แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 79: ความลับของบุตรีแห่งไซตอน (2)

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 79: ความลับของบุตรีแห่งไซตอน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               กึก กึก…

               เสียงฝีเท้าของฮิคาริ ได้ปลุกให้สเตฟาเนียรู้สึกตัวจากห้วงแห่งภวังค์ ร่างของแม่มดสาวนัยน์ตาสีม่วงสะบักสะบอมและโชกเลือด เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกของมีคมฟาดฟันนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สตรีแห่งรากษสหยุดโจมตี หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมาเป็นเวลาพักหนึ่ง

               ภายในห้องเก็บของแห่งนี้ได้รับความเสียหาย กระจัดกระจายไปด้วยเศษกระดาษที่ลอยละล่องอยู่กลางอากาศราวกับถูกพายุลูกใหญ่ซัดกระหน่ำ แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านทางบานหน้าต่างทำให้สถานที่ปิดตายถูกคลายความมืดมิดลง สเตฟาเนียหลงลืมความทรมานเพียงชั่วขณะหลังจากรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต หรือสิ่งที่ตนเคยก่อเอาไว้เมื่อครั้งวันวาน

               “นั่นสินะ เดิมทีตัวเราเองก็ไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา เธอพูดถูกแล้วล่ะสลาติก้า…”

               สเตฟาเนียพึมพำน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ในระหว่างที่ยมทูตสีขาวกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า สภาพร่างกายของเธอบอบช้ำแสนสาหัสใกล้จะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ปราศจากเรี่ยวแรงต่อต้านพร้อมยอมรับความตายโดยดุษณี อีกแค่ไม่กี่อึดใจเดียวชีวิตของตนก็จะถึงคราวดับสูญแล้ว

               “มีอะไรอยากสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายไหม สเตฟาเนีย?”

               ฮิคาริซักถามพลางขยับสองฝีเท้าก้าวเข้าหาคู่ต่อสู้ จนกระทั่งอยู่ห่างจากเป้าหมายไม่เกินสองเมตร ก่อนจะนำปลายดาบคาตานะจ่อไปยังลำคอของศัตรูมองดูน่าหวาดเสียว

               “เลฟ ตัวฉันมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้วรึยังคะ…?”

               ทว่าคำขอที่ได้รับมานั้น กลับกลายเป็นประโยคที่สเตฟาเนียต้องการสื่อไปถึงเลวอนมากที่สุด อีกทั้งสายตาเหม่อลอยหาได้จ้องมองซามูไรสาวแต่อย่างใด แม่มดสาวในตอนนี้ไม่เหลือใครที่เข้าใจหรือยอมรับตนตัวที่แท้จริงของเธอได้อีก นอกจากเด็กหนุ่มคนนั้น อเล็กซานเดรีย และยาโรสลาฟ โดยทำได้แค่เพียงย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา

               “อย่าพูดอะไรน่าเศร้าแบบนั้นสิ ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเราดีเท่าตัวเราเองหรอกนะ สเตฟก้าก็คือสเตฟก้า ผมจะไม่มีวันมองเธอเปลี่ยนไปเพียงเพราะคำพูดลมปากของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”

               “เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่าเหมือนที่คนอื่นเขาพูดนินทากันสักหน่อย!”

               “จะว่าไปแล้ว ทำไมสเตฟก้าถึงต้องซ่อนสีของนัยน์ตาที่แท้จริงเอาไว้ด้วยล่ะ? ผมว่านัยน์ตาสีม่วงเหมาะกับใบหน้าเธอมากเลย แถมยังน่ารักชวนดึงดูดสายตาอีกด้วย”

               “สเตฟก้าเป็นคนใจดีและอ่อนโยนเหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ปกติเห็นปากร้ายอย่างนี้แต่ก็ชอบช่วยเหลือพวกพ้องอยู่เสมอ ถ้าไม่ได้เข้ามาสัมผัสด้วยตัวเองก็คงไม่มีทางรู้ได้เลย”

               “ถ้าจะให้ตอบแบบสั้น ๆ ล่ะก็ ในสายตาของผมแล้วเธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวน่ารักธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีนิสัยใจดีและชอบพูดจาตรงไปตรงมาเท่านั้น เพราะงั้นร่าเริงเข้าไว้นะ”

               “…!!”

               ทั้งภาพความทรงจำและถ้อยคำต่าง ๆ ซึ่งเคยได้รับมอบจากเลวอนนั้นคอยหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามา ทำให้สเตฟาเนียถึงกับน้ำตาคลอทันที ไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงต่อความหายนะ แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่อยากพลัดพรากแยกจากบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งเคยมอบความอบอุ่น และความหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหาก แม้นว่าตนจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของจอมมารผู้ชั่วช้าสามานย์ก็ตาม

               สตรีแห่งรากษสเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเมื่อได้เห็นท่าทีของสเตฟาเนีย คิดว่าอีกฝ่ายยังคงเสแสร้งทำตัวเป็นมนุษย์เพื่อเรียกคะแนนความสงสารเห็นใจ อีกทั้งแรงบันดาลโทสะอันเกิดจากการถูกดวงวิญญาณยักษ์ซึ่งสิงสู่อยู่เข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ อารมณ์อ่อนไหวและความเป็นมิตรภาพจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเธออีกต่อไป

               “จบสิ้นกันเสียที ขอรับหัวของหล่อนไปล่ะ!”

               ฮิคารินำสองมือบางกำด้ามจับดาบคาตานะให้กระชับแล้วตั้งง้างอาวุธขึ้นในท่าเตรียมฟาดฟันแนวระนาบ ส่งสายตาถมึงทึงจับจ้องไปยังต้นคอของสเตฟาเนียหมายจะปลิดชีพ พร้อมทั้งสลัดความสัมพันธ์ทิ้งไปอย่างไม่ไยดีภายในคมดาบเดียว

               เลฟ ถ้าหากเป็นไปได้ฉันก็อยากจะฟังถ้อยคำอันแสนอ่อนโยนจากปากคุณอีกสักครั้งจัง… เพราะงั้นได้โปรด ช่วยสอนให้ฉันรู้จักความหมายของการมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งทีเถอะ

               สเตฟาเนียนึกอาลัยอาวรณ์อยู่ภายในใจ ทั้งที่แม่มดสาวจอมดาบเวทกำลังจะแกว่งศัสตราวุธจู่โจมใส่เธอ แม้นจะเป็นเหตุการณ์เพียงแค่เสี้ยววินาที ทว่าความรู้สึกนั้นกลับล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งโดยรอบเคลื่อนไหวช้าลงอย่างน่าประหลาด

               ขณะเดียวกัน ภาพความทรงจำในอดีตของบุตรีแห่งไซตอนก็ได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

               ********************

 

               “คุณแม่คะ ท่านปู่ ได้โปรดช่วยบอกความจริงมาที ตกลงหนูเป็นตัวอะไรกันแน่…!?”

               เด็กสาวผมสีส้มวัยสิบสามปี ซักถามต่ออเล็กซานเดรียและยาโรสลาฟอย่างร้อนรนใจ ท่ามกลางป่าดงพงไพรอันเงียบสงัดในยามค่ำคืน โดยมีแสงสว่างจากกองไฟคอยปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภายหลังจากที่เธอลงมือปลิดชีพเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งสี่ซึ่งกำลังจะลงมือขืนใจตนก่อนหน้านี้

               ทั้งความหวาดกลัวและความรู้สึกสับสนในตนเอง ส่งผลทำให้สเตฟาเนียถึงกับตัวสั่นเทาทั้งน้ำตา เธอยังคงเสียขวัญต่อการกระทำเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ลงมือฆ่ามนุษย์ด้วยพลังลึกลับปริศนา ทักษะพิเศษซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากการร่ายเวทมนตร์คาถานั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปจะสามารถทำได้ หรือแม้แต่เหล่าบรรดาจอมเวทระดับชั้นพาลาดินเองก็ตาม

               “ไม่นึกเลยว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องมาพบเจอกับเรื่องราวร้าย ๆ พรรค์นี้ แถมยังแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่อีก แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่งั้นสินะ…”

               บุรุษหนุ่มใบหน้าคมคายผมหยักศกดำขลับผู้ทรงสง่าในชุดครุยจอมเวทสีกรมท่า หรือยาโรสลาฟ กล่าวพลางใช้ดวงตาสีนิลจับจ้องไปยังร่างไร้วิญญาณของเหล่าบรรดาโจรปล้นสวาททั้งสี่คน ซึ่งถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและนอนจมอยู่ในกองเลือด โดยอยู่ห่างจากจุดนี้เพียงแค่สามเมตร

               ถึงแม้ว่าตนจะเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างยาวนานจนเกือบชั่วอายุคน แต่ก็มิอาจทำใจให้ชินกับสภาพศพที่ถูกชำแหละอย่างน่าสยดสยองได้อยู่ดี

               อเล็กซานเดรีย หญิงม่ายเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีดำมันวาวกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลวัยสี่สิบเอ็ดปี ในชุดพื้นเมืองชาวสลาวิก ได้นั่งคุกเข่าเข้าสวมกอดสเตฟาเนียเพื่อปลอบประโลมให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง แล้วนำเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวมาปกคลุมเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของลูกสาวบุญธรรมให้เรียบร้อย

               ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเธอเองก็แอบหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อย หลังจากพบเห็นเด็กสาวกำลังตกอยู่ในสภาพแบบนั้น

               ต่อให้สุขภาพร่างกายของอเล็กซานเดรียจะย่ำแย่ลงเนื่องด้วยโรคต้องคำสาป แต่ก็ยังอุตสาหะฝืนตัวเองเพื่อออกตามหาสเตฟาเนียร่วมกับยาโรสลาฟหลังจากทราบข่าว เมื่อรู้ว่าลูกสาวไม่ได้ถูกล่วงเกินทางเพศมากไปกว่านั้นและยังคงรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ได้ เธอจึงรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

               สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือใช้การคำพูดปลอบโยน พร้อมทั้งสวมกอดลูบสางศีรษะอีกฝ่ายไปพลางด้วยความห่วงใย

               “ไม่เป็นไรนะสเตฟก้า ตอนนี้ลูกปลอดภัยแล้ว… เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เป็นเพราะศาสตราจารย์ยาโรสลาฟได้ร่ายคาถาระยะไกลเพื่อช่วยปกป้องลูกเอาไว้ต่างหาก ลูกก็แค่หวาดกลัวจนคิดมากไปเองเท่านั้น”

               “หนูไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนลงมือฆ่าพวกเขาหรอกนะคะ!” สเตฟาเนียส่งเสียงลั่นด้วยท่าทีตื่นตระหนก “หนูรู้สึกได้ถึงแรงสัมผัสที่คอยฉีกกระชากร่างของพวกเขา เหมือนกับว่าเงาพวกนั้นคือส่วนหนึ่งของร่างกาย…! ขอร้องล่ะท่านปู่ ช่วยเล่าความจริงออกมาเถอะว่าหนูเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเหมือนกับคนอื่น ๆ งั้นสินะคะ!?”

               นัยน์ตาสีส้มเพ่งเล็งไปยังบุรุษจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ หรือคนที่เธอเรียกขานเขาว่า “ท่านปู่” ด้วยความทุกข์ทรมานใจ ทั้งที่ใบหน้าอีกฝ่ายยังคงความเยาว์วัย ไม่ต่างไปจากชายฉกรรจ์วัยสามสิบปีตอนต้นเสียด้วยซ้ำ ยาโรสลาฟแสดงสีหน้าอันเคร่งขรึมพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วจึงตัดสินใจเล่าความจริงออกไปในท้ายที่สุด

               “เข้าใจถูกต้องแล้วสเตฟาเนีย เธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเด็กสาวที่เกิดจากแม่มดนักปรุงยา กับจอมมารผู้มีพลังเหนือกว่าเหล่านักรบพาลาดินและบรรดาภูตผีปีศาจทั้งปวง… เธอคือบุตรีแห่งไซตอน ลูกสาวของจอมมารผู้เป็นปรปักษ์ต่อเหล่ามวลมนุษยชาติ ศัตรูสุดแสนชั่วช้าของพวกเรา”

               สเตฟาเนียถึงกับตาเบิกโพลง สีหน้าท่าทีของตนแสดงให้เห็นถึงความสับสนและเคว้งคว้าง ร่างกายหนักอึ้งราวกับโดนก้อนหินกดทับอกเอาไว้และแน่นิ่งจนทำตัวไม่ถูก อเล็กซานเดรียจึงหันไปส่งเสียงทักท้วงต่อยาโรสลาฟ สลับกับจ้องมองลูกสาวผู้น่าสงสารอย่างตะลีตะลานทันที

               “ศ… ศาสตราจารย์ ไหนสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้สเตฟก้าฟังยังไงล่ะคะ!”

               “มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้โกหกสเตฟาเนียต่อไปก็คงเปล่าประโยชน์ สู้ให้หล่อนเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายยังดีกว่าต้องมานั่งฟังถ้อยคำหลอกลวงจากพวกเรานะ”

               บุรุษจอมเวทพาลาดินอธิบายเหตุผลสั้น ๆ ต่อหญิงม่าย ทั้งที่สายตาของเขายังคงจับจ้องมองเด็กสาวซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพความสิ้นหวังอย่างรุนแรง ก่อนที่สเตฟาเนียจะหันไปซักถามต่อแม่เลี้ยงเพื่อยืนยันในคำตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

               “น… นี่หนูเป็นลูกของจอมมารไซตอนงั้นเหรอ โกหกใช่ไหม ท่านปู่พูดโกหกหนูใช่ไหมคะคุณแม่…!?”

               อเล็กซานเดรียหาได้เกริ่นถ้อยคำใด ๆ ออกไป เธอกอดร่างลูกสาวบุญธรรมเอาไว้แน่น พร้อมทั้งสะอึกสะอื้นอย่างเศร้าสลดเนื่องจากรู้สึกผิดที่ต้องปิดบังความจริงมาโดยตลอด อย่างไรก็ดียาโรสลาฟยังคงตอกย้ำจิตใจของเด็กสาวอีกครั้งด้วยคำพูด เพื่อแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้แบกรับเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

               “ด้วยเกียรติของจอมเวทพาลาดิน ขอสาบานว่าสิ่งที่ฉันพูดออกมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง”

               เพียงสิ้นถ้อยคำของผู้นำหมู่บ้าน เด็กสาวเจ้าของเรือนผมกับนัยน์ตาสีส้มจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด รีบนำสองมือผละร่างอเล็กซานเดรียให้ออกห่างจากตน มุ่งปรี่ไปยังกองเลือดซึ่งเต็มไปด้วยเศษร่างเนื้อและโครงกระดูกของเหล่าชายฉกรรจ์ผู้นั้น แล้วคว้ามีดที่วางอยู่ขึ้นมาชี้ปลายคมจ่อกลางอกตนเพื่อเตรียมดับลมหายใจ

               “ถ้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าอัปยศอดสู หนูขอยอมตายเสียดีกว่า!”

               “สเตฟก้า!”

               อเล็กซานเดรียส่งเสียงร้องลั่นตื่นตระหนกสุดขีด รีบขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเข้าไปห้ามปรามไม่ให้ลูกสาวทำอัตวินิบาตกรรม ทว่าไม่ทันที่คมมีดจะทิ่มแทงลงยังกลางอกสเตฟาเนีย อาวุธในมือเธอก็พลันสลายกลายเป็นละอองแสงระยิบระยับไปเสียแล้ว ด้วยฝีมือของยาโรสลาฟเพียงแค่ถอนลมหายใจแผ่วเบา สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่สองแม่ลูกยิ่งนัก

               ในขณะที่เด็กสาวตกอยู่ในอาการตะลีตะลาน บุรุษในชุดครุยได้เร่งฝีเท้ามุ่งตรงเข้าไปหาแล้วทรุดตัวนั่งคุกเข่าลง ไม่ได้สนใจเลยว่าเสื้อคลุมที่เขาสวมใส่อยู่จะเปื้อนเลือดซึ่งเจิ่งนองบนพื้นดิน ก่อนจะยกมือขวาตบเข้าไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ

               เพียะ!

               “หยุดทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้สักทีเถอะ!”

               เป็นครั้งแรกในชีวิตที่สเตฟาเนียและอเล็กซานเดรีย ได้เห็นยาโรสลาฟผู้แสนสงบแสดงท่าทีดุดันออกมา แม่มดสาววัยสิบสามปีถึงกับแน่นิ่งตะลึงงันไปชั่วครู่ ยกมือซ้ายขึ้นกุมแก้มตนพลางหันหน้าสบสายตามองผู้นำหมู่บ้านอย่างหวั่นสะพรึง

               สาเหตุที่สเตฟาเนียต้องการจะลงมือปลิดชีพตนเองนั้น ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวต่อผลกรรมที่ได้กระทำไว้ต่อเหล่าโจรปล้นสวาททั้งสี่ หรือรู้สึกกังวลใจที่จะต้องถูกส่งตัวไปยังเรือนจำกลางมหาสมุทร ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังบรรดาอาชญากรพ่อมดแม่มดผู้ประพฤติผิด แต่เป็นเพราะเธอตระหนักดีว่าผู้คนในสังคมจอมเวทล้วนเกรงกลัวไซตอน ยิ่งเป็นลูกสาวของจอมมารด้วยแล้ว ก็คงไม่แคล้วที่จะต้องถูกพวกชาวบ้านรุมสาปแช่งด้วยความรังเกียจ

               ยาโรสลาฟอ่านความคิดของสเตฟาเนียออก เขาจึงยื่นมือขวาลูบสางศีรษะแม่มดสาว พร้อมทั้งเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย

               “ฟังนะสเตฟาเนีย การที่เธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขของจอมมารไซตอนนั้น ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องเป็นคนเลวทรามเหมือนอย่างพ่อของเธอเสมอไป มนุษย์เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินความดีความชั่วของคนอื่นได้เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกหลานของใคร แต่มันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและสภาพแวดล้อมรอบตัวต่างหาก

               ดูอย่างฉันกับอเล็กซานเดรียสิ เราสองคนต่างรู้ความจริงถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังรับเธอมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่อย่างไม่รังเกียจ และคิดว่าเธอเองก็เป็นลูกหลานคนสำคัญสำหรับพวกเรา มันไม่เกี่ยวกันหรอกว่าสเตฟาเนียจะเป็นลูกใคร พวกเราหวังแค่ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีก็เท่านั้นเอง หรือเธอคิดว่าความรักที่อเล็กซานเดรียมอบให้ในฐานะแม่คนหนึ่งจะเป็นของปลอมกันล่ะ?”

               สเตฟาเนียสะอึกสะอื้นด้วยความสำนึกผิด น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ไหลพรั่งพรูอาบสองแก้มทันที อเล็กซานเดรียรีบเข้ามาสวมกอดลูกสาวของตนเพื่อมอบไออุ่นโดยที่ใบหน้าสื่อให้เห็นถึงความเศร้าสลดชัดเจน ทำให้เด็กสาวไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์โศกศัลย์ได้อีกต่อไป

               “คุณแม่ ท่านปู่… หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษ!”

               “แม่ต่างหากล่ะ ขอโทษนะที่แม่ปิดบังความจริงลูกเอาไว้จนถึงตอนนี้…!”

               อเล็กซานเดรียกล่าวต่อสเตฟาเนียก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยโฮในที่สุด ยาโรสลาฟคอยทำหน้าที่ลูบสางศีรษะเพื่อปลอบโยนสองแม่ลูกต่อไปในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด ท่ามกลางป่าดงพงไพรในยามค่ำคืนภายใต้แสงไฟจากกองฟืน ที่คอยมอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้อย่างไม่ขาดสาย ทำลายบรรยากาศอันมืดมิดวังเวงแถบนี้ให้มลายจางหายไปจนเกือบหมดสิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด