เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 417 : การกลับมาของไลฟ์

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 417 : การกลับมาของไลฟ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 417 : การกลับมาของไลฟ์

หลินเจี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่งพลางกะพริบตา แล้วจึงมองแผ่นศิลาที่ส่องแสงสีแดงก่ำ

เขาเองก็ได้เรียนรู้พลังเหนือธรรมชาติจากซิลเวอร์มานิดหน่อย และรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติบางอย่างในนอร์ซิน แต่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่สูญหายไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าอยู่รอดหรือไม่?

แต่อย่างน้อย แม่มดแห่งอัคคีก็ไม่ใช่ตำนาน แต่เป็นเทพีบรรพกาลตัวจริง!

แถมยังเป็นคนรู้จักเก่าของซิลเวอร์ด้วย…

หลินเจี๋ยปิดประตูร้านหนังสือ นอกร้านมืดสนิทไปแล้ว โจเซฟเองก็กลับไปในห้องใต้ดินเป็นที่เรียบร้อย ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่?

หวังด้วยว่าประธานมาเรียจะกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

แผ่นศิลาโบราณเรืองแสงสลัว สลัวยิ่งกว่าแสงไฟในร้านหนังสือเสียอีก แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น หลินเจี๋ยเฝ้ามองแผ่นศิลาอย่างระมัดระวัง และข้อความบนนั้นก็เปล่งแสงจาง ๆ

จากการตีความแผ่นศิลา สิ่งนี้เป็นไปได้สูงที่สุดว่าจะเป็น ‘ลิ่ม’ ที่ใช้เป็นจุดนำทางให้แม่มดบรรพกาลไลฟ์ นั่นก็คือ เป็นไปได้ที่เธอจะใช้แผ่นศิลานี้ในการหาเส้นทางบางเส้น

แต่ก็ยากจะบอกว่าเส้นทางที่ว่าคือเส้นทางใด นำพาไปที่ไหน?

ทว่ายังมีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าเธอจะมาเคาะประตูถึงบ้าน…หลินเจี๋ยคิดในใจ ก่อนหน้านี้เขากับซิลเวอร์เข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าแม่มดแห่งอัคคีจะเป็นอย่างไร

เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเจี๋ยก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะไม่นอน ดังนั้นจึงรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแผ่นศิลานี้

หลังจากตัดสินใจ เขาก็คุ้ยหาหนังสือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในร้านหนังสืออย่างระมัดระวัง

หลังติดต่อสื่อสารกับซิลเวอร์และนักวิชาการระดับสูงอย่างแอนดรูว์ หลินเจี๋ยก็ได้รับข้อมูลความรู้เกี่ยวกับยุคโบราณมากมาย และศึกษาเพียงเสี้ยวเดียวของมัน ตอนนี้ได้เวลาค้นคว้าต่อเสียที!

หลินเจี๋ยดึงหนังสือที่มีประโยชน์ออกมาจากชั้นหลายเล่ม วางไว้บนโต๊ะ

ในสายตาของหลินเจี๋ยขณะนี้ มังกรและเอลฟ์ที่บันทึกในประวัติศาสตร์อาซีร์โบราณเป็นของจริง และเป็นการคงอยู่อันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เคลื่อนภูเขาย้ายทะเลได้ตามใจชอบดั่งเทพเจ้า

ในบันทึก แม่มดผู้ควบคุมทุกสิ่งในโลกนั้นแทบจะเหมือนพระเจ้าผู้สร้าง พวกเธอยิ่งน่ากลัวไปใหญ่

เช่นซิลเวอร์ซึ่งหลินเจี๋ยคุ้นเคยด้วยที่สุดยังสามารถสอนความสามารถต่าง ๆ ให้เขาได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งทำให้เขาสามารถจัดการกับสมาชิกวิถีแห่งดาบอัคคีที่พยายามก่อวินาศกรรม ปกป้องโจเซฟและวินเซนต์ไว้ได้

คาดว่าตัวซิลเวอร์เองก็น่าจะอยู่ในระดับขั้นสูงส่งจนไม่อาจจินตนาการ

ในฐานะหนึ่งในสี่แม่มดบรรพกาล ไลฟ์ แม่มดแห่งอัคคี ต้องมีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าซิลเวอร์แน่นอน

หลินเจี๋ยกระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อคิดถึงจุดนี้ เราเป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ จะสามารถเป็นคนรู้จักของแม่มดบรรพกาลทั้งสองได้หรือเปล่า

ใครล่ะจะเชื่อ?!

หลินเจี๋ยเปิดอ่านหนังสือเหล่านี้ เรียนรู้เกี่ยวกับแม่มดแห่งอัคคีอย่างรอบคอบ

ในยุคที่สาม ‘ตำนานแห่งชีวิตบรรพกาล’ บันทึกไว้ว่าสี่แม่มดบรรพกาลไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือ แม้พวกเธอจะรู้จักกัน แต่พวกเธอแต่ละคนต่างมีความคิดเห็นต่างกันออกไป พวกเธอถูกถือว่าเป็นกฎเกณฑ์เดินได้ของอาซีร์ มารดาแห่งสรรพสิ่ง

ในหมู่พวกเธอ แม่มดแห่งอัคคีคือพระแม่ผู้ใจกว้างเมตตา ปกป้อง เห็นคุณค่า และเห็นอกเห็นใจมนุษย์ เป็นมารดาแห่งมนุษยชาติในลักษณะหนึ่ง

เธอจุติลงมาพร้อมสายฟ้าและเปลวเพลิง เติมเต็มโลกซึ่งแต่เดิมสับสนวุ่นวายด้วยแสงสว่าง การมีอยู่ของไฟทำให้มนุษย์เริ่มสร้างบ้านเรือน ทว่าเมื่อเกิดแสงย่อมมีความมืด…

และความมืดก็คือถิ่นกระจายอำนาจของเทพปีศาจและเหล่าสัตว์มายา

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความมืดก็เข้าบุกรุกอาซีร์ ทำให้จิตใจผู้คนแปดเปื้อน สร้างความตายและความบ้าคลั่งต่อผู้คนมากมายที่พบเห็น

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว ย่อหน้านี้ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าผู้คนตกใจกลัวจนเป็นบ้าได้อย่างไร ใช้คำได้คลุมเครือและน่าสงสัยมาก แต่ดูเหมือนว่าต่อมา ช่วงเวลานี้จะถูกเรียกว่า ‘มหาโรคระบาด’ และราชาเอลฟ์ตนสุดท้าย แคนเดลาผู้บ้าคลั่งจนโดนฆ่าตายก็ถูกถือว่าเป็นต้นตอของโรคระบาด

แต่ที่จริงแล้ว ความมืดคือที่มาของ ‘มลภาวะ’ นี้

แคนเดลา เป็นแค่พ่อหนุ่มดวงซวยที่ถูกประวัติศาสตร์อันบิดเบี้ยวใส่ความเท่านั้น

หลินเจี๋ยเปิดหนังสือโบราณอีกเล่มในยุคที่สองออกอ่าน ซึ่งถูกถือว่าเป็นหนังสือในยุคของเอลฟ์ ‘ถิ่นเหย้าแห่งเอลฟ์’

เหมือนหนังสือเล่มก่อน ตำนานที่แม่มดแห่งอัคคีปกป้องมนุษยชาติก็ถูกจารึกไว้ที่นี่เช่นกัน แต่ก็กล่าวว่าเปลวเพลิงไม่ได้ถูกแม่มดแห่งอัคคีมอบให้มนุษยชาติ ทว่ามีตัวตนอยู่แต่แรก…

ในหนังสือเล่มนี้ แม่มดแห่งอัคคีเชื่อว่า เอลฟ์และมังกรโบราณหยิ่งผยองโอหัง โหดร้าย เพราะพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเกินไปของพวกเขา ดังนั้นอาซีร์ภายใต้ปกครองของพวกเขาจึงใกล้ล่มสลายลงทุกที

เธอรู้สึกว่ามีเพียงมนุษย์ที่เธอรักเท่านั้นที่สามารถเป็นนายแห่งโลกนี้ได้

ดังนั้นไลฟ์จึงนำเปลวเพลิงไปสร้างเป็นกองไฟเพื่อปกป้องมนุษย์จากความมืดมิด ในฐานะแม่มด เธอประสาทวิชาความรู้และทักษะต่าง ๆ ให้พวกเขามารับตั้งแต่นั้น และในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้มนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ ทว่าสุดท้าย เนื่องจากเธอหมดพลังในการปกป้องมนุษย์จากเทพปีศาจ เธอจึงสิ้นใจลง…

เธอเป็นแม่มดนิสัยดีผู้เป็นกลางและเป็นมิตร แต่ยุคที่สองเป็นยุคสมัยของเอลฟ์ แม่มดแห่งอัคคีจึงถูกบรรยายในหนังสือว่าเป็นแม่มดผู้อ่อนแอและเห็นแก่ตัว

แต่ยิ่งใกล้ยุคสมัยแห่งมนุษย์ ภาพลักษณ์ของแม่มดแห่งอัคคีก็ยิ่งดีงาม

แม่มดบรรพกาลคือศูนย์กลางแห่งกฎเกณฑ์ทั่วอาซีร์ และบางทีไลฟ์อาจจะเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของมนุษยชาติก็เป็นได้…

หลินเจี๋ยพลิกหน้ากระดาษของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าเกี่ยวกับไลฟ์ พวกมันเขียนเหมือนกันหมด บางเล่มยังกล่าวเกินไปเสียจนโอเวอร์

แต่ทุกเล่มมีเรื่องราวที่แม่มดแห่งอัคคีสร้างกองเพลิงขึ้นเพื่อต่อต้านความมืด

เจ้า ‘ความมืด’ นี้ดูจะไม่ค่อยถูกจารึกถึง หลินเจี๋ยลูบคาง แต่ในเอกสารบางที่ ความมืดนี้ถูกเรียกว่า ‘เทพปีศาจ’ ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะเสนอหน้าออกมา แค่การจุติของมันก็ทำให้ยุคสมัยแห่งเอลฟ์จบสิ้นได้…

เมื่อมองในแง่มุมนี้ ถึงจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย และลำเอียงเข้าข้างแต่มนุษย์ที่เธอรัก แต่เป็นเพราะแม่มดแห่งอัคคีรักษาเปลวเพลิงแห่งชีวิตให้กับมนุษย์ นอร์ซินจึงยังมีอยู่ในทุกวันนี้

หลินเจี๋ยพลิกหน้าหนังสือ ใช้หนึ่งมือเท้าคาง ไม่รู้ว่าตัวเองอ่านอยู่นานแค่ไหน แต่ความง่วงได้เข้ามาทักทายเขาแล้ว

ดูเหมือนว่าหลังจากโอ้เอ้อยู่นาน ฤกษ์อันสมควรก็มาถึงเสียที แสงสีแดงที่ดูเหมือนควันสายหนึ่งเริ่มห้อมล้อมแผ่นศิลา อุณหภูมิในห้องเริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อยเพราะแสงสว่างนี้

หลินเจี๋ยซึ่งอยู่ข้าง ๆ แผ่นศิลาหลับปุ๋ยไปเป็นที่เรียบร้อย

“อืม…”

หลินเจี๋ยเหมือนถูกใครสักคนตบ เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาในสภาพงัวเงียก็เห็นคนที่ตบเขา แต่เห็นเพียงเงาดำ ๆ

เจ้าดำ?

หลินเจี๋ยเบิกตากว้าง เห็นแผ่นศิลาตรงหน้าเขาเปล่งแสงสว่างราวดวงไฟ มีไอควันลอยออกมาจากแผ่นศิลา และจากนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็เปล่งออกมา

เมื่อควันค่อย ๆ สลายไป เงาร่างของมนุษย์หญิงผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ ถูกเผยออกมา

ครึ่งใบหน้าของเธอถูกปกคลุมโดยเปลวไฟ และอีกครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเกล็ด ร่างของเธอลอยกลางอากาศด้วยปีกตก ๆ สองข้างที่คลี่ออกเล็กน้อยบนหลัง เปลวเพลิงสยายสู่พื้นเหมือนผ้าคลุม

หลินเจี๋ยอ้าปากหวอเล็กน้อยอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นคนลอยบนอากาศ เขาอับจนคำพูดอยู่นาน

นี่…จริงดิ?!

ในที่สุดแม่มดแห่งอัคคีก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์ และบุคคลแรกที่สะท้อนในแววตาของเธอก็คือหลินเจี๋ย

หลินเจี๋ยสูดลมหายใจลึก แย้มยิ้มแบบที่เขาคิดว่าเป็นมิตรและให้เกียรติ กล่าวว่า “สวัสดีครับ”

สิ่งแรกที่ไลฟ์ทำเมื่อเห็นหลินเจี๋ยก็คือขมวดคิ้ว และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที

หลินเจี๋ยทักทานอย่างจริงจัง “สวัสดีครับ ผมชื่อหลินเจี๋ย เป็น…”

“ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นเจ้าหรือ?!!”

แม่มดบรรพกาลไลฟ์มองหลินเจี๋ยอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า…เจ้ากลับมาแล้ว!”

หลินเจี๋ยชี้ตัวเองด้วยสีหน้างุนงง…

สีหน้าของแม่มดค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัว เหมือนเช่นมาเรียเมื่อก่อนหน้านี้ “ย…อย่างนี้นี่เอง…”

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว พูดอย่างแปลกใจ “คุณจำคนผิดหรือเปล่าครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 417 : การกลับมาของไลฟ์

Now you are reading เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] Chapter 417 : การกลับมาของไลฟ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 417 : การกลับมาของไลฟ์

หลินเจี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่งพลางกะพริบตา แล้วจึงมองแผ่นศิลาที่ส่องแสงสีแดงก่ำ

เขาเองก็ได้เรียนรู้พลังเหนือธรรมชาติจากซิลเวอร์มานิดหน่อย และรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติบางอย่างในนอร์ซิน แต่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่สูญหายไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าอยู่รอดหรือไม่?

แต่อย่างน้อย แม่มดแห่งอัคคีก็ไม่ใช่ตำนาน แต่เป็นเทพีบรรพกาลตัวจริง!

แถมยังเป็นคนรู้จักเก่าของซิลเวอร์ด้วย…

หลินเจี๋ยปิดประตูร้านหนังสือ นอกร้านมืดสนิทไปแล้ว โจเซฟเองก็กลับไปในห้องใต้ดินเป็นที่เรียบร้อย ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่?

หวังด้วยว่าประธานมาเรียจะกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

แผ่นศิลาโบราณเรืองแสงสลัว สลัวยิ่งกว่าแสงไฟในร้านหนังสือเสียอีก แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น หลินเจี๋ยเฝ้ามองแผ่นศิลาอย่างระมัดระวัง และข้อความบนนั้นก็เปล่งแสงจาง ๆ

จากการตีความแผ่นศิลา สิ่งนี้เป็นไปได้สูงที่สุดว่าจะเป็น ‘ลิ่ม’ ที่ใช้เป็นจุดนำทางให้แม่มดบรรพกาลไลฟ์ นั่นก็คือ เป็นไปได้ที่เธอจะใช้แผ่นศิลานี้ในการหาเส้นทางบางเส้น

แต่ก็ยากจะบอกว่าเส้นทางที่ว่าคือเส้นทางใด นำพาไปที่ไหน?

ทว่ายังมีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าเธอจะมาเคาะประตูถึงบ้าน…หลินเจี๋ยคิดในใจ ก่อนหน้านี้เขากับซิลเวอร์เข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าแม่มดแห่งอัคคีจะเป็นอย่างไร

เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเจี๋ยก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะไม่นอน ดังนั้นจึงรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแผ่นศิลานี้

หลังจากตัดสินใจ เขาก็คุ้ยหาหนังสือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในร้านหนังสืออย่างระมัดระวัง

หลังติดต่อสื่อสารกับซิลเวอร์และนักวิชาการระดับสูงอย่างแอนดรูว์ หลินเจี๋ยก็ได้รับข้อมูลความรู้เกี่ยวกับยุคโบราณมากมาย และศึกษาเพียงเสี้ยวเดียวของมัน ตอนนี้ได้เวลาค้นคว้าต่อเสียที!

หลินเจี๋ยดึงหนังสือที่มีประโยชน์ออกมาจากชั้นหลายเล่ม วางไว้บนโต๊ะ

ในสายตาของหลินเจี๋ยขณะนี้ มังกรและเอลฟ์ที่บันทึกในประวัติศาสตร์อาซีร์โบราณเป็นของจริง และเป็นการคงอยู่อันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เคลื่อนภูเขาย้ายทะเลได้ตามใจชอบดั่งเทพเจ้า

ในบันทึก แม่มดผู้ควบคุมทุกสิ่งในโลกนั้นแทบจะเหมือนพระเจ้าผู้สร้าง พวกเธอยิ่งน่ากลัวไปใหญ่

เช่นซิลเวอร์ซึ่งหลินเจี๋ยคุ้นเคยด้วยที่สุดยังสามารถสอนความสามารถต่าง ๆ ให้เขาได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งทำให้เขาสามารถจัดการกับสมาชิกวิถีแห่งดาบอัคคีที่พยายามก่อวินาศกรรม ปกป้องโจเซฟและวินเซนต์ไว้ได้

คาดว่าตัวซิลเวอร์เองก็น่าจะอยู่ในระดับขั้นสูงส่งจนไม่อาจจินตนาการ

ในฐานะหนึ่งในสี่แม่มดบรรพกาล ไลฟ์ แม่มดแห่งอัคคี ต้องมีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าซิลเวอร์แน่นอน

หลินเจี๋ยกระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อคิดถึงจุดนี้ เราเป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ จะสามารถเป็นคนรู้จักของแม่มดบรรพกาลทั้งสองได้หรือเปล่า

ใครล่ะจะเชื่อ?!

หลินเจี๋ยเปิดอ่านหนังสือเหล่านี้ เรียนรู้เกี่ยวกับแม่มดแห่งอัคคีอย่างรอบคอบ

ในยุคที่สาม ‘ตำนานแห่งชีวิตบรรพกาล’ บันทึกไว้ว่าสี่แม่มดบรรพกาลไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือ แม้พวกเธอจะรู้จักกัน แต่พวกเธอแต่ละคนต่างมีความคิดเห็นต่างกันออกไป พวกเธอถูกถือว่าเป็นกฎเกณฑ์เดินได้ของอาซีร์ มารดาแห่งสรรพสิ่ง

ในหมู่พวกเธอ แม่มดแห่งอัคคีคือพระแม่ผู้ใจกว้างเมตตา ปกป้อง เห็นคุณค่า และเห็นอกเห็นใจมนุษย์ เป็นมารดาแห่งมนุษยชาติในลักษณะหนึ่ง

เธอจุติลงมาพร้อมสายฟ้าและเปลวเพลิง เติมเต็มโลกซึ่งแต่เดิมสับสนวุ่นวายด้วยแสงสว่าง การมีอยู่ของไฟทำให้มนุษย์เริ่มสร้างบ้านเรือน ทว่าเมื่อเกิดแสงย่อมมีความมืด…

และความมืดก็คือถิ่นกระจายอำนาจของเทพปีศาจและเหล่าสัตว์มายา

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความมืดก็เข้าบุกรุกอาซีร์ ทำให้จิตใจผู้คนแปดเปื้อน สร้างความตายและความบ้าคลั่งต่อผู้คนมากมายที่พบเห็น

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว ย่อหน้านี้ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าผู้คนตกใจกลัวจนเป็นบ้าได้อย่างไร ใช้คำได้คลุมเครือและน่าสงสัยมาก แต่ดูเหมือนว่าต่อมา ช่วงเวลานี้จะถูกเรียกว่า ‘มหาโรคระบาด’ และราชาเอลฟ์ตนสุดท้าย แคนเดลาผู้บ้าคลั่งจนโดนฆ่าตายก็ถูกถือว่าเป็นต้นตอของโรคระบาด

แต่ที่จริงแล้ว ความมืดคือที่มาของ ‘มลภาวะ’ นี้

แคนเดลา เป็นแค่พ่อหนุ่มดวงซวยที่ถูกประวัติศาสตร์อันบิดเบี้ยวใส่ความเท่านั้น

หลินเจี๋ยเปิดหนังสือโบราณอีกเล่มในยุคที่สองออกอ่าน ซึ่งถูกถือว่าเป็นหนังสือในยุคของเอลฟ์ ‘ถิ่นเหย้าแห่งเอลฟ์’

เหมือนหนังสือเล่มก่อน ตำนานที่แม่มดแห่งอัคคีปกป้องมนุษยชาติก็ถูกจารึกไว้ที่นี่เช่นกัน แต่ก็กล่าวว่าเปลวเพลิงไม่ได้ถูกแม่มดแห่งอัคคีมอบให้มนุษยชาติ ทว่ามีตัวตนอยู่แต่แรก…

ในหนังสือเล่มนี้ แม่มดแห่งอัคคีเชื่อว่า เอลฟ์และมังกรโบราณหยิ่งผยองโอหัง โหดร้าย เพราะพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเกินไปของพวกเขา ดังนั้นอาซีร์ภายใต้ปกครองของพวกเขาจึงใกล้ล่มสลายลงทุกที

เธอรู้สึกว่ามีเพียงมนุษย์ที่เธอรักเท่านั้นที่สามารถเป็นนายแห่งโลกนี้ได้

ดังนั้นไลฟ์จึงนำเปลวเพลิงไปสร้างเป็นกองไฟเพื่อปกป้องมนุษย์จากความมืดมิด ในฐานะแม่มด เธอประสาทวิชาความรู้และทักษะต่าง ๆ ให้พวกเขามารับตั้งแต่นั้น และในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้มนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ ทว่าสุดท้าย เนื่องจากเธอหมดพลังในการปกป้องมนุษย์จากเทพปีศาจ เธอจึงสิ้นใจลง…

เธอเป็นแม่มดนิสัยดีผู้เป็นกลางและเป็นมิตร แต่ยุคที่สองเป็นยุคสมัยของเอลฟ์ แม่มดแห่งอัคคีจึงถูกบรรยายในหนังสือว่าเป็นแม่มดผู้อ่อนแอและเห็นแก่ตัว

แต่ยิ่งใกล้ยุคสมัยแห่งมนุษย์ ภาพลักษณ์ของแม่มดแห่งอัคคีก็ยิ่งดีงาม

แม่มดบรรพกาลคือศูนย์กลางแห่งกฎเกณฑ์ทั่วอาซีร์ และบางทีไลฟ์อาจจะเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของมนุษยชาติก็เป็นได้…

หลินเจี๋ยพลิกหน้ากระดาษของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าเกี่ยวกับไลฟ์ พวกมันเขียนเหมือนกันหมด บางเล่มยังกล่าวเกินไปเสียจนโอเวอร์

แต่ทุกเล่มมีเรื่องราวที่แม่มดแห่งอัคคีสร้างกองเพลิงขึ้นเพื่อต่อต้านความมืด

เจ้า ‘ความมืด’ นี้ดูจะไม่ค่อยถูกจารึกถึง หลินเจี๋ยลูบคาง แต่ในเอกสารบางที่ ความมืดนี้ถูกเรียกว่า ‘เทพปีศาจ’ ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะเสนอหน้าออกมา แค่การจุติของมันก็ทำให้ยุคสมัยแห่งเอลฟ์จบสิ้นได้…

เมื่อมองในแง่มุมนี้ ถึงจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย และลำเอียงเข้าข้างแต่มนุษย์ที่เธอรัก แต่เป็นเพราะแม่มดแห่งอัคคีรักษาเปลวเพลิงแห่งชีวิตให้กับมนุษย์ นอร์ซินจึงยังมีอยู่ในทุกวันนี้

หลินเจี๋ยพลิกหน้าหนังสือ ใช้หนึ่งมือเท้าคาง ไม่รู้ว่าตัวเองอ่านอยู่นานแค่ไหน แต่ความง่วงได้เข้ามาทักทายเขาแล้ว

ดูเหมือนว่าหลังจากโอ้เอ้อยู่นาน ฤกษ์อันสมควรก็มาถึงเสียที แสงสีแดงที่ดูเหมือนควันสายหนึ่งเริ่มห้อมล้อมแผ่นศิลา อุณหภูมิในห้องเริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อยเพราะแสงสว่างนี้

หลินเจี๋ยซึ่งอยู่ข้าง ๆ แผ่นศิลาหลับปุ๋ยไปเป็นที่เรียบร้อย

“อืม…”

หลินเจี๋ยเหมือนถูกใครสักคนตบ เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาในสภาพงัวเงียก็เห็นคนที่ตบเขา แต่เห็นเพียงเงาดำ ๆ

เจ้าดำ?

หลินเจี๋ยเบิกตากว้าง เห็นแผ่นศิลาตรงหน้าเขาเปล่งแสงสว่างราวดวงไฟ มีไอควันลอยออกมาจากแผ่นศิลา และจากนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็เปล่งออกมา

เมื่อควันค่อย ๆ สลายไป เงาร่างของมนุษย์หญิงผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ ถูกเผยออกมา

ครึ่งใบหน้าของเธอถูกปกคลุมโดยเปลวไฟ และอีกครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเกล็ด ร่างของเธอลอยกลางอากาศด้วยปีกตก ๆ สองข้างที่คลี่ออกเล็กน้อยบนหลัง เปลวเพลิงสยายสู่พื้นเหมือนผ้าคลุม

หลินเจี๋ยอ้าปากหวอเล็กน้อยอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นคนลอยบนอากาศ เขาอับจนคำพูดอยู่นาน

นี่…จริงดิ?!

ในที่สุดแม่มดแห่งอัคคีก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์ และบุคคลแรกที่สะท้อนในแววตาของเธอก็คือหลินเจี๋ย

หลินเจี๋ยสูดลมหายใจลึก แย้มยิ้มแบบที่เขาคิดว่าเป็นมิตรและให้เกียรติ กล่าวว่า “สวัสดีครับ”

สิ่งแรกที่ไลฟ์ทำเมื่อเห็นหลินเจี๋ยก็คือขมวดคิ้ว และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที

หลินเจี๋ยทักทานอย่างจริงจัง “สวัสดีครับ ผมชื่อหลินเจี๋ย เป็น…”

“ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นเจ้าหรือ?!!”

แม่มดบรรพกาลไลฟ์มองหลินเจี๋ยอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า…เจ้ากลับมาแล้ว!”

หลินเจี๋ยชี้ตัวเองด้วยสีหน้างุนงง…

สีหน้าของแม่มดค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัว เหมือนเช่นมาเรียเมื่อก่อนหน้านี้ “ย…อย่างนี้นี่เอง…”

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว พูดอย่างแปลกใจ “คุณจำคนผิดหรือเปล่าครับ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+