับแต่แซคคารีได้เห็นเหตุการณ์ที่ซอย 67 เขาก็เชื่อสนิทใจว่าโลกนี้มีพระเจ้าอยู่ด้วย

และเจ้าของร้านหนังสือหนุ่มหล่อผู้มีกลิ่นหนังสือที่กำลังยกยิ้มอยู่ตรงหน้าก็อาจจะเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง

เขาถือว่าศพของมนุษย์เป็นอาหาร…

“หนังสือเล่มนี้จะสอนวิธีถนอมพวกมัน ทำให้พวกมันอร่อยขึ้น” ว่าแล้ว หลินเจี๋ยก็อดเลียปากไม่ได้…

จะว่าไป นับแต่ที่มาอยู่นอร์ซิน เราก็ไม่ได้กินผักดองอีกเลย แค่พูดถึงมันก็เปรี้ยวปากน้ำลายสอหน่อย ๆ หลินเจี๋ยคิดเช่นนั้น

แซคคารีแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชายผู้ยิ้มอย่างเมตตาพูดถึงการทำศพมีชีวิตและการดองมัมมี่อย่างตื่นเต้นพลางน้ำลายไหล…

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ค่อย ๆ พูดว่า “พอใช้วิธีถนอมแบบนี้ เราอาจจะให้ชีวิตใหม่กับพวกมันก็ได้ ว่าไหมครับ?”

“ใช่เลย!” หลินเจี๋ยไม่ใช่เพียงประหลาดใจเมื่อได้ยินแซคคารีพูดเปรียบเปรยเช่นนี้

จริงสิ การดองผักก็เหมือนให้ชีวิตใหม่กับพืชผักสดทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น หลินเจี๋ยไม่ค่อยชอบกินกะหล่ำปลีเท่าไร แต่กะหล่ำปลีดองเป็นของที่ต้องมีถ้าจะกินข้าวผัด

การผสมผสานของกะหล่ำปลีดองเผ็ด ๆ เค็ม ๆ และข้าวผัดแฮมไข่นี่คือที่สุดในโลก

“คุณพูดถูกครับ” หลินเจี๋ยพบว่าน้ำลายยืดดูไม่งาม จึงรีบสวมหน้ากากยิ้มแย้มกล่าวว่า “นอกจากจะถนอมอาหาร มันยังสามารถช่วยเพิ่มความอร่อยและการใช้งานให้หลากหลายมากขึ้นได้ด้วยนะครับ”

นอกจากใช้เป็นเครื่องสังเวย ศพมนุษย์และมัมมี่ยังใช้ทำอาหารสำหรับผู้ปลุกศพได้อีกเหรอ? กินกันสด ๆ เลยเหรอ?

“อย่าดูถูกความเรียบง่ายของเคล็ดนี้เชียวนะครับ มันเป็นความรู้มากมายเลยล่ะ” หลินเจี๋ยสรุปอย่างเฉยเมย

“ทำไมถึงเป็นผมล่ะ?” แซคคารีถามเสียงสั่น ๆ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ชอบช่วยเหลือบุคคลที่กำลังสับสน” หลินเจี๋ยพูดราวผู้เจนจัดทางโลก “คุณเปลี่ยนตัวเองด้วยหนังสือเล่มนี้ได้นะ”

แซคคารีตะลึงอึ้ง…

“แต่ว่า พูดไปแล้ว คุณในตอนนี้ก็ไม่มีอันจะกิน หลังจากให้หนังสือเล่มนี้ไป คุณคงเริ่มทำไม่ได้จริง ๆ หรอก” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพัก

จริง ต่อให้เราอยากฆ่าคนมาสังเวยสร้างศพมีชีวิตจริง ๆ เราก็ไม่มีทั้งความกล้าและความสามารถ…แซคคารีคิดอย่างค่อนข้างกระวนกระวาย

“จะว่าไป มูเอนครับ” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจช่วยคนจนถึงที่สุด เขาจึงกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าศาสนาแห่งตะวันของคุณพ่อวินเซนต์มักช่วยเหลือผู้ยากไร้…”

ดวงตาของมูเอนหรี่ลง ในฐานะบุคคลที่ระดับสูงสุดรองจากเจ้าของร้านหลินในห้องนี้ เธอเห็นหนังสือในมือของแซคคารีได้อย่างชัดเจน ซึ่งเขียนหน้าปกว่า ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’

“ใช่ค่ะ เจ้าของร้านหลิน” มูเอนพยักหน้า

“เยี่ยมเลยครับ” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ “ผมจำได้ว่ามีโบสถ์ของศาสนาแห่งตะวันอยู่ในซอย 23 คุณควรไปหาเขาก่อน อย่างน้อยที่นั่นก็เป็นที่ตั้งหลักให้คุณได้นะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 396 : ช่วยคนจนถึงที่สุด

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 396 : ช่วยคนจนถึงที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากการเฝ้าสังเกตของหลินเจี๋ย ผักดองไม่มีอยู่ในนอร์ซิน

หลินเจี๋ยเคยอ่านบทความออนไลน์มาก่อน และตัวเอกชายส่วนใหญ่ในเรื่องราวเหล่านั้นต่างแบกข้าวของที่ไม่มีอยู่ในต่างโลก และหนังสือในร้านของหลินเจี๋ยก็ซุกซ่อนนวัตกรรมมากมายที่ไม่มีอยู่ในนอร์ซิน

แค่ว่าหลินเจี๋ยนั้นแสนขี้เกียจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ก็คิดแค่อยากจะเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ

พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ชายหนุ่มจะมีสูตรโกง เขาก็ไม่ได้อยากออกมาปฏิวัติโลก

แต่หากส่งหนังสือที่บรรจุนวัตกรรมแห่งโลกออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะไปแทรกแซงแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกนี้หรือ?

ในฐานะนักเดินทางผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม หลินเจี๋ยรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่ต้องตรากตรำไม่ให้สร้างผลกระทบต่อนอร์ซินเป็นวงกว้าง

อย่างที่เห็น นอร์ซินในตอนนี้เหมือนตอนที่เขาเพิ่งย้ายโลกมาเป๊ะ ๆ

พูดถึงเรื่องนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาสร้างผลงานใหญ่หลวง

หนังสือ ‘วิธีดองผัก’ ตรงหน้าเขาเป็นหนังสือกลเม็ดเคล็ดลับ

หลินเจี๋ยรู้สึกว่าการมอบหนังสือเคล็ดลับเล่มนี้ให้แซคคารีจะถือว่าให้นวัตกรรมเพื่อให้เขาพึ่งพาตนเองได้

อืม…ขอมอบภาระการเป็นบิดาแห่งผักดองของนอร์ซินให้คุณแล้วกัน

แซคคารีเห็นว่าหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลื่อนหนังสือมาตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล

ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก พลังรุนแรงกวาดปะทะใบหน้า เขาพยายามสุดชีวิตในการอ่านชื่อหนังสือ และถ้อยคำบิดเบี้ยวก็แทงทะลวงเข้าไปในสมองของเขาราวกับบทเพลงอันน่าหวาดหวั่น

‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’

คำเหล่านี้ทะลวงแก้วหูสู่สมองของเขาราวถ้อยคำแหลมเสียด

เมื่อแซคคารีเห็นหนังสือเล่มนี้ ความกลัวของเขาต่อโจเซฟก็สลายหาย เหมือนถูกสัตว์ร้ายกลืนกินทั้งเป็น และก่อนจะทันได้ขัดขืนก็ร่วงลงไปในกระเพาะของมันแล้ว

ดูเหมือนจะมีเสียงกลืนน้ำลายในหูของเขาชัดเจน

แซคคารีรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในอุโมงค์ไม่รู้จบ และหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นประตูที่ทำให้เขาฟังเสียงจากลึกสุดในอุโมงค์นั้นได้

ลึกเข้าไปในหลุมดำ เทพเจ้าโบราณอันยืนยงและไม่เป็นที่รู้จักกำลังรัวกลองยักษ์ล่องหน ในขณะเดียวกัน คนเป่าปี่ประหลาดก็กำลังเป่าปี่ทำเสียงอันน่าขยะแขยงอยู่ด้านข้างด้วยโทนเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

แซคคารียืนอยู่ในหลุมลึก ทุกเส้นประสาทในสมองเริ่มกรีดร้อง กระทั่งอวัยวะภายในยังสั่นคลอน ความเจ็บปวดโอบล้อมร่างของเขา แต่ใครสักคนตรึงวิญญาณของเขาไว้

ทำให้เขาหนีไม่ได้

ร่างที่แบกรับความเจ็บปวดหลั่งเหงื่อกาฬให้รินไหล ซึ่งทำให้ชุดที่เขาสวมอยู่เปียกชุ่ม…

แซคคารีอยากหยุดอ่านหนังสือ แต่หนังสือเล่มนี้มีมนตร์เสน่ห์น่าหลงไหล มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความกระหายในความรู้จากตัวบุคคลออกมาจนหมด

เขาเปิดหนังสือด้วยมือสั่น ๆ และคำนำบทแรกก็เขียนไว้ว่า…

ศพมีชีวิต

แซคคารีเบิกตากว้าง เส้นเลือดในตาปริ เขาหอบหายใจราวกับปลาเกยตื้น

หลินเจี๋ยคิดว่าท่าทางการอ่านอย่างตั้งใจเกินเหตุของแซคคารีเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ที่ซื้อหนังสือจากเขาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้

อันที่จริง มันก็เข้าใจได้ว่าการได้รับความรู้นั้นน่าอภิรมย์โดยแท้

ทว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่เขาขายมักจะเป็นหนังสือปลอบประโลมจิตใจหรือมีพล็อตเรื่องอ่านง่าย แต่หนังสือที่เขาให้ไปครั้งนี้เป็นกลเม็ดเคล็ดลับที่แซคคารีอ่านแบบลืมกินลืมนอน จะบอกว่าคน ๆ นี้เป็นอัจฉริยะนักดองผักในรอบร้อยปีได้จริง ๆ หรือเปล่านะ?

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายน่าสงสารมาก หลินเจี๋ยคงไม่มอบหนังสือเล่มนี้ให้อย่างใจกว้างหรอก

สอนให้เขาตกปลาดีกว่าให้ปลาเขากิน…

“คุณคิดอย่างไรบ้างครับ?” หลินเจี๋ยโพล่งถามขึ้น ขัดจังหวะการอ่านอย่างแทบจะเอาเป็นเอาตายของแซคคารี

ปึ้ก!

ราวระฆังถูกสั่นดังลั่นในหัวแซคคารี

“อะ แฮ่ก…แฮ่ก” แซคคารีหอบหายใจหนัก เหงื่อแตกพลั่ก “หนังสือเล่มนี้…ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้เป็น…”

“ใช่แล้วครับ มันเป็นศาสตร์โบราณที่มุ่งเน้นไปที่การถนอมอาหารบางชนิด” หลินเจี๋ยประสานมือเข้าหาตัว เท้าแขนกับโต๊ะ มองหนังสือ ‘วิธีดองผัก’ บนโต๊ะ

“อาหาร?” แซคคารีพูดทวนคำด้วยเสียงที่สั่นพลางมอง ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’ อย่างไม่อยากเชื่อ

“ใช่ครับ มันเป็นผัก ผักทั่วไปเก็บไว้นานไม่ได้ เน่าเปื่อยเสียตามเวลาง่าย ทำให้พวกมันกินไม่ได้” หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเป็นมิตร

ผัก? เน่าเสีย? แซคคารีเบิกตากว้าง มองหนังสืออีกรอบหนึ่ง

หรือจะเป็นว่า…ผักที่ว่าคือ ‘ศพ’? วิธีทำตุ๊กตามัมมี่?

แซคคารีเคยเชื่อในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ต่อมาโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ถูกติดป้ายเป็นลัทธิชั่วร้าย ตำรวจมาหาเขาเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิ หนึ่งในนั้นกล่าวว่าลัทธิตั้งพิธีกรรมชั่วร้ายทำให้ผู้บริสุทธิ์ฆ่าตัวตาย

แต่นับแต่แซคคารีได้เห็นเหตุการณ์ที่ซอย 67 เขาก็เชื่อสนิทใจว่าโลกนี้มีพระเจ้าอยู่ด้วย

และเจ้าของร้านหนังสือหนุ่มหล่อผู้มีกลิ่นหนังสือที่กำลังยกยิ้มอยู่ตรงหน้าก็อาจจะเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง

เขาถือว่าศพของมนุษย์เป็นอาหาร…

“หนังสือเล่มนี้จะสอนวิธีถนอมพวกมัน ทำให้พวกมันอร่อยขึ้น” ว่าแล้ว หลินเจี๋ยก็อดเลียปากไม่ได้…

จะว่าไป นับแต่ที่มาอยู่นอร์ซิน เราก็ไม่ได้กินผักดองอีกเลย แค่พูดถึงมันก็เปรี้ยวปากน้ำลายสอหน่อย ๆ หลินเจี๋ยคิดเช่นนั้น

แซคคารีแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชายผู้ยิ้มอย่างเมตตาพูดถึงการทำศพมีชีวิตและการดองมัมมี่อย่างตื่นเต้นพลางน้ำลายไหล…

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ค่อย ๆ พูดว่า “พอใช้วิธีถนอมแบบนี้ เราอาจจะให้ชีวิตใหม่กับพวกมันก็ได้ ว่าไหมครับ?”

“ใช่เลย!” หลินเจี๋ยไม่ใช่เพียงประหลาดใจเมื่อได้ยินแซคคารีพูดเปรียบเปรยเช่นนี้

จริงสิ การดองผักก็เหมือนให้ชีวิตใหม่กับพืชผักสดทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น หลินเจี๋ยไม่ค่อยชอบกินกะหล่ำปลีเท่าไร แต่กะหล่ำปลีดองเป็นของที่ต้องมีถ้าจะกินข้าวผัด

การผสมผสานของกะหล่ำปลีดองเผ็ด ๆ เค็ม ๆ และข้าวผัดแฮมไข่นี่คือที่สุดในโลก

“คุณพูดถูกครับ” หลินเจี๋ยพบว่าน้ำลายยืดดูไม่งาม จึงรีบสวมหน้ากากยิ้มแย้มกล่าวว่า “นอกจากจะถนอมอาหาร มันยังสามารถช่วยเพิ่มความอร่อยและการใช้งานให้หลากหลายมากขึ้นได้ด้วยนะครับ”

นอกจากใช้เป็นเครื่องสังเวย ศพมนุษย์และมัมมี่ยังใช้ทำอาหารสำหรับผู้ปลุกศพได้อีกเหรอ? กินกันสด ๆ เลยเหรอ?

“อย่าดูถูกความเรียบง่ายของเคล็ดนี้เชียวนะครับ มันเป็นความรู้มากมายเลยล่ะ” หลินเจี๋ยสรุปอย่างเฉยเมย

“ทำไมถึงเป็นผมล่ะ?” แซคคารีถามเสียงสั่น ๆ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ชอบช่วยเหลือบุคคลที่กำลังสับสน” หลินเจี๋ยพูดราวผู้เจนจัดทางโลก “คุณเปลี่ยนตัวเองด้วยหนังสือเล่มนี้ได้นะ”

แซคคารีตะลึงอึ้ง…

“แต่ว่า พูดไปแล้ว คุณในตอนนี้ก็ไม่มีอันจะกิน หลังจากให้หนังสือเล่มนี้ไป คุณคงเริ่มทำไม่ได้จริง ๆ หรอก” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพัก

จริง ต่อให้เราอยากฆ่าคนมาสังเวยสร้างศพมีชีวิตจริง ๆ เราก็ไม่มีทั้งความกล้าและความสามารถ…แซคคารีคิดอย่างค่อนข้างกระวนกระวาย

“จะว่าไป มูเอนครับ” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจช่วยคนจนถึงที่สุด เขาจึงกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าศาสนาแห่งตะวันของคุณพ่อวินเซนต์มักช่วยเหลือผู้ยากไร้…”

ดวงตาของมูเอนหรี่ลง ในฐานะบุคคลที่ระดับสูงสุดรองจากเจ้าของร้านหลินในห้องนี้ เธอเห็นหนังสือในมือของแซคคารีได้อย่างชัดเจน ซึ่งเขียนหน้าปกว่า ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’

“ใช่ค่ะ เจ้าของร้านหลิน” มูเอนพยักหน้า

“เยี่ยมเลยครับ” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ “ผมจำได้ว่ามีโบสถ์ของศาสนาแห่งตะวันอยู่ในซอย 23 คุณควรไปหาเขาก่อน อย่างน้อยที่นั่นก็เป็นที่ตั้งหลักให้คุณได้นะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+