แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 85: จุดชนวนโดยไม่ได้ตั้งใจ

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 85: จุดชนวนโดยไม่ได้ตั้งใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               หวืด…! ตู้ม!

               เสียงอึกทึกดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ภายหลังจากสิ้นสุดคำประกาศกร้าวจากอาเธอเรีย เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าพลันขยับฝีเท้าพุ่งเข้าหาเลวอนแล้วง้างหมัดขวาชกใส่ทันที โดยไม่ได้คำนึงถึงพละกำลังของอีกฝ่ายซึ่งด้อยกว่าตนแต่ประการใด

               “เหวอ!?”

               เลวอนร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตระหนก เคราะห์ดีที่เด็กหนุ่มโยกตัวหลบหลีกพ้นชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เปลวเพลิงอัสนีถูกปลดปล่อยออกมาจากกำปั้นผู้ฝึกสอน ได้เฉียดปลายเส้นผมสีขาวโพลนฝั่งซ้ายขาดแหว่งไปบางส่วนพร้อมทั้งติดไฟมอดไหม้ขึ้นมาเพียงชั่วขณะ ก่อนจะกระแทกลงยังพื้นกลายเป็นแอ่งหลุมขนาดย่อม

               ขณะนั้นเองอาเธอเรียได้กล่าวเตือนต่อลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้มพึงลำพองใจ

               “ระวังตัวด้วย นี่ไม่ใช่ธาตุไฟธรรมดาแต่เป็นธาตุอัสนีเพลิง ขืนโดนเข้าจัง ๆ ล่ะก็รับรองนายได้ไหม้เกรียมสุกกำลังดีเหมือนเนื้อมีเดียมแรร์แน่… จำเอาไว้ซะ ศัตรูไม่มีวันออมมือให้นาย!”

               “ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้เห็นภาพก็ได้ครับปรมาจารย์~~~~~~~~!!”

               “เป็นลูกผู้ชายอย่ามัวแต่หลบหนี โต้ตอบกลับมาสักหมัดสิบ้าง โอร่า~!”

               อาเธอเรียยังคงรุดหน้ากระหน่ำหมัดจู่โจมต่อไป โดยที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เลวอนได้ยืนพักหายใจแม้เพียงวินาทีเดียว มิหนำซ้ำยังวาดลวดลายเหวี่ยงลำแข้งหมายจะซัดใส่สีข้างอีกฝ่าย พ่อมดหนุ่มจึงต้องเปลี่ยนแผนตั้งรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

               รู้สึกตัวอีกทีบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นผืนหญ้าอันเขียวขจี ก็เริ่มเต็มไปด้วยหลุมบ่อตื้น ๆ จำนวนนับสิบ ราวกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ไปเสียแล้ว ประดุจว่าแม่มดสาวจอมพลังผู้นี้คือป้อมปราการเคลื่อนที่ติดปืนใหญ่ก็มิปาน

               “ฉันไม่เคยเห็นคุณอาเธอเรียทำตัวสนุกสนานแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายมาก่อนเลย”

               สเตฟาเนียซึ่งนั่งเฝ้าคอยรับชมการฝึกซ้อมของเลวอนอยู่ห่าง ๆ เกริ่นน้ำเสียงพึมพำ ภายหลังจากที่เธอสังเกตเห็นถึงกิริยาท่าทางอันสดใสและกระฉับกระเฉงของอาเธอเรีย ฮิคาริจึงเอ่ยปากซักถามต่ออีกฝ่ายอย่างสนใจ ทั้งที่ยังคงก้มหน้าก้มตาเพลิดเพลินไปกับเกมกด Nintendo Switch ซึ่งอยู่ในมือตนอย่างไม่ลดละ

               “ปกติแล้วยัยนั่นไม่ค่อยถูกกับพวกผู้ชายงั้นสินะ?”

               “เรียกได้ว่าถ้าหากเจอคนประเภทเดียวกันกับพวกอัลเบิร์ต เธอจะเข้าไปเตะแบบไม่เลี้ยงเลยล่ะค่ะ” สเตฟาเนียตอบ

               “ตอนเด็ก ๆ คุณอาเธอเรียมักโดนพวกผู้ชายและผู้หญิงบางคนคอยกลั่นแกล้งเหยียดหยามอยู่เสมอ เนื่องจากเธอเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสายเลือดพ่อมดแม่มดบริสุทธิ์ ก็เลยรู้สึกคับแค้นฝังใจจนถึงทุกวันนี้น่ะค่ะ”

               โมนิก้าซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างฮิคาริถือโอกาสอธิบายพอสังเขปด้วยสีหน้าน้ำเสียงเศร้าสร้อย คราวนี้ซามูไรสาวรีบเงยศีรษะแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย โดยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเครื่องเล่นสันทนาการอีกต่อไป

               “อ-เอ๊ะ ไม่ใช่พ่อมดแม่มดโดยกำเนิดหรอกเหรอ แล้วทำไมถึงใช้เวทมนตร์คาถาพื้นฐานได้ล่ะ?”

               “ถึงแม้ว่าในสังคมจอมเวทที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นจะมีกลุ่มคนส่วนใหญ่อยู่สี่ประเภท ยกตัวอย่างเช่นพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ เลือดผสม อมนุษย์ และมนุษย์ทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาก็ตาม แต่ใช่ว่าพวกเขาจะแสดงอิทธิฤทธิ์ไม่ได้เสมอไปนะคะ” แม่มดนัยน์ตาสีส้มชี้แจ้งรายละเอียด “ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณอาเธอเรียเป็นเด็กสาวธรรมดาที่มีพรแสวง และมีความขยันหมั่นเพียรใฝ่เรียนรู้จนกระทั่งประสบผลสำเร็จนั่นเองค่ะ”

               “ผู้คนบางส่วนในหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงยึดติดและภาคภูมิใจในสายเลือดบริสุทธิ์ของตัวเอง พวกเขาจึงไม่ค่อยต้อนรับคนธรรมดาสามัญชนสักเท่าไหร่นัก มิหนำซ้ำยังคอยปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ให้กับเด็กรุ่นใหม่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณอาเธอเรียถึงโดนกลั่นแกล้งตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ จนต้องหันมาฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวค่ะ”

               เด็กสาวร่างเพรียวบางเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนชี้แจงเหตุผลปิดท้าย อย่างไรก็ดีคำตอบที่ฮิคาริได้รับมาจากสองแม่มดสาวนั้นยังคงสร้างความเคลือบแคลงใจบางประการ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งข้อสังเกตโดยไม่รีรอช้า

               “ฝ… ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจนมีพละกำลังเหนือกว่าผู้ชายทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ฉันว่ามันผิดปกติเกินไปแล้วนะยะ ไม่เอะใจกันบ้างเลยรึไงว่ายัยนั่นอาจมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่?”

               “เอะใจสิคะ” โมนิก้าเผยสีหน้าคิ้วขมวดพอประมาณ “บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณอาเธอเรียมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง จนเธอสามารถใช้เวทมนตร์คาถาในระดับพื้นฐานได้ เพียงแต่ว่าพวกเราไม่ อาจล่วงรู้ถึงเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับตัวเธอมากพอนัก”

               “แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังมองเห็นถึงแก่นพลังที่แท้จริงของเธอได้แค่เพียงเลือนรางเท่านั้นค่ะ”

               สเตฟาเนียเอียงตัวโน้มใบหน้าเข้าใกล้ฮิคาริเกริ่นเสียงกระซิบกระซาบ วีรสตรีจอมดาบเวทเลยไม่อาจละสายตาไปจากอาเธอเรียได้อีก เธอทั้งรู้สึกชื่นชม หลงใหล และนึกอิจฉาริษยาในเวลาเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเด็กสาวจอมห้าวนั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไร้พรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์มาตั้งแต่กำเนิด ทว่ากลับมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผายิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก

               “รุ่นพี่ฮิคาริ ค่าพลังชีวิตเหลือแค่ 78 HP แล้วนะคะ เดี๋ยวก็โดนบอสตบตายหรอกค่ะ”

               “ว้าย!? โธ่เอ๊ยฉันไม่น่าหลงคุยกับพวกเธอเลย!”

               ฮิคาริถึงกับสะดุ้งลนลานทันทีหลังจากที่สเตฟาเนียทักท้วง เธอเหลือบสายตามองดูหน้าจอเกมกด แล้วพบว่าตัวละครอัศวินกำลังโดนปีศาจมังกรโจมตีใส่ด้วยเพลิงน้ำแข็งจนค่าพลังชีวิตใกล้ร่อยหรอลงเต็มที ก่อนจะเผยสีหน้าบึ้งตึงรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด ส่วนโมนิก้ากลั้นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ด้วยความชอบใจ

               ในขณะที่เลวอนยังคงฝึกซ้อมการต่อสู้กับอาเธอเรียอย่างทุลักทุเล อย่าว่าแต่หาโอกาสเพื่อสวนกลับเลย แค่พยายามโยกตัวหลบหลีกการโจมตีจากเธอให้พ้นทางได้ก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว

               ทว่าในท้ายที่สุด พ่อมดหนุ่มรูปงามตัดสินใจที่จะเข้าต่อสู้ เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากตนเอาแต่วิ่งหนีเพียงอย่างเดียว ฝึกฝนให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันเอาชนะศัตรูได้เป็นแน่แท้ เว้นเสียแต่จะต้องเอาชนะกำแพงแห่งความกลัว และความอ่อนแอที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตนเท่านั้น

               ปึ้ก…! ผัวะ!

               เลวอนยกสองแขนพลันสะบัดกำปั้นขวาของอาเธอเรียที่เหวี่ยงเข้ามาด้วยวิชามวยหวิงชุน มิได้เกรงกลัวเลยว่าเวทแห่งอัสนีเพลิงของอีกฝ่ายอาจแผดเผาร่างกายตนเอง ก่อนจะขยับฝีเท้างอศอกข้างถนัดพุ่งเข้าแทงใส่กลางอกคู่ฝึกซ้อมอย่างไม่ลังเล ใช้เทคนิควิชาลำนำสัประยุทธ์สายฟ้าหักล้างพลังเวทและพลังแห่งจิตของทั้งคู่ให้กลายเป็นศูนย์ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ

               น่าเสียดายที่เด็กสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มตั้งรับการโจมตีเอาไว้ทัน ด้วยมือซ้ายซึ่งยกขึ้นมาต้านทานศอกร่างสูงแกร่งเพียงข้างเดียวเท่านั้น เธอแสยะยิ้มหยุดการเคลื่อนไหวเพียงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้นด้วยความห้าวหาญ ราวกับกำลังสนุกสนานที่ได้เห็นเจ้าลูกแกะน้อยกำลังดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชนะตนเสียให้ได้

               “มีใจคิดอยากจะต่อสู้แล้วเหรอ แต่แรงศอกแค่นี้น่ะมันไม่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บเลยสักนิด!”

               “นั่นสินะครับ”

               เลวอนแย้มสรวลสู้ตาย รีบชักศอกขยับถอยออกห่างจากอาเธอเรีย ก้มศีรษะโน้มลำตัวลงไปโดยใช้ปลายเท้าขวาเป็นแกนหมุนศูนย์กลางคล้ายท่าตีลังกา เหวี่ยงให้ท่อนขาฝั่งซ้ายกระแทกใส่หัวไหล่ของยุวสตรีสุดแกร่งเสียงดังเปรี้ยง จนก่อกำเนิดกระแสไฟฟ้าระยิบระยับไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมทั้งลมกรรโชกรุนแรง

               ทว่าการโรมรันครั้งที่สองกลับไร้ผล อาเธอเรียพลันยกสองแขนขึ้นมาตั้งรับได้แบบทันท่วงที แต่การซัดใส่ด้วยลูกเตะนั้นมีความรุนแรงมากกว่าหมัดถึงสามเท่า เด็กสาวจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนที่ปะทะเข้ามา

               ถือเป็นครั้งแรกที่พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทสามารถมอบความเจ็บปวดให้แก่เธอได้ นับตั้งแต่การฝึกในช่วงสองสัปดาห์ จนถึงขนาดที่อาจารย์ผู้สอนสั่งยังต้องหลุดปากชมด้วยความภาคภูมิใจ

               “ให้มันได้แบบนี้สิเจ้าลูกแกะ!”

               อาเธอเรียนำสองแขนสะบัดขาซ้ายของอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง เลวอนถึงกับลำพองใจ ไม่ยอมเลิกราที่จะแสดงศักยภาพของตนให้ปรมาจารย์เห็นเป็นขวัญตาอีก เร่งตั้งหลักง้างมือขวาเตรียมชกใส่ด้วยวิชามวยจิทคุนโด้โดยการส่งพลังการเคลื่อนไหวจากเท้าสู่หมัด

               ช่วงวินาทีนั้นเองยุวสตรีผู้ปราดเปรียวได้อาศัยจังหวะนี้สไลด์ฝีเท้าหลบหลีกอย่างฉิวเฉียด เหวี่ยงแขนข้างถนัดย่อสองเข่าลงต่ำ ก่อนจะพุ่งอัปเปอร์คัตเล็งใส่กลางอกคู่ต่อสู้เป็นการปิดท้าย

               ——เปรี้ยง!!

               หารู้ไม่ว่าการกระทำโดยไม่ยั้งมือของเธอได้สร้างผลกระทบรุนแรงให้กับลูกศิษย์เข้าเสียแล้ว

               “ซ… ซวยล่ะ!”

               อาเธอเรียตื่นตระหนกต่อความพลาดพลั้งที่เกิดขึ้น หมัดอัสนีเพลิงได้กระแทกใส่เป้าหมายอย่างหนักหน่วงและแม่นยำ จนร่างของเลวอนกระเด็นลอยออกไปไกลจากจุดฝึกซ้อมถึงสิบเมตร เสียงกัมปนาทเมื่อสักครู่นี้ทำให้สเตฟาเนียกับฮิคาริจำต้องละสายตาออกจากเกมกด ยกเว้นโมนิก้าเท่านั้นที่คอยจับจ้องมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังเผยสีหน้าสะเทือนใจสุดขีดเมื่อได้เห็นคนรักของตนตกอยู่ในอันตราย

               แผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายปะทะลงยังพื้นดินที่เต็มไปด้วยผืนหญ้า ร่างกายและเสื้อผ้าที่สวมใส่ต่างสะบักสะบอม เนื่องจากได้รับผลกระทบด้วยเวทมนตร์เปลวเพลิงและสายฟ้า รวมถึงแรงโจมตีทางกายภาพ เขายกสองมือหนาขึ้นกุมกลางอกในท่านอนขดตัวหันข้างพลางชักเกร็ง หลับตาปี๋เปล่งเสียงร้องในลำคอระบายความเจ็บปวดออกมาอย่างแสนสาหัส

               แรงโจมตีครั้งนี้หาได้แตกต่างไปจากตอนที่สลาติก้าใช้ศอกซัดใส่ตนเลยแม้แต่น้อย

               “คุณเลวอน!/เลวอน!”

               โมนิก้า สเตฟาเนีย และฮิคาริ ต่างส่งเสียงเรียกขานอย่างพร้อมเพรียง รีบลุกขึ้นมุ่งตรงไปยังเลวอนอย่างร้อนรนใจทันที อาเธอเรียได้คลายวิชาลำนำสัประยุทธ์แล้วรุดหน้าตามไปดูอาการของบุรุษหนุ่มด้วยความหวั่นวิตกปนกระสับกระส่าย เมื่อถึงที่หมายพวกเธอจึงนั่งคุกเข่าเข้าพยุงร่างพลางเขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ โดยที่เด็กสาวจอมพลังเร่งกล่าวถ้อยคำสำนึกผิด

               “เฮ้ ฉันขอโทษ ก็นึกว่านายจะหลบพ้นซะอีก ทำใจดี ๆ เอาไว้!”

               “ด-เดี๋ยวฉันจะร่ายคาถาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้นะคะ!”

               โมนิก้าดึงไม้กายสิทธิ์ออกจากซอกถุงเท้าตรงบริเวณต้นขาฝั่งขวาขึ้นมาทั้งน้ำตาคลอ ทว่าไม่ทันที่ตนจะตวัดกวัดแกว่งเพื่อเนรมิตคาถาใด ๆ เลวอนก็ได้ละมือข้างถนัดจากกลางอกสัมผัสกับลำแขนเรียวบางคอยห้ามรั้งเธอไว้ ส่ายหน้าปฏิเสธไปมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าคลายความกระสับกระส่าย ดูเหมือนว่าเขาจะยังครองสติสัมปชัญญะได้อยู่

               “ม… ไม่เป็นไรแล้วครับ”

               “ไม่เป็นไรได้ยังไงกัน อย่าฝืนลุกขึ้นมาสิยะตาบ้า!”

               ฮิคาริตวาดใส่พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพัน ทั้งที่ตัวเธอเองก็นึกเป็นห่วงเป็นใยไม่แพ้กัน ในระหว่างนี้สเตฟาเนียได้กวาดสายตาสำรวจสภาพร่างกายของเลวอนอย่างถี่ถ้วนเพื่อวินิจฉัย ก่อนจะให้คำแนะนำแก่เขาด้วยสีหน้าราบเรียบตามปกติ แต่แฝงไว้ซึ่งความวิตกกังวลชัดเจน

               “ให้พวกเราพาไปส่งที่ห้องพยาบาล แล้วให้คุณหมอคอยตรวจดูอาการดีกว่านะคะ”

               “ไม่เป็นไรหรอกคุณสเตฟก้า เจ็บแค่นี้ยังพอทนไหว”

               เลวอนปฏิเสธความหวังดีจากแม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้ม พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับกำลังฝืนทนต่อความเจ็บปวดซึ่งเป็น ก่อนจะหันไปร้องขอต่ออาเธอเรียตามประสาเด็กหนุ่มผู้ที่ไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค

               “มาฝึกซ้อมกันต่อเถอะนะครับปรมาจารย์”

               “อ… โอ้ว มันต้องแบบนี้สิ ค่อยสมกับเป็นลูกผู้ชายหน่อย เดี๋ยวฉันช่วยพยุงนายขึ้นมาเอง”

               ยุวสตรีสุดแกร่งตอบอย่างกระตือรือร้น ภายในใจแอบรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ไม่รอช้าเธอจึงประคองตัวเพื่อให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนได้อย่างสะดวก

               ทันใดนั้นเองโมนิก้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดวงตาของเธอมองเห็นภาพนิมิตหมายบางอย่างซึ่งซ้อนทับกันระหว่างตัวเลวอนและอาเธอเรีย แต่เป็นอิริยาบถที่แตกต่างไปจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิงแม้จะเลือนราง นั่นคือมีแท่งเงามืดปริศนากลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นพสุธา แล้วเสียบทะลุร่างเพื่อนสาวของตนอย่างน่าสยดสยอง

               เนื่องจากสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันเลวร้าย โมนิก้าจึงแผดเสียงเตือนทันที

               “คุณอาเธอเรีย รีบถอยออกมาเร็วเข้า!”

               ——ครืนครืน สวบสวบสวบ!

               ผืนแผ่นดินที่อาเธอเรียเหยียบย่ำอยู่กลับกลายเป็นแท่งเสาเรียวยาวนับสิบอย่างน่าอัศจรรย์ โชคดีที่ไหวตัวทันเสียก่อน รีบสไลด์ฝีเท้าถอยหลังออกจากพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนราวสิบเมตรโดยพลัน ทางด้านสเตฟาเนียและฮิคาริเองก็ได้อุ้มร่างของโมนิก้า พาเธอถอยร่นออกห่างจากเขตพื้นที่อันตรายแห่งนี้ด้วยท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

               หากโมนิก้าเตือนช้าแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว อาเธอเรียคงอาจถึงคราวตายก็เป็นได้

               บุรุษหนุ่มซึ่งอยู่เบื้องหน้าเหล่าบรรดาเด็กสาวในตอนนี้ หาใช่เลวอนผู้มีนิสัยแสนสุภาพอีกต่อไปแล้ว ปลายเส้นผมอันบริสุทธิ์ดุจดั่งสีของหิมะได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม ดวงเนตรสีฟ้าน้ำทะเลภายใต้สายตาคมกริบคอยชำเลืองจ้องมองดูพวกเธออย่างดุดัน มิหนำซ้ำยังเผยฟันเขี้ยวซึ่งทั้งยาวและแหลมคมพร้อมที่จะขบกัดข้าศึกได้ทุกเมื่อ

               ชายผู้นี้คือ “วลาดที่สาม” เจ้าชายแห่งแคว้นวาลาเคีย หรือที่รู้จักกันในนามของราชันผีดูดเลือดนั่นเอง เขาส่งเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์เป็นการทักทาย เมื่อรู้ว่าการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ไม่ประสบผลสำเร็จ

               “ชิ พลาดไปงั้นเรอะ”

               “ว… วลาดที่สาม!”

               โมนิก้าถึงกับตาเบิกโพลงพร้อมทั้งตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ภาพความทรงจำตอนที่วลาดเข้ากัดซอกคอเธอนั้นได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ฮิคาริจึงนำร่างของแม่มดสาวนักพยากรณ์ลงยังพื้น ขยับก้าวเท้ายืนอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายในท่าเตรียมชักดาบคาตานะออกจากฝัก เพื่อปกป้องไม่ให้บุรุษแวมไพร์เข้ามาทำร้ายพวกพ้อง แล้วตามด้วยพูดจาถากถางใส่ศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง

               “เหอะ ยังอ่อนหัดอยู่นะเจ้าผีดูดเลือด นึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องมาไม้นี้”

               “โฮ่… รู้ได้อย่างไรกันว่าข้าแสร้งท่าทีเลียนแบบเจ้าเด็กหนุ่มนี่?”

               วิญญาณวีรชนแห่งโรมาเนียซักถาม มิได้เกรงกลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนกำลังรบที่มากกว่าตน สเตฟาเนียย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า ยืนอยู่เคียงข้างฮิคาริเพื่อช่วยปกป้องโมนิก้าด้วยอีกแรง แล้วยื่นแขนขวาออกไปด้านข้างเรียกหาไม้กวาดวิเศษที่วางอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกลมากนัก ให้กลับคืนสู่อุ้งมือตนดั่งใจนึก ก่อนจะเฉลยคำตอบให้แก่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

               “ถ้าหากเป็นคุณเลวอนจริง ๆ เขาจะไม่มีวันเรียกฉันว่า ‘คุณสเตฟก้า’ โดยเด็ดขาด”

               “และฉันเองก็จับจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนายได้อีกด้วย” อาเธอเรียเสริมคำอธิบายสั้น ๆ พลางยกมือขวายืนเท้าเอวอย่างไม่ยี่หระ โดยที่ตัวเธอไม่ได้รู้สึกสนใจหรือหวั่นสะพรึงกลัวต่อความน่าเกรงขามของวลาดเลยแม้แต่น้อย

               “โมนิก้า ยืนหลบอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าออกห่างจากพวกเราเด็ดขาด”

               ฮิคาริย้ำเตือนต่อมิตรสหายซึ่งยืนอยู่ทางเบื้องหลัง ทั้งที่สายตายังคงจ้องเขม็งเล็งไปยังข้าศึกอย่างไม่ลดละ โมนิก้ารีบขยับเข้าใกล้แผ่นหลังวีรสตรีจอมดาบเวทและแม่มดสาวนักปรุงยาทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคพวกออกคำสั่ง และไม่ลืมที่จะถือไม้กายสิทธิ์ทำหน้าที่สนับสนุนการโจมตีในระยะไกลด้วยเช่นกัน แม้จะยังคงรู้สึกสั่นสู้อยู่ก็ตาม

               วลาดที่สามส่งเสียงชอบใจ แล้วกล่าวชมเชยต่อเหล่าแม่มดสาวทั้งสี่โดยใช้ถ้อยคำถากถาง พลางสบสายตาเจาะจงไปยังอาเธอเรียเป็นกรณีพิเศษ หวังจะยั่วยุให้อีกฝ่ายเกิดแรงบันดาลโทสะขึ้นมา

               “ฮะฮะฮะ! ประสาทสัมผัสเฉียบคมดีนี่ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะสมองกล้ามเหมือนลิงกอริลลาเสียอีก”

               “พูดงี้ก็สวยสิ ถ้างั้นขอเอาคืนแกที่เล่นงานพวกฉันจนอ่วมเลยก็แล้วกัน!”

               เด็กสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มเหลืออดกับความเย่อหยิ่งของอริศัตรูเต็มทน ยกมือหักนิ้วดังกรอบทั้งสองข้างแสดงท่าทีพร้อมประจันหน้าได้ทุกเวลา รอยยิ้มที่เป็นมิตรได้เลือนหายไปจากใบหน้าอันสะสวยเสียแล้ว เหลือไว้แค่เพียงคิ้วหนาเข้มที่ขมวดย่น กับนัยน์ตาสีฟ้าซึ่งเพ่งเล็งฝ่ายตรงข้ามด้วยความเกรี้ยวกราด

               เพียงเพราะถ้อยคำเปรียบเปรยว่า “ลิงกอริลลา” ก็ทำให้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงเพียงนี้เลยทีเดียว

               บุรุษแห่งวาลาเคียหาได้น้อยหน้ายุวสตรีแกร่งผู้ห้าวหาญ เขาแสยะยิ้มแยกเขี้ยวราวกับผู้มีชัย ยกมือขวาขึ้นมาหักนิ้วชี้เสียงดังกรอบโดยไม่ได้ตั้งท่าเตรียมต่อสู้หรือตั้งรับใด ๆ อย่างมั่นอกมั่นใจ ก่อนจะประกาศกร้าวท้าทายใส่เหล่ายุวสตรีทั้งสี่

               “ดูท่าทางเจ้าจะเอ็นดูร่างสถิตข้าเป็นอย่างดีเสียทีเดียว ถ้าอยากจะประชันหมัดเท้ามากนัก ข้านี่แหละจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง… เอาล่ะมาเริ่มต้นฝึกสัปดาห์นรกด้วยกันเลยสิ นังสามัญชน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด