แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 73: รีดเค้นความจริง

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 73: รีดเค้นความจริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               สเตฟาเนียได้พาฮิคาริเข้ามายังภายในห้องเก็บของเก่าชั้นที่สี่ ณ ประสาทสีขาว โดยอยู่ห่างจากบันไดหนีไฟเพียงแค่สามก้าว เพื่อให้ทั้งสองคนสะสางปัญหาระหว่างกันได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น สภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมืดสลัว พอมีแสงสว่างจากภายนอกเล็ดลอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาได้บ้าง อีกทั้งยังเป็นจุดลับสายตาจากผู้คนมากพอสมควร

               แต่ละมุมห้องมีชั้นไม้วางตั้งเรียงรายซ้อนกันเป็นแถว ไว้สำหรับจัดเก็บตำราเรียน เอกสารราชการที่หมดอายุความหรือแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์เล่มเก่า ถือเป็นสถานที่รกร้างซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้มาเนิ่นนาน บนพื้นระเบียงต่างกระจัดกระจายไปด้วยเศษแผ่นโฟมหลายชิ้นปะปนไปพร้อมกับกล่องกระดาษลัง ท่ามกลางผืนห้องขนาดความกว้างโดยรวมราวสามสิบหกตารางเมตร

               เมื่อย่างกรายเข้ามายังภายในห้องเก็บของแล้ว แม่มดสาวนักปรุงยาพราวเสน่ห์จึงลงมือล็อกกลอนประตูให้สนิท ส่วนวีรสตรีจอมดาบเวทได้ก้าวเท้ามุ่งไปยังใจกลางห้องคอยเว้นระยะห่างคู่สนทนาเอาไว้ ก่อนจะหันหน้ามาทางนี้เพื่อเริ่มซักถามถึงข้อสงสัย โดยที่ดวงตาสีเทาคู่นั้นเพ่งเล็งอีกฝ่ายอย่างกังขา

               “คราวนี้จะตอบคำถามของฉันมาได้แล้วรึยัง ตกลงเธอคือบุตรีแห่งไซตอนใช่ไหม?”

               “ถ้าหากแม่มดที่ไร้ความสามารถในการดูดซับพลังเวทมนตร์ตามธรรมชาติอย่างฉันคือบุตรีแห่งไซตอน ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟก็คงเปรียบได้เหมือนพระเจ้าของโลกใบนี้ไปแล้วล่ะค่ะ อะไรที่ทำให้รุ่นพี่ฮิคาริฉุกคิดขึ้นมาได้แบบนั้นกันคะ?”

               สเตฟาเนียตอบบ่ายเบี่ยง สร้างความไม่พอใจให้แก่ฮิคาริเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ซามูไรสาวจึงเกริ่นน้ำเสียงบันดาลโทสะ เผยสีหน้าบึ้งตึงพลางชี้นิ้วใส่อีกฝ่าย

               “เลิกทำตัวเฉไฉสักทีเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ฉันน่ะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่พวกเราตั้งวงล้อมสู้กับเจ้าลูกแกะ…! ไม่สิ กับเจ้าผีดูดเลือดนั่นแล้ว ว่าจิตสังหารและกลิ่นอายของเธอคล้ายคลึงกับจอมมารไซตอน แถมยังตั้งท่าปลดปล่อยพลังชุดใหญ่เตรียมต่อสู้กับวลาดที่สามอีกด้วย อย่าคิดว่าฉันไม่ทันเห็นนะยะ!”

               “อย่างงี้นี่เอง ตอนนั้นรุ่นพี่ยังประคองสติได้งั้นสินะคะ” สเตฟาเนียกล่าวน้ำเสียงราบเรียบพร้อมทำท่าครุ่นคิดไปพลาง “ทั้งที่โดนคลื่นแรงอัดอากาศซัดเข้าใส่อย่างจังแล้วแท้ ๆ ขนาดคนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดอย่างคุณอาเธอเรียเองยังลุกแทบไม่ขึ้นเลย ถ้าหากไม่ได้ซิสเตอร์เวสน่าคอยร่ายเวทมนตร์รักษาให้ นี่อย่าบอกนะว่าคุณ…?”

               ซามูไรสาวเริ่มเฉลยคำตอบด้วยท่าทีเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจ

               “ใช่ ตอนที่พวกเราเข้าไปตะลุมบอนใส่วลาดพร้อม ๆ กัน ฉันได้ร่ายจิตเสริมความแข็งแกร่งเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อลดแรงโจมตีทางกายภาพจากศัตรู เพราะงั้นฉันถึงยังคงสติและมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยังไงล่ะ… นี่แหละคือข้อได้เปรียบของฉันที่เป็นองเมียวจิ ต่างจากเหล่าพ่อมดแม่มดอย่างพวกเธอที่เอาแต่พึ่งพาความสะดวกสบายด้วยเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว”

               “เห คนที่ขอร้องไหว้วานให้คุณเลวอนช่วยฝึกสอนคาถาเป็นการส่วนตัว ยังกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้อีกเหรอคะ?”

               “น-หนวกหูน่า!” ฮิคาริโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายยอกย้อน “ก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะถ่ายทอดวิชาดาบให้กับเจ้าลูกแกะฟรี ๆ ถึงได้ขอให้หมอนั่นช่วยสอนวิชาเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนน่ะสิ…! เลิกยุ่งเรื่องของฉันสักทีเถอะ เธอน่ะรีบตอบคำถามฉันให้ชัดเจนดีกว่า!”

               “เฮ้อ… ทั้งที่ตัวเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้วแท้ ๆ ที่เหลือก็สุดแล้วแต่รุ่นพี่จะพิจารณาเลยค่ะ”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มหันหน้าไปทางอื่นพลางแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย องเมียวจิสาวพยายามข่มตัวเองให้อยู่ในท่าทีสำรวมกายอย่างใจเย็น เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าขืนปะทะคารมมากไปกว่านี้มีแต่จะเสียเวลาเปล่าโดยใช่เหตุ

               ฮิคาริเริ่มเปิดประเด็นสำคัญต่อไปโดยพูดจาแหย่อีกฝ่ายเพื่อลองเชิง

               “ไม่คิดจะตอบปฏิเสธแบบนี้ ถ้างั้นฉันจะถือว่าเธอยอมรับข้อกล่าวหานี้ก็แล้วกัน ว่าเธอน่ะเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับจอมมารไซตอน… นึกอยู่แล้วเชียว เจ้าพวกอสูรหรือจอมมารนี่ไว้ใจกันไม่ได้สักคน”

               “หยุดเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเจ้าพวกนั้นสักทีเถอะค่ะ ฉันน่ะไม่ได้เป็นพันธมิตรฝ่ายไหนทั้งนั้น…!”

               น้ำเสียงของสเตฟาเนียเริ่มแข็งกร้าว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบใจกับถ้อยคำเหมารวมมากพอสมควร อย่างไรก็ดีฮิคาริยังคงตั้งแง่รีบซักถามต่อไปด้วยความกังขาปนหวาดระแวง

               “ก็แล้วทำไมเมื่อวานนี้เธอถึงไม่ยอมใช้คาถา ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ เพื่อช่วยวลาดต่อสู้และโค่นล้มไซตอนล่ะ ถ้าหากเธอไม่ได้คิดอยากจะเป็นพวกเดียวกับฝ่ายชั่วร้ายจริง ๆ นั่นอาจเป็นโอกาสเดียวที่จะกำจัดศัตรูในสภาพที่อ่อนแรงได้แท้ ๆ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันมองเธอในแง่ร้ายได้ยังไงกันล่ะยะ!?”

               “นี่คุณคิดว่าคาถาโบราณขั้นสูงสุดอย่าง ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ คือเวทมนตร์อันทรงพลังที่สามารถแก้ไขปัญหาร้อยแปดพันเก้า หรือเอาชนะต่อศัตรูได้ทุกสรรพสิ่งและทุกเวลาโดยที่ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยงั้นเหรอคะ?”

               สเตฟาเนียรีบหันมาสบสายตาโต้แย้งต่อข้อครหา ฮิคาริถึงกับหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

               “ม… หมายความว่ายังไง!?”

               “ก็จริงอยู่ที่มันอาจจะทรงพลังและอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ แต่ว่าการใช้อาคมดังกล่าวย่อมต้องสังเวยบางสิ่งอย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อรีดเร้นพลังเวททั้งหมดออกมาจากร่างกาย ไม่ว่าจะอายุขัยของผู้ร่าย การสูญเสียผู้คนนับล้าน หรืออาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติทั่วทั้งโลกจนถึงคราวล่มสลาย นี่ถ้าหากไม่ติดตรงเงื่อนไขที่ว่ามา ถึงตอนนั้นฉันคงทุ่มพละกำลังทั้งหมดเพื่อหยุดยั้งจอมมารไซตอนไปนานแล้ว”

               สเตฟาเนียหยุดพักหายใจเพียงครู่หนึ่ง ฮิคาริจึงถือโอกาสยกทฤษฎีสมคบเพื่อโต้แย้งโดยพลัน

               “เหลวไหลน่า ก็ในเมื่อชาวบ้านทุกคนยังปกติดีเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่วลาดกับจอมมารไซตอนเรียกใช้คาถาระดับชั้นสูงสุดนั่นซัดใส่กันจนถึงขั้นท้องฟ้าแปรปรวนแล้วแท้ ๆ !”

               “ตอนนั้นศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเองก็ได้ใช้คาถา ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ คอยควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายมากไปกว่านี้ด้วยยังไงล่ะคะ อย่างที่ฉันเคยพูดไปเมื่อสักครู่นี้ พลังของเวทมนตร์ดังกล่าวนั้นอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ เนื่องจากมันสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างไปตามจินตนาการหรือจิตสำนึกของผู้ร่ายได้ตามใจชอบ ใช้ให้ถูกย่อมเป็นคุณ หากใช้ในทางที่ผิดก็ย่อมเกิดหายนะต่อโลก ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาอย่างพร่ำเพรื่อ

               โชคดีที่พละกำลังของวลาดและของไซตอนในเวลานี้ยังอ่อนแอ ระดับความรุนแรงไม่มากพอที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติไปทั่วทั้งโลก เพราะงั้นการที่ศาสตราจารย์สามารถควบคุมขอบเขตของพลังทั้งสองคนเอาไว้ไม่ให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างได้ และทำให้เหตุการณ์ภายนอกทั้งหมดดูเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย ก็ถือว่าสุดกำลังมากพอสำหรับเขาแล้ว

               ขืนฉันยื่นมือเข้าไปยุ่งโดยใช้คาถา ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ ตามด้วย คุณคิดว่าศาสตราจารย์ยาโรสลาฟจะสามารถแบกรับพลังมหาศาลของทั้งสามคนพร้อม ๆ กันไหวไหมล่ะคะ? ไม่ได้ต่างอะไรกับการสูบแก๊สใส่ลูกโป่งจนเกินขนาดเลยค่ะ”

               ด้วยถ้อยคำชี้แจงอย่างมีหลักการจากปากของแม่มดสาวนักปรุงยา ทำให้วีรสตรีจอมดาบเวทไม่อาจสรรหาทฤษฎีใดมาหักล้างได้อีก แต่ถึงกระนั้นแล้วฮิคาริยังคงหวาดระแวงต่อคู่สนทนาอยู่ดี

               “คำแก้ตัวพวกนี้ไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ฉันเลิกสงสัยในตัวเธอได้หรอกนะ”

               “ก็ไม่ได้ขอร้องให้รุ่นพี่ฮิคาริมาไว้เนื้อเชื่อใจฉันสักหน่อยนี่คะ?”

               “ยัยนี่…!”

               ฮิคาริสบถเล็กน้อยพลางกัดฟันอย่างไม่สบอารมณ์ สเตฟาเนียยังคงท่าทีแน่นิ่งประดุจทองไม่รู้ร้อน ก่อนที่ซามูไรสาวจะเริ่มซักถามถึงหัวข้อถัดไป หวังไล่ต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมหรือเผยธาตุแท้ภายในใจออกมาเสียให้ได้

               “แล้วเจ้าลูกแกะนั่นล่ะ?”

               “หมายความว่ายังไงกันคะ?”

               “พักนี้เห็นสนิทสนมกันจนน่าผิดสังเกต จริง ๆ แล้วเธอคิดอยากจะทำอะไรกับเจ้าหมอนั่นกันแน่?”

               “…เลิกเอาเรื่องอื่นมาโยงเป็นตุเป็นตะสักทีเถอะค่ะ คุณเลวอนเขาเกี่ยวอะไรด้วย?”

               “ก็มันน่าแปลกไม่ใช่เหรอ!? ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินข่าวลือมาจากเจ้าลูกหมากับเจ้าหมอนักปรุงยาจอมติ๊งต๊องนั่นแล้ว ว่าเธอน่ะเคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้กับพวกผู้ชายมาก่อน แถมไม่คิดจะสนใจเพศตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้มารู้จักกับเลวอน รวมถึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคำสาปที่ได้รับแล้ว ก็เลยเข้าไปหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากหมอนั่นในภายภาคหน้าใช่ไหมล่ะ!?”

               “แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องหลอกใช้เขาด้วยล่ะคะ?” สเตฟาเนียทำท่าเอียงคอซักถาม

               “ก็เพราะว่าสารคัดหลั่งที่มาจากร่างกายของเลวอนสามารถเพิ่มพลังเวทให้ถึงขีดสุดได้น่ะสิ เธอเองก็เคยดื่มเลือดของหมอนั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอคอยใกล้ชิดเขาเพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากจุดนั้นอีก และการที่เธอแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไส้ศึกของไซตอน เพื่อคอยรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าต่าง ๆ สักหน่อยจริงไหม!?”

               ฮิคาริส่งเสียงตวาดพลางชี้นิ้วใส่ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ตรงเบื้องหน้าอย่างมั่นใจ สเตฟาเนียยืนสงบแน่นิ่งเพียงชั่วขณะหนึ่ง แทนที่เด็กสาวจะรู้สึกโกรธเคืองต่อข้อครหาดังกล่าว ทว่าเธอกลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ และค่อย ๆ ดังขึ้นอย่างชัดเจน

               พร้อมทั้งเผยสีหน้าท่าทีตลกขบขันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

               “หุหุหุ… อ๊าฮะฮะฮะฮะ ~!”

               “มีอะไรน่าขำนักรึไง!?”

               องเมียวจิสาวส่งเสียงหงุดหงิดปนประหลาดใจ ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นฝ่ายตรงข้ามแสดงอาการดังกล่าว ทั้งที่ในยามปกติชอบทำตัวนิ่งไม่ค่อยแยแสต่อสิ่งอื่นใดเท่าไหร่นัก ส่วนแม่มดสาวแสนซนจอมเจ้าเล่ห์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ขันเอาไว้ พร้อมทั้งโต้ตอบกลับโดยยังคงหัวเราะไปพลาง ๆ

               “ฮะฮะฮะ~! แหม รุ่นพี่เนี่ยช่างจินตนาการล้ำลึกจนฉันเถียงไม่ออกเลยล่ะค่ะ!”

               “สเตฟาเนีย ไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังคิดการใหญ่ หรือมีแผนอะไรบางอย่างแอบซ่อนเร้นเอาไว้อยู่รึเปล่า แต่จะขอพูดเตือนเธอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในฐานะที่ฉันเป็นครูฝึกสอนดาบของเลวอน ถ้าคิดจะหลอกใช้หมอนั่นเพื่อก่อเรื่องชั่วร้ายแล้วล่ะก็ อย่าได้เข้าใกล้เขาอีกเป็นอันขาด!”

               “เห เป็นห่วงคุณเลวอนด้วยเหรอคะเนี่ย ทั้งที่ตัวเองชอบแสดงท่าทีเข้มงวดใส่เขาตลอดเวลาแท้ ๆ” สเตฟาเนียกลับมาอยู่ในท่าทีสำรวมตามปกติ อีกทั้งยังกระแหนะกระแหนด้วยสีหน้ารอยยิ้มอันชั่วร้าย “นี่สินะที่เขาเรียกผู้หญิงประเภทนี้ว่า ‘ซึนเดเระ (ปากไม่ตรงกับใจ) ’ … อ้อ พอดีเคยได้ยินคำนี้มาจากรุ่นพี่อิทสึกิอีกทีน่ะค่ะ ก็เลยลองหยิบคำภาษาญี่ปุ่นมาใช้ดูบ้าง”

               “ไม่ใช่นะยัยบ้า เลิกพูดจาไร้สาระสักทีจะได้ไหม!?” ฮิคาริแผดเสียงพร้อมทั้งแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “ฉันแค่ไม่อยากให้เจ้าลูกแกะในฐานะลูกศิษย์แห่งสำนักดาบฮาชิสึเมะต้องพบกับจุดจบน่าสมเพช เพียงเพราะโดนร้อยเล่ห์มารยาหญิงอย่างหล่อนหลอกใช้ก็เท่านั้นเอง เพราะงั้นฉันถึงต้องปกป้องหมอนั่นยังไงล่ะ!”

               “ถ้าหากว่าฉันคิดจะหลอกใช้คุณเลวอนจริง ๆ คุณจะรู้สึกลำบากใจงั้นเหรอคะ?”

               “ขืนยังไม่เลิกยียวนกวนประสาทหรือไม่ยอมตอบคำถามฉันดี ๆ อีกล่ะก็…!”

               เด็กสาวนัยน์ตาสีเทาเริ่มออกอาการกำหมัดทั้งสองข้าง พยายามใช้ความตั้งใจเฮือกสุดท้ายระงับอารมณ์โทสะภายในใจอย่างสุดความสามารถ ขณะที่แม่มดสาวแสนซุกซนเลิกแสยะยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง แตกต่างจากบุคลิกเดิมซึ่งเคยเยือกเย็นชินชาโดยสิ้นเชิง ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลสั้น ๆ ด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ

               “ฉันจำเป็นจะต้องมีคุณเลวอนเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญให้สำเร็จ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตามฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปแน่… อีกอย่างต่อให้รุ่นพี่ฮิคาริพูดจาใหญ่โตสักแค่ไหน ตัวคุณในตอนนี้ก็ไม่เก่งกาจพอที่จะปกป้องชีวิตเขาให้รอดพ้นจากอันตรายได้แบบตลอดรอดฝั่งหรอกนะคะ”

               “กรอด…!!”

               ——เปรี้ยง!!

               ทันทีที่บทสนทนาสิ้นสุดลง เสียงกัมปนาทก็พลันดังสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณภายในห้องเก็บของ แรงอัดอากาศลูกใหญ่ปรากฏขึ้นจากเบื้องหน้าของฮิคาริแล้วพุ่งออกไป จนร่างของสเตฟาเนียถูกซัดกระเด็นถอยหลังชนเข้ากับชั้นวางของตรงมุมห้องอีกมุมหนึ่งอย่างจังแบบไม่ทันตั้งตัว

               แม่มดสาวนักปรุงยาตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอม นอนหงายอยู่บนกล่องกระดาษลังซึ่งกระจัดกระจายกองทับถมกันเป็นภูเขา พร้อมด้วยเอกสารและสื่อสิ่งพิมพ์ปลิวว่อนร่อนลงมาปกคลุมร่างเธอราวกับเศษใบไม้ร่วง

               “บัตโตจุตสึ (วิชาชักดาบเร็ว) สายฮาชิสึเมะรูปแบบที่หนึ่ง – นาคาสะบัดหาง”

               ซามูไรสาวเรียกขานชื่อกระบวนท่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแฝงความดุดัน ผู้ใช้อาคมสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มพยายามประคองตัวลุกขึ้นยืน แล้วจัดหมวกแม่มดซึ่งบิดเบี้ยวอยู่บนศีรษะให้เข้ารูปทรง ก่อนจะจับจ้องมองดูอีกฝ่ายอย่างฉงนใจเล็กน้อย พบว่าฮิคาริอยู่ในท่าจับดาบคาตานะเตรียมต่อสู้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่เธอชักศัสตราวุธออกมาจากฝักแบบสายฟ้าแลบ

               สเตฟาเนียใช้สองมือบางปัดฝุ่นและเศษกระดาษที่เกาะติดตามชุดแต่งกายออกไป ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับอันตรายจากการจู่โจมเมื่อสักครู่ เนื่องจากฮิคาริใช้สันดาบซัดใส่ตนด้วยความเร็วสูงสุด จนเกิดคลื่นอากาศปะทะใส่ร่างอย่างรุนแรง

               อย่างไรก็ดี เด็กสาวนัยน์ตาสีส้มหาได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมาให้เห็นมากนัก พลางเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบพูดคุยกับวีรสตรีจอมดาบเวทอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มควันพร้อมด้วยซากกล่องลังเกลื่อนกลาดบนพื้นภายใต้ความมืดสลัว

               “แหมแหม… นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะ?”

               “เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญให้สำเร็จ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตามงั้นรึ…? เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะยัยปีศาจ นึกแล้วเชียวว่าเผ่าจอมมารอย่างพวกหล่อนเชื่อใจไม่ได้จริง ๆ ด้วย!”

               ฮิคาริชี้ปลายดาบไปยังทิศทางคู่สนทนาอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน สเตฟาเนียตัดสินใจถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะ แล้วใช้มือขวาล้วงหยิบไม้กวาดด้ามยาวออกมาเพื่อใช้เป็นอาวุธต่อกร ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเยือกเย็นออกไปดังนี้

               “ท่าทางรุ่นพี่ฮิคาริคงไม่อยากตายอย่างสงบงั้นสินะคะ ถ้างั้นฉันจะสงเคราะห์ให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด