แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 84: ฝึกสัปดาห์นรกกับอาเธอเรีย

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 84: ฝึกสัปดาห์นรกกับอาเธอเรีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               ปึ้ก! ผัวะผัวะ!

               เสียงปะทะกันระหว่างหมัดและฝีเท้าดังขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางผืนหญ้าเขียวขจี ณ พื้นที่ทางทิศเหนือใกล้นอกเขตของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ห่างจากปราสาทสีขาวซึ่งตั้งเด่นสูงตระหง่านยังใจกลางราวห้ากิโลเมตร

               เลวอนมักใช้สถานที่แห่งนี้เป็นลานสนามฝึกซ้อมวิชาแขนงต่าง ๆ ทุกวัน และในขณะนี้เขากำลังร่ายรำวิชาศิลปะการต่อสู้ประชันกับผู้ฝึกสอนอย่างขะมักเขม้น ทว่าฝ่ายตรงข้ามหาใช่บุรุษเพศหรือมีร่างกายที่สูงแกร่งกำยำแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังต่อกรรับการรุกคืบจากตนได้ทุกกระบวนท่าเสียด้วย

               “อาเธอเรีย เรนนีเดย์” เด็กสาวคิ้วหนานัยน์ตาสีฟ้าวัยสิบหกปี เจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้ม กำลังทำหน้าที่เป็นผู้สอนสั่งวิชาศิลปะการต่อสู้ให้แก่ลูกศิษย์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอรวดเร็วและไหลลื่นประดุจกระแสน้ำ แต่แฝงไว้ซึ่งความหนักหน่วงไม่แพ้เหล่าชายฉกรรจ์ คอยสะบัดปัดป้องสวนกลับการจู่โจมของอีกฝ่ายอย่างชำนาญ

               ทั้งศาสตร์แห่งมวยไทย แปดปรมัตถ์ ไท่เก๊ก หวิงชุน ไอคิโด คราฟมากา บราซิลเลียนยิวยิตสู เทควันโด และปาร์กัวร์ ได้ถูกหยิบยกนำมาประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรูปแบบของตนเองในทุกสถานการณ์ โดยการออกอาวุธผ่านหมัด ฝ่ามือ ศอก หัวเข่า แขน ขา รวมถึงฝ่าเท้า ภายนอกดูเหมือนว่าเลวอนนั้นจะแสดงทักษะประชันกับอาเธอเรียได้อย่างสูสี แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอกำลังออมแรงให้เขาอยู่พอสมควร

               เลวอนอาศัยจังหวะตอนที่อาเธอเรียเหวี่ยงกำปั้นขวาเข้าหาตน ยกสองแขนขึ้นมาสะบัดปัดป้องไปยังทางด้านซ้ายตามหลักวิชามวยหวิงชุน สไลด์เท้าข้างถนัดไปข้างหน้าเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามหวังจะยกศอกขวาจู่โจมแต่ก็ไร้ผล เด็กสาวทำการหลบหลีกเพียงแค่พลิกหมุนลำตัวทวนเข็มนาฬิกา เอื้อมมือคว้าคอเสื้อกับใต้แขนของบุรุษหนุ่ม ใช้ส่วนสะโพกเป็นจุดศูนย์กลางรับน้ำหนักคู่ต่อสู้ แล้วยกเหวี่ยงร่างสูงโปร่งออกไปด้วยท่าจับทุ่มพื้นฐานหรือวิชายูโดทันที

               “อย่าเปิดช่องว่างสิ!”

               “เหวอ!?”

               พ่อมดหนุ่มร้องเสียงหลง ทั้งที่ร่างของตนลอยอยู่เหนือพสุธาด้วยความสูงประมาณสองเมตร และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับการถูกกระทำเช่นนี้ตลอดช่วงครึ่งเดือนของการฝึก เขารีบยื่นสองมือสัมผัสบนผืนหญ้าชะลอความเร็ว ม้วนพลิกตัวไปข้างหน้าให้กลับมาอยู่ในท่านั่งชันเข่าเพื่อเตรียมลุกขึ้นยืนตอบโต้

               “อึ๊ก!?”

               แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว วีรสตรีจอมพลังได้วิ่งกระโจนพุ่งเข้ามาจับล็อกต้นคอเลวอนด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมนำขาเรียวงามคู่นั้นรัดลำตัวร่างชายฉกรรจ์จากทางด้านหลัง ทำให้เขาเสียหลักล้มลงนอนทับอาเธอเรีย ไม่สามารถขัดขืนหรือสลัดตัวให้หลุดพ้นได้อีก ขอเพียงแค่เธอใส่แรงลงไปหน่อยก็สามารถดับลมหายใจคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่นาที

               “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าหันหลังให้กับศัตรูน่ะ!”

               “ป… ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ครับ!”

               เลวอนใช้มือขวาตีแขนอาเธอเรียนับครั้งไม่ถ้วน เร่งส่งสัญญาณประกาศขอยอมแพ้ก่อนที่ตนจะหมดสติลงเพราะขาดอากาศหายใจ เด็กสาว จึงผ่อนคลายแขนซึ่งรัดต้นคออีกฝ่ายอย่างหลวม ๆ โดยที่ทั้งสองคนยังคงอยู่ในท่าเดิม

               ในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนแล้วนี่ถือเป็นทั้งสวรรค์และนรกบนดินควบคู่กันไป หน้าอกขนาดใหญ่ของแม่มดสาวยอดนักสู้ กำลังสัมผัสกับแผ่นหลังตนแบบแนบชนิดสนิทกัน ทำให้เขาออกอาการประหม่าทันที อาเธอเรียสังเกตเห็นกิริยาท่าทีเขินอายของเลวอนก็ถึงกับยิ้มมุมปาก แอบกระซิบกระซาบพูดหยอกล้อข้างใบหูซ้ายอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

               “อะไรเนี่ย แม้แต่สาวทอมบอยอย่างฉันนายยังกล้าคิดเรื่องหื่น ๆ ได้ลงคออีกเหรอ?”

               “ป-เปล่านะครับ!” เลวอนรีบปฏิเสธอย่างลนลานทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ

               “ค-คุณอาเธอเรีย รีบปล่อยตัวคุณเลวอนก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเขาก็หมดสติเอาหรอก!”

               โมนิก้าที่กำลังนั่งพับเข่าบนผืนหญ้าคอยรับชมการฝึกซ้อมของเลวอนอยู่ห่าง ๆ โดยกอดผ้าคลุมจอมเวทสีดำซึ่งพ่อมดหนุ่มได้ฝากเอาไว้แก่เธอ ส่งเสียงทักท้วงพลางแสดงสีหน้าคิ้วขมวดด้วยความหึงหวงทันที เมื่อเห็นว่าอาเธอเรียยังไม่ยอมคลายพันธนาการให้แก่คู่ต่อสู้เสียที

               “ฉันล่ะเกลียดความโชคดีทางด้านลามกของเจ้าลูกแกะจริง ๆ …ว่าแต่เธอเถอะสเตฟาเนีย เมื่อไหร่จะถึงตาฉันสักทียะ ฉันเห็นเธอโดนปีศาจมังกรฆ่าตายมาสามสี่เกมแล้วนะ”

               ฮิคาริซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างโมนิก้าทางฝั่งซ้ายมือบ่นพึมพำอย่างเอือมระอา ก่อนจะหันไปกล่าวทักท้วงต่อสเตฟาเนียที่อยู่ทางด้านขวามือ อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาสนุกสนานกับเครื่องเล่นเกม Nintendo Switch สีดำ โดยไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งรอบข้าง พร้อมทั้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

               “ตายจริง ฉันก็นึกว่ารุ่นพี่ฮิคาริจะสนใจแค่การฝึกซ้อมของคุณเลวอนเพียงอย่างเดียวแล้วเสียอีก”

               “ย-ยัยบ้า พูดแบบนี้เดี๋ยวแม่ริบเกมคืนซะหรอก รีบส่งมาให้ฉันเล่นได้แล้ว อย่าแอบขี้โกง!”

               ฮิคาริเอ็ดใส่อีกฝ่ายอย่างตะลีตะลาน โมนิก้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอต่อท่าทีของอีกฝ่าย จนท้ายที่สุดแล้วแม่มดสาวนักปรุงยาก็ได้ส่ง Nintendo Switch คืนสู่มือเจ้าของโดยดุษณี แม้ว่าในใจจะแอบนึกเสียดายเพราะอยากเล่นต่อก็ตาม

               สเตฟาเนียและฮิคาริต่างนั่งรับชมการฝึกซ้อมของเลวอนมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว ภายหลังจากที่ทั้งคู่เดินทางไปยังบ้านพักของซามูไรสาวเพื่อสนทนาถึงเรื่องราวบางอย่าง เพราะพวกเธอยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กหนุ่มที่อาจถูกดวงวิญญาณของวลาดเข้ายึดครองร่างได้ทุกเมื่อ จึงตัดสินใจมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อเฝ้าดูเขา แต่ก็ไม่ลืมที่จะนำเอาอุปกรณ์ความบันเทิงมาผ่อนคลายในยามว่างด้วย

               ขณะเดียวกันอาเธอเรียได้คลายแขนและขาทั้งสองข้างออกจากร่างคู่ฝึกซ้อม เพื่อให้เลวอนลุกขึ้นยืนและช่วยพยุงตน จากนั้นจึงมุ่งหน้าเดินไปหยิบเครื่องดื่มเกลือแร่สองขวดซึ่งตั้งวางอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกลนัก วกย้อนกลับมาแล้วส่งมอบให้แก่เขาหนึ่งขวด ก่อนจะกล่าวประโยคสั้น ๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ

               “จะเอาชนะฉันได้มันยังเร็วไปสิบปีนะเจ้าหนู”

               “อ๊ะ ขอบคุณครับ”

               เลวอนรับเครื่องดื่มเกลือแร่จากอาเธอเรีย ทั้งคู่เปิดฝาแล้วยกขวดขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ เพื่อดับกระหาย หลังจากที่เขาและเธอจับคู่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ร่างกายต่างเปียกชุ่มชโลมไปด้วยเหงื่อ ทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของทั้งคู่ต่างแนบเนื้อจนมองเห็นผิวหนังจาง ๆ โดยเฉพาะชุดชั้นในสีม่วงของแม่มดสาวจอมห้าวที่ดูค่อนข้างดึงดูดสายตาพอสมควร

               เมื่อดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเธอเรียจึงเริ่มบทสนทนากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทีอย่างเป็นกันเอง

               “อยู่สู้กับฉันจนเกือบครบชั่วโมงแต่ยังยืนไหวแบบนี้ ก็นับว่าใช้ได้แล้วล่ะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกเพียงแค่สองอาทิตย์ ส่วนเรื่องการแก้ทางตอนถูกจับล็อกลงพื้นนี่ยังต้องเคี่ยวเข็ญกันอีกเยอะ”

               “อย่าว่าแต่ถูกจับล็อกเลยครับ แม้แต่กับศัตรูที่ใช้วิทยายุทธ์มวยจีนด้วยกันเองผมยังเอาตัวเกือบไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ว่าแล้วเชียวฝึกแค่สองอาทิตย์คงเอาไปใช้สู้จริง ๆ ไม่ไหวหรอก…”

               เลวอนกล่าวพึมพำอย่างผิดหวังปนคับแค้นใจต่อความอ่อนแอของตนเอง เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มได้ยินประโยคดังกล่าวจึงนึกสงสัย พลางใช้ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งเล็งไปยังบุรุษหนุ่ม แล้วซักถามเขาด้วยความกังขาทันที

               “หมายความว่าไงน่ะ?”

               “เย็นเมื่อวานซืนก่อนที่พวกคุณอาเธอเรียจะตามมาช่วยผมกับโมนิก้าในป่าทึบ ผมได้ต่อสู้กับเด็กสาวผมสีแดงคนนั้นด้วยวิชาศิลปะการป้องกันตัวครับ น่าแปลกใจมากที่เธอมีความสามารถทางด้านวิทยายุทธ์มวยจีน ทั้งวิชาหวิงชุน ไท่เก๊ก และแปดปรมัตถ์ แถมฝีมือยังร้ายกาจอีกด้วย เพราะงั้นผมก็เลย…”

               “ก็เลยใช้แค่วิชามวยจีนต่อสู้กับอีกฝ่ายเนี่ยนะ อยากตายนักรึไงเจ้าลูกแกะงี่เง่า!”

               อาเธอเรียพลันส่งเสียงตวาดใส่ ฮิคาริ โมนิก้า และสเตฟาเนีย ซึ่งนั่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกลมากนักถึงกับสะดุ้งตกใจ รีบหันมาจับจ้องมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เลวอนยืนก้มหน้าหลับตาปี๋ด้วยความหวั่นสะพรึง หาได้ปริปากโต้เถียงต่อเธอแต่อย่างใด เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าตนเองได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรลงไป

               ยุวสตรีผู้จอมห้าวฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนเผลอพูดจาขึ้นเสียงใส่ลูกศิษย์เข้าให้เสียแล้ว ซ้ำร้ายเลวอนเองก็เพิ่งจะประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อเย็นวานซืนที่ผ่านมานี่เอง เธอจึงพยายามสงบสติอารมณ์สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ก่อนจะเกริ่นตักเตือนเขาด้วยน้ำเสียงโทนปกติ

               “ฉันจะไม่ว่าอะไรนายเลยถ้าหากมันเป็นเพียงแค่กีฬาบนสังเวียน แต่นี่มันคือการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตจริง ๆ นายจะเอาศักดิ์ศรีแห่งความเป็นนักสู้ไปใช้กับศัตรูไม่ได้ ในสงครามน่ะมีเพียงแค่ผู้ล่าและผู้ที่ถูกฆ่าเท่านั้น ถ้านายยังไม่คิดที่จะรักชีวิตตัวเอง แล้วแบบนี้จะมีปัญญาไปปกป้องคนอื่นได้ยังไงกัน?”

               “ผมขอโทษครับ” คราวนี้เลวอนเผยน้ำเสียงสลดด้วยความสำนึกผิด

               “เอาเถอะ โชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้ ครั้งหน้าถ้าหากเจอกับยัยนั่นอีก ก็งัดเอาวิชาที่ฉันเคยสอนออกมาใช้ให้เต็มที่ซะเจ้าลูกศิษย์ อย่าทำให้ฉันเสียชื่อเด็ดขาดเชียว”

               อาเธอเรียยกมือขวาขึ้นมาลูบสางศีรษะเลวอนเพื่อปลอบโยน ที่ต้องดุเช่นนี้เป็นเพราะว่าเธอมีความห่วงใยต่อเด็กหนุ่มในฐานะที่ตนคืออาจารย์ผู้สอนสั่ง เพราะถ้าหากอีกฝ่ายเป็นอะไรไปเด็กสาวคงต้องรู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิต ที่ไม่อาจชี้นำให้เขามุ่งไปยังเส้นทางอันถูกต้องได้แน่แท้

               ฮิคาริถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าเรื่องราวในครั้งนี้จบลงด้วยดี ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นเกมของตนต่อ ในขณะที่สเตฟาเนียยังคงจับจ้องมองพ่อมดหนุ่มด้วยสีหน้าแววตาราบเรียบ แต่แฝงไว้ซึ่งความห่วงใยที่มีต่อเขา

               ส่วนโมนิก้าเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยออกมาจาง ๆ เพราะอย่างน้อยความกล้าหาญของเลวอนก็ได้ช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากภัยอันตรายในการต่อสู้กับพยัคฆ์ขาวเมื่อช่วงเย็นวานซืน

               “ยัยผู้หญิงผมแดงที่เอาแต่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของจอมมารไซตอนเมื่อวานซืนงั้นสินะ ที่นายบอกว่าเอาชนะไม่ได้ ฝีมือหล่อนร้ายกาจถึงขนาดทำให้ดวงวิญญาณของวลาดถูกปลุกขึ้นมาเลยเชียวเหรอ?”

               อาเธอเรียซักถามต่อเลวอนด้วยท่าทีสบาย ๆ ทว่าผู้ที่ให้คำตอบกลับเป็นโมนิก้าแทน แม่มดสาวร่างบางเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรีบชูแขนยกมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดในฐานะพยานปากเอกสำคัญดังนี้

               “เด็กคนนั้นนอกจากจะมีทักษะการต่อสู้เหมือนคุณเลวอนและคุณอาเธอเรียแล้ว เธอยังใช้เวทมนตร์ธาตุไฟบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วร่างกาย ช่วยเสริมพลังในการโจมตีได้โดยที่ไม่พึ่งพาคาถาเลยสักบทเดียว… ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเป็นลูกครึ่งเผ่าปีศาจด้วยนะคะ”

               ถ้อยคำสุดท้ายของโมนิก้าทำให้สเตฟาเนียถึงกับตาโตเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เด็กสาวผมสีแดงฉานคนนั้นซึ่งกล่าวถึงย่อมหนีไม่พ้น “สลาติก้า ซาวาดสกา” พี่สาวบุญธรรมผู้ตัดทิ้งความสัมพันธ์กับตนจนกลายมาเป็นศัตรูกันนั่นเอง

               ฮิคาริแอบชำเลืองมองแม่มดสาวผมสีส้มเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะให้ความสนใจกับ Nintendo Switch ที่อยู่ในอุ้งมือทั้งสองของตนตามเดิม

               “อย่างงี้นี่เอง ถึงแม้นายจะไม่ได้ทำตัวใจอ่อนยอมใช้แต่วิทยายุทธ์มวยจีนเข้าสู้ ก็คงไม่อาจเอาชนะศัตรูได้อยู่ดี เพราะอีกฝ่ายมีความสามารถที่โดดเด่นเกินไปงั้นสินะ… ก็พอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่ความอ่อนหัดของนายที่ดันทำตัวเสมอภาคเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างแฟร์ ๆ นี่แหละที่เป็นปัญหา ฉันคงปล่อยนายเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด”

               พูดจบอาเธอเรียจึงก้มลงวางเครื่องดื่มเกลือแร่ลงบนผืนหญ้า ลุกขึ้นขยับตัวตั้งท่าเตรียมจู่โจมด้วยวิชามวยปันจักสีลัตหรือท่าปาซังพื้นฐาน ยกสองมือตั้งการ์ดโดยยื่นแขนขวาไปยังเบื้องหน้า ค่อย ๆ เคลื่อนเท้าออกจากกันอย่างมั่นคง อันเป็นศิลปะการป้องกันตัวประจำชาติของประเทศอินโดนีเซีย

               ——เปรี๊ยะเปรี๊ยะ ชู่ว…!

               มิหนำซ้ำ แม่มดสาวจอมพลังยังพึมพำร่ายคาถา เนรมิตให้ทั่วร่างกายส่องสว่างด้วยประกายเพลิงพร้อมทั้งไฟฟ้าสถิต เพื่อเสริมพละกำลังในการออกศึก สร้างแรงกดดันและความหวั่นสะพรึงให้แก่คู่ฝึกซ้อมแบบฉับพลัน

               เลวอนเห็นท่าไม่ดีเนื่องจากสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์และพลังจิตที่เพิ่มพูนจากตัวเธอ จึงเร่งวางขวดน้ำลงบนพื้น ขยับฝีเท้ายกสองมือหนาตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีทันที โดยที่ไม่ต้องรอให้ครูผู้สอนออกคำสั่ง

               “เพราะงั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายจะต้องมาฝึกกับฉันทุกเช้าเย็น จนกว่าฝีมือของนายจะเก่งขึ้นสักประมาณสองในสิบส่วนของฉัน เอาล่ะรีบตั้งท่าเร็วเข้า สัปดาห์นรกแห่งการฝึกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

               “กึ๋ย!?”

               เลวอนถึงกับหวาดเสียวต่อคำประกาศกร้าวของอาเธอเรีย โดยเฉพาะคำว่า “สัปดาห์นรกแห่งการฝึก” เพราะเดิมทีการจับคู่ฝึกซ้อมกับเธอผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของตนนั้น ก็เรียกได้ว่าโหดแบบถึงพริกถึงขิงอยู่แล้ว

               ทั้งจับทุ่ม เตะต่อยทุบตี สกัดขา หรือแม้กระทั่งล็อกคอจากทางด้านหลัง ด้วยพละกำลังของสตรีผู้มาดห้าวที่เหนือกว่าเหล่าบรรดาบุรุษในหมู่บ้านแห่งนี้หลายขุม บุรุษหนุ่มจึงรู้ซึ้งถึงความทรมานจากการทำหน้าที่ประดุจกระสอบทรายซ้อมมือเป็นอย่างดี แค่คิดก็สยองพองเกล้าจับใจยิ่งนัก

               “แหม ดูเหมือนว่าคุณอาเธอเรียจะเริ่มเอาจริงเข้าแล้วล่ะค่ะ”

               “เฮ้ ๆ ขืนเป็นแบบนี้เดี๋ยวหมอนั่นก็ได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มกันพอดีน่ะสิ”

               “ท… ทั้งสองคน อย่าได้รุนแรงใส่กันจนถึงขั้นเลือดตกยางออกเลยนะคะ!”

               สเตฟาเนีย ฮิคาริ และโมนิก้า เกริ่นขึ้นตามลำดับ โดยที่แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าท่าทีแตกต่างกันไป

               แม่หมอนักปรุงยาแสนซนแอบตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากเธอไม่เคยเห็นอาเธอเรียเผยท่าทีสนุกสนานกับเพศตรงข้ามเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่วีรสตรีจอมดาบเวทเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เพราะการได้เห็นเลวอนถูกรังแกนั้นถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ทว่าสำหรับเด็กสาวนักพยากรณ์แล้วเธอกลับห่วงใยในความปลอดภัยของพ่อมดหนุ่มเสียมากกว่า

               “ก-ก็แล้วทำไมถึงต้องใช้วิชาลำนำสัประยุทธ์ด้วยล่ะครับ แถมเป็นธาตุไฟอีกต่างหาก!?”

               เลวอนส่งเสียงกังขาพลางสไลด์ฝีเท้าเว้นระยะห่างจากอาจารย์ผู้สอนสั่งทีละก้าว ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดหรือหวาดกลัวที่จะต้องต่อสู้ แต่พยายามหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการฝึกซ้อมจนส่งผลกระทบต่อเขี้ยวซึ่งฝังอยู่ในหัวใจ และอาจทำให้ดวงวิญญาณของวลาดถูกปลุกขึ้นมาจากภวังค์คอยไล่ทำร้ายพวกพ้องของตนต่างหาก

               ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนักที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มผู้ห้าวหาญรายนี้ ยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเลวอน ยังคงสืบเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างสุขุมราวกับกำลังไล่ต้อนเหยื่อให้จนมุม เธอในตอนนี้รู้สึกกระฉับกระเฉงและรื่นเริงไม่ต่างกับเปลวเพลิงซึ่งคอยลุกโชนปกคลุมไปทั่วเรือนร่าง อีกทั้งยังกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้นออกมาอย่างลำพองใจ

               “เพื่อให้นายเอาชนะกำแพงแห่งความกลัวยังไงล่ะ ถ้านายสามารถต้านทานฉันในโหมดกึ่งเอาจริงได้ ยัยผมแดงนั่นก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายอีกต่อไป… ไหน ๆ ก็เพิ่งคิดค้นวิชาลำนำสัประยุทธ์แบบใหม่ขึ้นมาได้แล้ว ถ้างั้นฉันขอลุยอย่างสุดกำลังล่ะนะเจ้าลูกศิษย์!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด