แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 1: ปฐมบท จุดเริ่มต้นแห่งตำนานพ่อมดหนุ่ม (1)

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 1: ปฐมบท จุดเริ่มต้นแห่งตำนานพ่อมดหนุ่ม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               เปรี้ยง!! ตู้มตู้ม!! ครืน…!!

               เกิดเสียงสนั่นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณภายใต้ท้องฟ้าสีเลือด เหล่าบรรดาต้นไม้ในผืนป่าถูกโค่นล้มเสียหายจนกลายเป็นเศษซากเถ้าถ่านอันร้อนระอุ ผืนแผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ต่างก็แตกระแหงจากการถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนพังพินาศสิ้น พร้อมด้วยควันไฟคอยปกคลุมเหนือพื้นพสุธา

               “หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน” แหล่งชุมชนที่พักอาศัยของเหล่าพ่อมดแม่มดได้ตกอยู่ภายใต้อัคคีกลุ่มใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพัง เผ่ามนุษย์และอมนุษย์ทุกเพศทุกวัยล้วนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ด้วยน้ำมือของเหล่าปีศาจยักษ์มารนับร้อยพันตนที่กรีธาทัพเข้ามารุกรานและคอยทำลายช่วงเวลาอันแสนสงบสุข

               ความสับสนอลหม่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในหมู่บ้านเท่านั้น ประชาชนทั่วทุกมุมโลกต่างก็ต้องประสบกับชะตากรรมแบบเดียวกัน ภายใต้โศกนาฏกรรมซึ่งอาจทำให้สูญสิ้นประชากรมนุษย์ไปเกินกว่าครึ่ง เพียงเพราะความทะเยอทะยานของจอมมารตนหนึ่ง

               เสียงคร่ำครวญของเหล่าบรรดาผู้เคราะห์ร้าย ประสานกับเสียงอึกทึกครึกโครมจากการฟาดฟันท่ามกลางสมรภูมิรบ ซากศพหลายพันร่างไม่ว่าจะทั้งฝ่ายพันธมิตรหรืออริศัตรูล้วนกระจายเกลื่อนกลาด ในสถานการณ์ปัจจุบันโลกใบนี้แทบไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินแม้แต่น้อย ประดุจดั่งวันพิพากษาครั้งสุดท้ายจากพระผู้เป็นเจ้าที่มอบประทานบทลงโทษให้แก่ทุกสรรพสิ่ง

               เคร้งเคร้ง!! เปรี้ยง!!

               เสียงกระทบกระทั่งชวนแสบแก้วหูดังขึ้นต่อเนื่อง ในสนามรบซึ่งย้อมไปด้วยเลือดท่ามกลางเปลวไฟนั้นมีสองบุรุษคอยใช้ศัสตราวุธฟาดฟันใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายพรากชีวิตของคู่ต่อสู้เสียให้ได้ด้วยทุกกระบวนท่า ผสมผสานกับเวทมนตร์คาถาเสริมพลังโจมตีทำให้เกิดลำแสงหลากสีสว่างวูบวาบขึ้นเป็นระยะ โดยไร้วี่แววว่าจะหยุดยั้งลง

               เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนผมสีขาวแกมเทาเข้มรวบหางม้า ใช้ดาบคาตานะซึ่งมีลวดลายสีสันหลากหลายคล้ายเพชรสะท้อนแสงฉูดฉาด คอยจู่โจมใส่อริศัตรูอย่างไม่หยุดยั้งในท่าจับแบบชี้ปลายคมลงพื้นและเกิดสะเก็ดไฟทุกครั้งที่ฟาดฟันคู่ต่อสู้ พร้อมทั้งขยับร่ายรำกระบวนท่าจนผมเปียข้างใบหน้าทั้งสองฝั่งพลิ้วไหว

               นัยน์ตาสีอำพันคอยจับจ้องมองข้าศึก ใบหน้าอันคมคายแสดงถึงความมุ่งมั่นหมายเอาชนะฝ่ายตรงข้ามชัดเจน ไม่ได้สนใจเลยว่าชุดลำลองกึ่งทางการสีสุภาพกับผ้าคลุมจอมเวทอันแสนภาคภูมิใจที่เขาสวมใส่อยู่จะขาดสะบั้น แม้ว่าภาพลักษณ์ดูขัดแย้งต่อสถานการณ์ในปัจจุบันก็ตาม

               อีกรายหนึ่งคือบุรุษวัยฉกรรจ์เจ้าของหน้ากากกะโหลกปีศาจเขาคู่สีนิล กำลังใช้ดาบเล่มยักษ์สีม่วงเข้มลวดลายแปลกตาคอยปัดป้องสลับกับโจมตีกลับคืนไป เขาสืบเท้าเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ แม้ว่าชุดแต่งกายจอมเวทดำทมิฬนั้นดูรุ่มร่ามบดบังรูปพรรณสัณฐานแบบมิดชิดก็ตาม

               มองดูแล้วชวนให้ความรู้สึกลึกลับซ่อนเร้น น่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยปริศนา

               ณ เวลานี้สภาพร่างกายและชุดเครื่องแบบของพวกเขาต่างสะบักสะบอมและเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งสิ้น

               “Lux spiraliso!! (ลำแสงวายุสังหาร) ”

               “Nigrumdeciesa pluviama!! (ล้านพิรุณทมิฬ) ”

               เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง!! ครืนครืนนนนน…!!

               สิ้นเสียงคำร่ายเวทของพ่อมดหนุ่มและชายลึกลับตามลำดับ แสงสว่างสีรุ้งอันเจิดจ้านับพันเส้นซึ่งหมุนรอบเป็นเกลียวขนาดใหญ่พร้อมด้วยหยาดน้ำฝนสีดำนิลจำนวนมาก ได้พุ่งเข้าชนหักล้างกันทันทีภายหลังจากสองคมดาบปะทะกัน ก่อกำเนิดคลื่นอากาศรุนแรง ตามด้วยฝุ่นควันกระจายไปทั่วทุกสารทิศคอยกลบทัศนวิสัย

               ทว่าลำแสงสรรพสีอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อสักครู่นี้กลับแฝงถึงความงดงามสุดอลังการและทรงพลัง ประจักษ์สายตาแก่เหล่าบรรดาผู้รอดชีวิต ซึ่งกำลังจับจ้องมองดูการต่อสู้อย่างตกตะลึงโดยมีอนาคตของมวลมนุษยชาติเป็นเดิมพัน เกินกว่าพ่อมดแม่มดคนใดสามารถเข้าไปแทรกแซงได้อีก

               ปึ้ง…!! ฉึก!

               อาวุธคู่กายของสองบุรุษผู้ใช้อาคมได้หลุดกระเด็นออกจากมือก่อนปักลงยังพื้นดินในระยะห่างเกินเอื้อม เด็กหนุ่มและชายวัยฉกรรจ์ร่างสูงโปร่งต่างเหน็ดเหนื่อยส่งเสียงหายใจหอบ หลังจากที่พวกเขาออกแรงต่อสู้พลางรีดเร้นพลังมนตราปะทะใส่กันมาเป็นเวลาสักพักหนึ่ง

               “แฮ่ก… แฮ่ก…”

               “เลวอน ทาวิเทียน” พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนแกมเทาเข้มวัย 18 ปี ผู้ต่อกรกับจอมมารอย่างสมน้ำสมเนื้อได้ชำเลืองตามองดูทางเบื้องหลัง แล้วพบว่าเหล่าหนุ่มสาวทั้ง 11 คนซึ่งเป็นพรรคพวกของตนตกอยู่ในสภาพล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างกัน เพราะต้องคอยรับมือโค่นล้มกองทัพปีศาจอสูรที่บุกเข้ามาโจมตี โดยอยู่ห่างถัดจากเลวอนเพียง 20 เมตร

               ทว่าในบรรดา 11 คนนี้ยังมีแม่มดสาวรายหนึ่ง ช่วยประคองร่างเหล่าผองเพื่อนให้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าราบเรียบใจเย็น แม้ว่าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยขาดวิ่นตามส่วนต่าง ๆ บนเสื้อผ้าก็ตาม เลวอนสังเกตเห็นดังนั้นจึงรีบส่งเสียงไหว้วานออกไปทั้งที่สายตายังคงจับจ้องมองศัตรูด้วยความไม่ประมาท

               “สเตฟก้า ที่นี่อันตรายเกินไป รีบพาพวกวัตสันหลบไปในพื้นที่ปลอดภัยเร็วเข้า!”

               “ค่ะ!”

               เด็กสาวหน้าตาดีผมสีส้มในชุดเครื่องแบบคล้ายนักเรียนจอมเวทกล่าวขานรับ แล้วเริ่มลงมือเตรียมกระทำการอะไรบางอย่างเพื่ออพยพเหล่ามิตรสหายซึ่งได้รับบาดเจ็บไปให้พ้นจากพื้นที่ตรงนี้ ในขณะเดียวกันบุรุษผู้สวมหน้ากากกะโหลกปีศาจก็ได้เกริ่นบทสนทนากับเลวอนด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก

               “นึกไม่ถึงเลยว่าตลอดช่วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมานี้ เธอจะสามารถยืนหยัดพัฒนาตนเองจนกลายมาเป็นจอมเวทผู้เก่งกาจแม้ว่าร่างกายต้องคำสาปอยู่ก็ตาม สมแล้วที่เป็นหนูทดลองของฉัน ช่างน่าประทับใจจริง ๆ”

               “พอได้แล้วไซตอน อย่าเข่นฆ่าผู้คนไปมากกว่านี้เลย!” พ่อมดหนุ่มรูปงามกล่าวแย้ง “สิ่งที่คุณทำอยู่ไม่นับว่าเป็นการช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความเสื่อมทราม มีแต่จะทำให้ทุกคนโกรธแค้นและหวาดกลัวคุณเท่านั้น!”

               “ถ้างั้นเธอก็รีบตัดสินใจมาเป็นพวกพ้องของเราซะสิ ฉันขอสัญญาว่าจะไม่มีการทำร้ายเหล่าพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ เลือดผสม และพวกอมนุษย์อีก ยกเว้นไอ้พวกมนุษย์น่ารังเกียจที่หลงใหลในวัตถุนิยม หันหลังให้กับศาสนาหรือคอยหมิ่นเหยียดหยามพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น ฉันจะคอยทำลายล้างอารยธรรมที่คอยฉุดดึงจิตใจของผู้คนให้เสื่อมทรามลง จนกว่าจะหมดสิ้นไปจากโลกใบนี้เอง!”

               จอมมารผู้ใช้คาถาอาคมนามว่า “ไซตอน” เกริ่นน้ำเสียงเกรี้ยวกราดโดยแฝงความรู้สึกเกลียดชังต่อบางสิ่ง พลางยื่นมือขวาไปยังเบื้องหน้าเชื้อเชิญอีกฝ่าย อย่างไรก็ดีเลวอนรีบตอบปฏิเสธและให้เหตุผลไปดังนี้ เพราะเขาหวังเอาไว้ว่าถ้อยคำของตนอาจช่วยชักจูงให้อริศัตรูฉุกคิดหรือสำนึกผิดขึ้นมาได้

               “เหล่าผู้คนธรรมดาที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ และคอยพึ่งพาแต่เทคโนโลยีเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเราไม่ใช่เหรอ…!? ในสังคมแบบนั้นยังมีผู้คนคอยรักษาคุณงามความดีเอาไว้อยู่ ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะต้องเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าสักหน่อย แค่นี้ถึงกับต้องกวาดล้างพวกเขาให้สิ้นซากเลยรึไง!? ให้ตายผมก็จะไม่ขอเป็นหนึ่งในพรรคพวกของอาชญากรสงครามอย่างพวกคุณเด็ดขาด!”

               “อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันน่ะถูกใจกับความสามารถและพรสวรรค์ของเธอเชียวนะ มีวัยรุ่นน้อยคนนักที่จะสามารถกลายมาเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับระดับชั้นพาลาดินได้ภายในเวลาสั้น ๆ เพราะงั้นอย่าให้ฉันต้องพรากชีวิตเธอไปอีกคนเลย ถ้าหากยังไม่พอใจจะให้ฉันถอนคำสาปที่ฝังอยู่ในร่างเธอตอนนี้ก็ยังได้ ขอเพียงแค่ยอมทำตามคำขอจากฉันเสียก่อน… เว้นแต่ว่าเธอยังอยากทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้ตลอดไป-”

               ตู้ม! สวบสวบสวบ!!

               เลวอนพลันปรากฏกายต่อหน้าศัตรูในระยะประชิดเพียงชั่วพริบตาเดียว พร้อมง้างกำปั้นขวาซัดใส่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ ผืนแผ่นดินที่เหยียบย่ำอยู่ถูกแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเสาแหลมยาวผุดขึ้นมาหลายสิบต้น เสียบแทงลำตัวของราชันจอมมารหมายจะปลิดชีพดับลมหายใจภายในคราวเดียว พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทผมสีขาวโพลนเริ่มแสดงให้เห็นถึงความก้าวร้าวรุนแรงออกมาบ้างแล้ว

               ถึงกระนั้นร่างกายของไซตอนกลับไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงใด ๆ นอกเสียจากแผลถลอกที่พุ่งเฉียดผิวหนังยังตำแหน่งต่าง ๆ จนเลือดไหลซิบออกมา ต้นหนามได้แตกสะบั้นหักครึ่งโดยไม่อาจเสียบทะลุเข้าหน้าท้อง สืบเนื่องจากเขาแอบร่ายมนตราป้องกันตัวเอาไว้แบบทันท่วงที

               บุรุษผู้สวมหน้ากากกะโหลกปีศาจยกสองมือหนาจับลำแขนอีกฝ่ายทำให้การโจมตีทั้งหมดไร้ผล ก่อนจะเอ่ยอย่างผู้มีชัย คราวนี้ลักษณะคำพูดคำจาเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งเยือกเย็นและสัมผัสได้ถึงความเหยียดหยามชัดเจน

               “โฮ่ แสดงพลังได้สูงสุดทั้งที่อาศัยอยู่ในร่างคนอื่นเหมือนกาฝาก แถมยังส่งพลังของตัวเองเพื่อให้เลวอนต่อสู้กับข้าได้อย่างสูสี หมายความว่าเจ้ายอมรับเด็กคนนั้นเป็นนายเหนือหัวไปแล้วงั้นสินะ? วลาดที่สามแห่งวาลาเคีย”

               “ไอ้สารเลว ที่ข้าต้องกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะใครกัน!?”

               พ่อมดหนุ่มเขม็งเล็งใส่ไซตอนอย่างโกรธแค้น นัยน์ตาได้แปรเปลี่ยนจากสีเหลืองอำพันกลายมาเป็นสีฟ้าน้ำทะเลสดใส มิหนำซ้ำยังเผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวตามประสาผีดูดเลือด บัดนี้เขาไม่ใช่ “เลวอน ทาวิเทียน” อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นบุคลิกจิตสำนึกของวลาดจอมเสียบ วีรชนผู้ช่ำชองในการทำศึกสงครามต่อออตโตมันเมื่อครั้นโบราณกาลต่างหาก

               “วลาดิสลาฟ ดรากูลา” ได้ระเบิดแรงบันดาลโทสะผ่านทางถ้อยคำอีกครั้ง

               “เจ้าแย่งชิงทุกสิ่งไปจากข้า ทำให้ข้าต้องสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ด้วยคำสาปอันน่ารังเกียจนั่น จนไม่อาจปกป้องแคว้นวาลาเคียและเหล่าประชาชนบริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ หรือแม้แต่สิทธิ์ในการศรัทธาพระผู้เป็นเจ้าได้อีก…! ไอ้คนชั่วช้าอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกเคียดแค้นของข้าได้หรอก!”

               “แล้วเจ้าล่ะเข้าใจถึงความรู้สึกของข้าดีนักรึยังไง!? นั่นเป็นเพราะว่าเหล่าเทวทูตและมนุษย์ทั้งหลายอย่างพวกเจ้ามัวแต่เสพสำราญจนเกิดกิเลสตัณหาไม่รู้จักจบจักสิ้น หลงใหลในอำนาจ ก่อสงครามโดยใช้ศาสนามาเป็นข้ออ้าง และสร้างความขัดแย้งทุกยุคทุกสมัยโดยไม่ยำเกรงถึงตัวตนของพระผู้เป็นเจ้าต่างหาก ที่ทำให้ตัวข้าต้องก่อการปฏิวัติเพื่อไม่ให้สรวงสวรรค์และโลกใบนี้แปดเปื้อนมลทินอีก…! ข้าจำเป็นต้องลงมือทำทุกวิถีทาง แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิเสธข้าก็ตาม!”

               ราชันจอมมารรีบสวนถ้อยคำพลางใช้สองมือหนาบีบท่อนแขนข้างขวาของอีกฝ่ายแน่นตามแรงโทสะ ส่วนเจ้าชายแห่งโรมาเนียผู้เป็นวิญญาณวีรชนในร่างเด็กหนุ่มวัย 18 ปี ก็ได้กล่าวโต้แย้งอย่างไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัว

               “แต่การกระทำทั้งหมดของเจ้าล้วนเกิดจากความจองหองเอาแต่ใจโดยอ้างว่าเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กที่เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ด้วยซ้ำ ก็สมควรแล้วที่พระองค์ทรงสาปแช่งขับไล่เจ้าออกจากสวรรค์จนกลายมาเป็นจอมมาร และข้านี่แหละจะเป็นคนกำราบเจ้าแทนพระองค์เอง!”

               “หุบปาก!” ไซตอนสบถถ้อยคำออกมาทั้งที่ร่างกายสั่นเทาด้วยความเดือดดาล “ผีดูดเลือดโสโครกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล่าวอ้างว่าเป็นตัวแทนพระองค์!!”

               “นั่นเป็นคำพูดของทางนี้ต่างหาก ไอ้เทวทูตตกสวรรค์!!”

               สิ้นเสียงปะทะคารม พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทกับจ้าวแห่งศาสตร์มืดจึงเปิดฉากต่อสู้กันอีกครั้งโดยใช้ศิลปะการป้องกันตัวโจมตีในระยะประชิด เลวอนรีบหมุนแขนชักมือขวาเข้าหาลำตัว เหวี่ยงกำปั้นอีกข้างพุ่งซัดใส่หน้าท้องของศัตรูสุดแรงเกิดจนอีกฝ่ายออกอาการตัวงอเล็กน้อย

               พลั่ก! ตู้ม!

               ไซตอนรีบยกมือซ้ายตั้งการ์ด สะบัดหมัดขวาชกใส่ใบหน้าของบุรุษแวมไพร์ตอบกลับไปตามสัญชาตญาณ เนื่องจากร่างกายทั้งคู่มีพละกำลังใกล้เคียงกัน ทำให้สองชายฉกรรจ์ต่างกระเด็นถอยหลังเซถลาจนเกือบเสียหลักล้มลง

               สงครามยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ วลาดและไซตอนยื่นแขนขวาเรียกดาบคู่ใจซึ่งปักลงบนพื้นดินให้ลอยขึ้นเหนือพสุธา หวนกลับคืนสู่อุ้งมือของผู้เป็นนายโดยไม่จำเป็นต้องขยับปากร่ายคาถาออกมา ก่อนจะใช้ศัสตราวุธฟาดฟันใส่กันในศึกประชันดาบรอบที่สอง

               “Factisunt cadaverisa! (คำสาปพิฆาต) ”

               “Spiritus lapis! (ลมหายใจศิลา) ”

               เคร้ง! เปรี้ยงเปรี้ยง ซูมมมมม…!!

               สองคมดาบพุ่งปะทะเข้าหากันจนก่อกำเนิดลำแสงสีเขียวสว่างเจิดจ้าพร้อมด้วยฝุ่นควันมหึมา ราวกับพายุทะเลทรายโหมกระหน่ำท่ามกลางสมรภูมินองเลือดและลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิง บดบังทัศนวิสัยยากที่จะมองเห็นการต่อสู้อันดุเดือดแบบชัดแจ้งเต็มสองตา

               ในขณะที่สองจอมเวทระดับชั้นพาลาดินกำลังห้ำหั่นกันด้วยอารมณ์โทสะ “สเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า” แม่มดสาวรูปร่างหน้าตาดีเจ้าของเรือนผมสีส้มยาวประบ่าเล็กน้อยในชุดนักเรียนจอมเวทดูสุภาพ ได้ใช้ดวงตาสีม่วงทอดมองไปยังพื้นที่สนามรบอีกฟากฝั่งหนึ่ง สังเกตเห็นก้อนกลุ่มอะไรบางอย่างกำลังโหมกระหน่ำเข้ามาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง

               ครืนครืนครืนนน…!!

               “แฮ่!! กรรรรรร…!!”

               เหล่าบรรดาอสูรรวมถึงเผ่าอมนุษย์ผู้ฝักใฝ่ความชั่วร้ายนับร้อยตน ต่างส่งเสียงคำรามพลางวิ่งกรูถืออาวุธพุ่งเข้าโจมตี จอมเวทวัยหนุ่มสาวทั้งสิบชีวิตซึ่งตกอยู่ในสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ในช่วงแรกเริ่มของสงคราม พยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนเตรียมตอบโต้ผู้รุกราน บางคนชักดาบหรือศัสตราวุธประจำตัวขึ้นมา บ้างก็ชูไม้กายสิทธิ์ชี้เล็งไปยังข้าศึกแม้ว่าร่างกายของแต่ละคนจะสะบักสะบอมจนดูไม่จืดก็ตาม

               “ทุกคนรีบก้มตัวหมอบต่ำลงค่ะ!”

               น้ำเสียงหนักแน่นของแม่มดสาวผมสีส้มดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง เหล่าสหายได้ยินเช่นนั้นพลันปฏิบัติตามอย่างไม่รีรอ สเตฟาเนียผู้ซึ่งเป็นสมาชิกทีมเพียงคนเดียวที่ยังมีพละกำลังและพลังเวทมนตร์เหลืออยู่มากพอ รีบลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือขวาไปยังเบื้องหน้าเพื่อเริ่มเสกคาถา หรือจุดที่กลุ่มนักรบอสูรขนาดย่อมกำลังวิ่งกรีธาทัพเข้ามาทางนี้ทันที

               แว้บ วูบบบบบ…!

               ลูกไฟทรงกลมขนาดเท่าลูกสักหลาดสองดวงปรากฏขึ้นตรงเบื้องหน้าของสตรีผู้ใช้อาคม โคจรเข้าหากันรอบ ๆ กลางอากาศคล้ายระบบดาวคู่ในลักษณะหมุนตามเข็มนาฬิกา ลูกแรกเป็นสีขาวส่องสว่าง ส่วนอีกลูกเป็นสีดำอมม่วง ยิ่งเข้าใกล้กันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มความเร็วหมุนรอบตัวเร็วขึ้นเท่านั้น

               จนกระทั่งข้าศึกเริ่มเข้าประชิดในระยะ 50 เมตรลงมา สเตฟาเนียก็รีบสบโอกาสเรียกขานนามแห่งคาถาทันที

               “Binary Supernova! (มหานวดาราคู่) ”

               พรึ่บ! ซูมมมมมมม…!!

               เมื่อสองลูกไฟผสานรวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียว แสงสว่างดวงใหญ่จึงพลันระเบิดจ้ากระจายไปทั่วทุกสารทิศ ส่งผลให้สายตาของแต่ละคนพร่ามัว อานุภาพแรงอัดอากาศอันมหาศาลคอยกวาดล้างกองทัพปีศาจนับร้อยชีวิตให้ผละกระเด็นออกไป จนร่างกายของพวกมันสูญสลายกลายเป็นผุยผงภายในพริบตาท่ามกลางทะเลแสงหลากสี

               เสื้อผ้าและเส้นผมของผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ต่างพลิ้วไหวไปตามแรงลม เมื่อแสงสว่างเริ่มเจือจางลง สเตฟาเนียไม่รีรอชักช้ารีบหยิบนาฬิกาพกโบราณสีทองขึ้นมาเปิดฝา เผยให้เห็นชิ้นส่วนฟันเฟืองนับร้อยตัวภายในแผงบนหน้าปัดชัดเจน ก่อนจะคุกเข่านั่งลงสมทบกับเหล่าผองเพื่อนแล้วเริ่มชี้แจงถึงแผนการสำคัญ

               “จากนี้ไปฉันจะใช้นาฬิกาเวทมนตร์ส่งพวกคุณกลับไปยังห้องลับชั้นใต้ดินของปราสาทสีขาว ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากที่สุดในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ในระหว่างนั้นก็ช่วยพักฟื้นรักษาตัวกันไปก่อนนะคะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด