แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) 92

Now you are reading แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) Chapter 92 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

               “เอ็ดเวิร์ด เราสองคนมาเป่ายิ้งฉุบกันอีกรอบไหม?”

               เลวอนเกริ่นข้อเสนอ แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าต่อให้ผลตัดสินจะออกมาแพ้หรือชนะก็ตาม สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบจากผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินอยู่ดี และเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาอย่างหนึ่งสำหรับผู้ชนะเท่านั้น ทว่าเด็กหนุ่มไฝใต้ตาซ้ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ หันไปสนทนากับยาโรสลาฟพลางยกมือขึ้นกุมอก แสร้งท่าทีทำเป็นเจ็บปวดรวดร้าวทางจิตใจ

               “ตอนนี้ผมรู้สึกหัวใจบอบช้ำเพราะคุณสเตฟาเนีย เพราะงั้นขออนุญาตสละสิทธิ์นะครับศาสตราจารย์~”

               และด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเอ็ดเวิร์ด ก็เล่นทำเอาเพื่อนร่วมชมรมอึ้งทึ่งไปพักใหญ่ สเตฟาเนียถึงกับถอนหายใจเอือมระอาทันที ทว่ายาโรสลาฟกลับมอบรอยยิ้มให้แก่ลูกศิษย์คนใหม่อย่างอ่อนโยนและไม่ถือสา

               “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นพักก่อนเถอะ”

               เหล่านักเรียนที่ได้ยินถ้อยคำอนุญาตจากปากของศาสตราจารย์ดังนั้นแอบรู้สึกฉงนใจอยู่ไม่น้อย ยกเว้นเลวอนเท่านั้นที่สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างในตัวเอ็ดเวิร์ดจากสีหน้าท่าทาง และรู้ได้ทันทีว่าเหตุใดยาโรสลาฟถึงไม่พูดจาคะยั้นคะยอต่ออีก

               “เอาตัวรอดจนได้นะขอรับ”

               “เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นสุด ๆ เลย”

               อิทสึกิ และวัตสันบ่นอุบอิบตามลำพัง ไม่ใช่เพราะอิจฉาที่เอ็ดเวิร์ดได้รับอภิสิทธิ์ชน แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อมดผู้อาวุโสต่างหากว่าทำไมถึงยอมยกเว้นให้แค่นักเรียนใหม่เพียงคนเดียว ทั้งที่สมาชิกในชมรมปราบมารทุกคนล้วนโดนพิษสงของอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์เล่นงานจนสะบักสะบอมกันถ้วนหน้าแท้ ๆ

               “เอาล่ะ เหลือแค่เธอแล้วนะเลวอน ออกมาสิ”

               ยาโรสลาฟเกริ่นเชิญชวนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าเลวอนกลับแย้มสรวลแห้ง ๆ อย่างหวาดหวั่น ในขณะที่สายตาของเหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร ล้วนจับจ้องมองมายังบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างตื่นเต้นและมีความหวัง พร้อมเคลือบแฝงถึงแรงกดดันราวกับเป็นการบังคับขู่เข็ญโดยนัยว่า “นายต้องออกไปนะ ไม่งั้นเจอดีแน่” ก็ไม่ปาน

               เลวอนถอนหายใจปลงตกและยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดี ก่อนจะหันไปพูดคุยกับเอ็ดเวิร์ดอย่างเป็นมิตร เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสูญเสียโอกาสนี้ไปโดยที่ไม่ลงมือทำอะไรเลย

               “ว่าแต่ไม่คิดจะลองสวมผ้าคลุมนั่นดูสักหน่อยเหรอ บางทีนายอาจมีโอกาสเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดินได้เลยนะ”

               “คนที่มีร่างกายบอบบางและอ่อนแออย่างผม คงไม่มีโอกาสได้เป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่หรอกครับ”

               เด็กหนุ่มหมวกฮู้ดหูแมวฉีกยิ้มอย่างโศกศัลย์ ยกมือขวาขึ้นมาทาบกลางอกพลางออกแรงที่ปลายนิ้วจิกลงไปเล็กน้อย หาได้เป็นการเสแสร้งเล่นละครไม่ เลวอน และสเตฟาเนียสังเกตท่าทีดังกล่าวจึงพอจะแจ้งใจได้โดยทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แม้นว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมเปิดปากบอกความลับของตนเองให้ใครรู้ก็ตาม

               เลวอนตัดสินใจลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้พับ แล้วหันหน้าสบสายตากับเอ็ดเวิร์ดด้วยแววตาและรอยยิ้มอันเศร้าสร้อย

               “ถ้างั้นผมเองก็เหมือนกันนั่นแหละ”

               “ก-โกหกน่า รุ่นพี่ดูท่าทางไม่เหมือนคนอ่อนแอเลยสักนิด ถ้างั้นแล้วทำไมถึงได้…?”

               “อยากจะถามว่า ‘แล้วทำไมถึงได้ลุกขึ้นมา’ งั้นสินะ”

               บุรุษจอมดาบเวทถอดผ้าคลุมสีดำของตนออกแล้ววางลงบนพำนักเก้าอี้ ปล่อยให้พ่อมดหนุ่มไฝใต้ตาซ้ายจับจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจไปสักพัก เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังหน้าชั้นเรียนอย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งทิ้งประโยคสุดท้ายมอบให้แก่รุ่นน้องหน้าใหม่ ในฐานะรุ่นพี่ผู้ซึ่งประสบกับชะตากรรมอันโหดร้ายเฉกเช่นเดียวกัน

               “ก็เพราะว่าผมมีทั้งความใฝ่ฝันและมีสิ่งที่ต้องปกป้องอยู่น่ะสิ”

               เพียงเท่านี้ก็ทำให้เอ็ดเวิร์ดถึงกับตาโตด้วยความประทับใจ ในขณะที่แผ่นหลังของเลวอนซึ่งค่อย ๆ ถอยห่างออกไปนั้นยังคงตราตรึงในสายตา สำหรับเขาแล้วถึงแม้จะเป็นเพียงถ้อยคำที่ใครหน้าไหนก็สามารถโอ้อวดได้ ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายกลับเคลือบแฝงไปด้วยความทรงพลัง และมีน้ำหนักมากพอที่จะประทับลงไปยังกลางดวงใจได้ลึกเสียทีเดียว

               เมื่อถึงเลวอนเดินมาจุดหมายปลายทาง ยาโรสลาฟจึงเริ่มต้นบทสนทนาสั้น ๆ เพื่อให้ลูกศิษย์ทำตัวผ่อนคลาย

               “ไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวฉันจะช่วยควบคุมสถานการณ์ให้เอง”

               “ข… ขอความกรุณาด้วยนะครับ แต่ก่อนอื่นผมขออนุญาตยืนทำใจสักสองสามนาทีจะได้รึเปล่าครับ?”

               พ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนยื่นข้อเสนอ ก่อนจะหันหน้าไปทางเหล่านักเรียนเพื่อนร่วมชมรมซึ่งกำลังนั่งรอชมสิ่งที่น่าสนใจอย่างกระตือรือร้น เขากลืนน้ำลายดังเอื้อกด้วยท่าทีประหม่า เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้ตนจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง และทนยืนหยัดอยู่ได้นานสักเพียงใด

               เมื่อกวาดสายตาไปยังสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร จึงพบว่าโมนิก้า สเตฟาเนีย ออเดรย์ อาเธอเรีย คลาร่า เวสน่า เซ็ทสึนะ อิทสึกิ และวัตสัน ได้ส่งมอบรอยยิ้มให้กำลังใจ ในขณะที่ฮิคาริเผยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการอะไร แต่อย่างน้อยก็ยังผงกศีรษะให้เลวอนได้รับรู้ว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอยู่ เลยช่วยให้เขาลดแรงกดดันตัวเองลงไปได้มาก

               ส่วนเอ็ดเวิร์ดได้เนรมิตภาพโฮโลแกรมขึ้นมาเพื่อเตรียมบันทึกวิดีโอ มิหนำซ้ำยังมีท่าทีที่ดูค่อนข้างตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร ๆ เลวอนเห็นดังนั้นจึงแอบหัวเราะในลำคออย่างไม่ถือสา

               ระหว่างนั้นเอง อัลเบิร์ต เบอร์นาร์ด และสลาโวมีร์ ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งประจำตัว ก้าวเท้ามาสมทบกับวัตสัน อิทสึกิ และอาเธอเรีย แล้วนั่งลงเคียงข้างเพื่อรับชมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม่มดสาวจอมพลังสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล รีบเอ่ยน้ำเสียงดุดันใส่สามหนุ่มจอมเกเรอย่างไม่รีรอช้า

               “มาหาเรื่องพวกเราถึงที่แบบนี้ ดูท่าทางพวกนายคงอยากเจ็บตัวมากเลยงั้นสินะ?”

               “ป-เปล่ามาหาเรื่องนะเฟ้ย!”

               “ม… ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งเลือดร้อนตอนนี้สิ”

               เจ้าเตี้ยกับเจ้าอ้วนสะดุ้งเฮือก พูดจาตะกุกตะกักอย่างลนลาน ทว่าไอ้แสบกลับมีอาการนิ่งสงบพร้อมทั้งแสยะยิ้มด้วยความจองหอง แล้วกล่าวข้อเสนอบางอย่างออกไป

               “ฉันเห็นว่าเจ้าทาวิเทียนจะสวมผ้าคลุมจอมเวทพาลาดิน ก็เลยนึกเรื่องสนุก ๆ ขึ้นมาได้ พวกเธอสามคนกล้าวางพนันกับพวกเรารึเปล่า ว่าหมอนั่นจะทนยืนได้นานเกินสามสิบวินาทีหรือไม่… แน่นอนทางฉันกล้าฟันธงได้เลยว่าหมอนั่นไม่มีทางทำสำเร็จชัวร์ เผลอ ๆ อาจจะล้มทั้งยืนด้วยซ้ำไป”

               “แล้วทำไมพวกข้าถึงต้องวางพนันกับพวกท่านด้วยล่ะขอรับ?” อิทสึกิซักถามอย่างกังขา

               “เห~ ไม่เชื่อใจในตัวเพื่อนสนิทเลยล่ะสิท่า ถึงไม่กล้าเดิมพัน” สลาโวมีร์กระแหนะกระแหน

               “หุบปากไปเลยไอ้เตี้ย” วัตสันเริ่มหลุดถ้อยคำสบถด้วยความเดือดดาล

               “แกนั่นแหละที่ต้องหุบปาก ลูกพี่เขาไม่ได้ถามความคิดเห็นจากแกสักหน่อย” เบอร์นาร์ดรีบสบโอกาสยอกย้อน

               “ฉันขอวางเงินเดิมพันห้าร้อยโครูนาเช็ก”

               อาเธอเรียรีบแทรกบทสนทนาเพื่อยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรถึงกับตะลึงพรึงเพริดต่อการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเธอ สลาโวมีร์กับเบอร์นาร์ดดีดนิ้วพลางผิวปากชอบใจ ส่วนอัลเบิร์ตปรบมือชมเชย ก่อนจะหันไปท้าทายวัตสันและอิทสึกิเพื่อยั่วยุอีกครั้ง

               “ว่ายังไงล่ะ อาเธอเรียยังทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชายมากกว่าพวกนายเสียอีก”

               “ยัยบ้านี่ ทำอะไรไม่ยอมปรึกษากันก่อนเลยนะ” พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาบ่นอุบอิบ

               “ข้ามีเงินติดตัวอยู่แค่สองร้อยโครูนาเช็กเองนะขอรับ” บุรุษเทพสุนัขหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานับเงินอย่างลนลาน

               “แล้วจะปล่อยให้เลวอนโดนคนอื่นดูถูกศักดิ์ศรีแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ น่ะเหรอ?” เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าคิ้วขมวด “ถ้าหากพวกนายสองคนโดนใครที่ไหนก็ไม่รู้มาพูดจาดูถูกใส่แบบนี้บ้าง ฉันมั่นใจได้เลยว่าหมอนั่นจะต้องทำแบบเดียวกันเหมือนอย่างที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้แน่… ถ้าไม่เชื่อมั่นในความพยายามของหมอนั่นก็เรื่องของพวกนายเลย ฉันจะจ่ายในส่วนที่เหลือให้เอง”

               วัตสันและอิทสึกิไม่อาจสรรหาถ้อยคำอื่นใดมาโต้แย้งอาเธอเรียได้อีก มิหนำซ้ำยังรู้สึกผิดต่อเธอและเลวอนพอสมควร ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงตัดสินใจรับคำท้าจากไอ้แสบและพรรคพวกอย่างไม่เกรงกลัว

               “เอาวะ ถึงจะแพ้พนัน แต่ศักดิ์ศรีของคนไม่เคยแพ้เฟ้ย…! ฉันขอวางเงินเดิมพันห้าร้อยโครูนาเช็ก!”

               “ข้าเองก็ขอวางเดิมพันด้วยคนขอรับ!”

               “มันต้องอย่างงี้สิ!”

               อาเธอเรียกล่าวชมเชย อัลเบิร์ต เบอร์นาร์ด และสลาโวมีร์หาได้สะทกสะท้านต่อท่าทีของพวกเธอพลางยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนที่ทุกคนจะหันสายตาไปยังหน้าชั้นเรียน หรือจุดที่เลวอนกับยาโรสลาฟกำลังยืนอยู่ เพื่อเป็นสักขีพยานร่วมกันต่อเหตุการณ์ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ขณะเดียวกันเอ็ดเวิร์ดได้ซักถามโมนิก้าเพื่อขอข้อมูลบางอย่างจากเธอ

               “คุณโมนิก้า ช่วยบอกอายุ ส่วนสูง น้ำหนัก กรุ๊ปเลือด แล้วก็เชื้อชาติกับสัญชาติของรุ่นพี่เลวอนให้ผมทีสิครับ”

               “อายุ 17 ปี สูง 180 เซนติเมตร หนัก 55 กิโลกรัม กรุ๊ปเลือด B เชื้อชาติรัสเซียนยิว สัญชาติอาร์มีเนียค่ะ”

               ทันทีที่ได้รับคำตอบจากแม่มดสาวนักพยากรณ์ พ่อมดหนุ่มผมสีม่วงอ่อนก็พลันเนรมิตภาพโฮโลแกรมขึ้นมา โดยระบุเนื้อหาเกี่ยวกับชีวประวัติของเลวอนพอสังเขป คลาร่าตั้งข้อสังเกตบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปซักถามโมนิก้าด้วยความฉงนใจ

               “คุณโมนิก้าความจำดีจังเลย ไม่ทราบว่าได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหนกันคะ”

               “ฉันใช้วิธีสืบข้อมูลโดยใช้ลูกแก้ววิเศษน่ะค่ะ…” เธออธิบายพลางยกอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมาแสดงให้เห็น “จริง ๆ แล้วความสามารถของฉันกับของคุณเอ็ดเวิร์ดนั้นคล้ายคลึงกันมาก เนื่องจากใช้หลักการวิเคราะห์เหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบการใช้งานของเขาจะมีความสะดวกทันสมัยกว่า และไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ค่ะ”

               “แต่ถึงขนาดบอกรายละเอียดได้เป็นฉาก ๆ แบบนี้ นี่เธอเป็นสตอล์กเกอร์รึไงเนี่ย?” ฮิคาริเกริ่นแซว

               “อ-เอ๊ะ!? ไม่ใช่นะคะ!”

               เด็กสาวร่างบางตาสีฟ้ารีบปฏิเสธลนลาน เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรจึงพากันหัวเราะชอบใจ

               ทางด้านเลวอน เขาได้ยืนตั้งสมาธิโดยการสูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกเต็มปอด ก่อนจะกล่าวกับอาจารย์ผู้สอนสั่งด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง บัดนี้ถึงเวลาที่เด็กหนุ่มต้องเข้ารับบททดสอบสุดหฤโหดแล้ว

               “ศาสตราจารย์ ผมพร้อมแล้วครับ”

               “อืม ถ้างั้นจะเริ่มล่ะนะ”

               ยาโรสลาฟหยิบอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์สีกรมท่าขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน กางผ้าคลุมออกกว้าง แล้วสวมคลุมไหล่เด็กหนุ่มให้เรียบร้อย สิ่งแรกที่เลวอนสัมผัสได้คือความนุ่มสลวยแวววาวจากเนื้อผ้ากำมะหยี่ แม้จะมีความหนาในระดับหนึ่งและถูกถักทอเป็นแผ่นสองชั้น แต่กลับไม่รู้สึกร้อนหรืออึดอัดแต่อย่างใดเลย

               ——ครึ่ก ตึ้ง!!

               เวลาผ่านไปไม่ถึงสี่วินาที พื้นระเบียงใต้เบื้องเท้าของเลวอนพลันทรุดตัวแตกเป็นรอยร้าวขึ้นมาทันใด ภายในห้องเรียนแห่งนี้สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานส่องกะพริบ อีกทั้งสิ่งของต่าง ๆ เริ่มกระจัดกระจาย ราวกับว่ากำลังเกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็มิปาน

               เหล่าพ่อมดแม่มดวัยใสซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พับแบบเรียงแถวรู้สึกสั่นโงนเงน ไม่อาจทรงตัวได้ตามปกติ แทบไม่ต่างจากตัวตุ๊กตาในบ้านของเล่นที่กำลังโดนใครสักคนเขย่าไปมา ทุกคนต่างส่งเสียงด้วยความหวาดผวาพยายามหาที่ยึดเกาะให้มั่นคง ในขณะที่อาเธอเรีย สเตฟาเนีย อัลเบิร์ต ฮิคาริ เซ็ทสึนะ และออเดรย์ ดูไม่ค่อยตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้สักเท่าไหร่นัก

               ยกเว้นยาโรสลาฟเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในอาการนิ่งสงบ ไม่มีวี่แววสั่นสะท้านหรือหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

               “ร… เริ่มแล้วสินะคะ!”

               “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย ที่นี่เคยมีแผ่นดินไหวด้วยเหรอ!?”

               “ไม่ใช่ขอรับ ปรากฏการณ์นี้ต้นเหตุมาจากท่านเลวอนเองต่างหาก!”

               “คุณเลวอน…!”

               “พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย!”

               คลาร่า วัตสัน อิทสึกิ โมนิก้า และเวสน่า กล่าวอุทานตามลำดับด้วยสีหน้าท่าทีกระสับกระส่าย

               “อั๊ก… อ๊ากกกก!!”

               บุรุษวัยเยาว์เจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนรู้สึกเจ็บแปลบกลางหน้าอกแบบฉับพลัน รีบยกมือขวาขึ้นกุมบริเวณดังกล่าวพร้อมด้วยใบหน้าคิ้วขมวด สื่อให้เห็นถึงความรวดร้าวแสนสาหัสชัดเจน ร่างกายของเขารับรู้ได้ถึงแรงกดทับมหาศาลที่กำลังบดขยี้ลงมา ราวกับจะถูกฉีกกระชากให้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ เสียเดี๋ยวนี้

               “ห-เหอะ! อะไรกัน ท่าทางทรมานน่าดูเลยนี่หว่า!” อัลเบิร์ตพูดจากระแหนะกระแหน ทั้งที่สั่นโงนเงนจนแทบเวียนหัว

               “นี่มันใช่เวลามาพูดจาถากถางกันไหมเนี่ย อาการป่วยของเลวอนกำลังกำเริบอยู่นะ!” อาเธอเรียเริ่มเดือดดาล

               “ล… เลวอน ทาวิเทียน ผลการเรียนเกรดเฉลี่ย 3.62 พลังเวทมนตร์แรงค์ A ความสามารถทางกายภาพแรงค์ C ความรู้พื้นฐานแรงค์ A ความรู้วิชาการเกี่ยวกับเวทมนตร์แรงค์ A ความสามารถในการใช้อาวุธแรงค์ B ความชำนาญแรงค์ B ความคล่องตัวแรงค์ C ความต้านทานผิดปกติแรงค์ A และโชคแรงค์ A… ค่าความสามารถยังไม่เปลี่ยนแปลง!”

               เอ็ดเวิร์ดพยายามอ่านข้อมูลบนภาพโฮโลแกรม ทั้งที่ทุกสรรพสิ่งโดยรอบสั่นไหวจนยากจะเพ่งเล็งตัวหนังสือได้สะดวก วัตสันถึงกับเอ่ยปากชมเชยรุ่นน้อง แม้ว่ารู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะเอื้อมมือเข้าไปตบกบาลอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ก็ตาม

               “ส… สถานการณ์แบบนี้ยังทำตัวใจเย็นได้อีก ฉันล่ะนับถือแกจริง ๆ เอ็ดเวิร์ด!”

               สเตฟาเนียทอดสายตามองดูเลวอนอย่างเป็นห่วง ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายเกินจะรับมือไหว เด็กสาวอดกังวลใจไม่ได้เลยว่าเขาอาจต้องได้รับอันตรายร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตหรือไม่อย่างไร และดูเหมือนว่าความรุนแรงที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่นั้นน่าจะหนักหนาสาหัสมากกว่าเธอหลายเท่าตัว เลยตัดสินใจเตรียมลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อลงมือทำอะไรสักอย่าง

               ต้องรีบเข้าไปช่วยเลฟตอนนี้ ไม่งั้นเขาคง…!

               “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละสเตฟาเนีย”

               ยาโรสลาฟส่งเสียงห้ามปรามทันควัน สเตฟาเนียชะงักฝีเท้าเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเสียหลักล้มลงไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม พร้อมทั้งกล่าวทักท้วงด้วยความร้อนรนใจ ทว่าคราวนี้เธอกลับไม่สนใจคำสรรพนามที่ใช้ในฐานะครูกับนักเรียนอีกต่อไปแล้ว

               “ท-ท่านปู่ ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เดี๋ยวเลฟเขาก็ตายหรอก!”

               “เธอคิดจะทำลายความตั้งใจของเลวอนรึไง อย่าดูถูกสายเลือดของพวกเรานักสิ”

               ด้วยถ้อยคำปริศนาดังกล่าวของพ่อมดจอมขมังเวท ทำให้แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มรู้สึกคลางแคลงใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้แค่เพียงกำหมัดแน่นและทนดูเลวอนกำลังทุรนทุราย ด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานใจเท่านั้น

               ทั้งรุ่นพี่เลวอนก็ดี รุ่นพี่สเตฟาเนียก็ดี ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟกำลังแอบทดลองอะไรสองคนนี้อยู่รึเปล่านะ…!

               โดยเฉพาะเซ็ทสึนะซึ่งแอบนึกกังขาและสงสัยในตัวเขา เธอสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะรีบยุติการทดลองสวมผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินโดยทันที แต่กลับปล่อยให้พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนเผชิญกับความรุนแรงต่อไป ราวกับว่ากำลังคาดหวังถึงผลลัพธ์อะไรบางอย่าง

               ความแหลมคมของเขี้ยวแวมไพร์ซึ่งฝังอยู่ภายในหัวใจได้จิกเข้าเนื้อ ทำให้เลวอนแทบคลั่งจนเกือบจะล้มทั้งยืน ทั้งสองขาสั่นระริกพยายามต้านแรงกดทับซึ่งบดลงมาอย่างสุดพละกำลัง แต่เขายังคงพยายามประคองสติสัมปชัญญะ หวังจะเอาชนะอุปสรรคในครั้งนี้ให้ได้แม้ว่าตัวตายก็ยอม

               ในขณะที่เวลาเพิ่งผ่านพ้นไปได้แค่เพียงสามสิบวินาที ทว่าความรู้สึกของเลวอนนั้นกลับเป็นครึ่งนาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิต เขาเริ่มสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นที่พึ่งสุดท้าย เพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้ พลางนำสองมือกำจี้สร้อยคอไม้กางเขนไว้แน่นเพื่อคงสติเอาไว้ให้มั่น จนกลายเป็นรอยแดงบนฝ่ามือชัดเจน

               “เพราะเหตุใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกเหมือนกับเจ้า!”

               แทนที่จะเป็นสุรเสียงจากพระผู้เป็นเจ้าดังก้องขึ้นภายในหัว ทว่าเจ้าชายแห่งวาลาเคียหรือ “วลาดที่สาม” ในฐานะดวงวิญญาณผู้สิงสถิตร่างกลับเป็นฝ่ายตอบกลับเสียเอง โดยมีเพียงแค่เลวอนเท่านั้นที่สามารถได้ยินและติดต่อสื่อสารได้ในเวลานี้ บุรุษรูปงามไม่มีสมาธิมากพอที่จะสนทนากับอีกฝ่ายผ่านทางกระแสจิต จึงตัดสินใจพูดปากเปล่าออกมาโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น

               “ย… อย่าเข้ามารบกวนสมาธิผมตอนนี้จะได้ไหม!?”

               “ยังจะเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่อีกเรอะ เลิกฝืนตัวเองแล้วรีบสลับร่างให้ข้าเป็นคนจัดการแทนดีกว่า ตัวข้าน่ะเหมาะสมที่จะเป็นจอมเวทพาลาดินมากกว่าเจ้าเสียอีก!”

               “นี่มันเป็นปัญหาของผม ผมต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของคนอื่น!”

               “นี่ก็ถือเป็นปัญหาของข้าเหมือนกัน ถ้าหากเจ้าตายไป แล้วข้าจะใช้ร่างสถิตของเจ้าแก้แค้นไซตอนได้อย่างไรกัน!?”

               “ไปหาร่างสถิตคนใหม่แทนซะสิ ร่างกายของผมมันอ่อนแอไม่ใช่เหรอ! อีกอย่างผมจะไม่ยอมให้คุณใช้ร่างของผมเพื่อทำเรื่องตามอำเภอใจอีกเด็ดขาด!”

               “ไอ้เด็กงี่เง่าเอ๊ย เจ้าคิดว่าที่ข้าทำลงไปก็เพราะว่าอยากทำมากนักรึยังไง!?”

               วลาดแผดเสียง เลวอนถึงกับสะดุ้งเฮือกตาโตเจ็บแปลบไปทั้งศีรษะ โดยไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาโต้ตอบได้ทันควัน ไม่นานนักราชันผีดูดเลือดก็ได้เกริ่นอธิบายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

               “พูดเหมือนกับว่าถ้าเจ้าตายไป ดวงวิญญาณข้าก็คงหลุดพ้นจากคำสาป แล้วกลับไปยังมาตุภูมิได้อย่างสงบสุขอย่างนั้นแหละ คิดว่าการแก้คำสาปหรือการหาร่างสถิตใหม่มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้นเชียวเรอะ? เขี้ยวของข้ามันฝังอยู่ในหัวใจเจ้าอยู่นะ ไอ้หัวถั่วงอกสมองทึบ!”

               “อ… ไอ้หัวถั่วงอก!?” พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนแอบรู้สึกเจ็บปวดต่อถ้อยคำสบถล้อเลียนไม่ใช่น้อย

               “ถ้าเจ้าอยากตายมากนักข้าก็จะไม่สอดปากมากความอีก แต่จงจำคำพูดข้าเอาไว้ให้ดี ถ้าหากเจ้าตายไป คนที่จะต้องเสียใจมากที่สุดก็คือคนที่รักและห่วงใยเจ้า เท่ากับว่าเจ้าทอดทิ้งพวกเขาและวิ่งหนีไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง… ทั้งเจ้าและข้าล้วนยังมีสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย หรือว่าเจ้าอยากจะมีจุดจบสุดแสนอนาถเหมือนกับข้ากันล่ะ!?”

               “แล้วจะให้ผมทำยังไง ต้องให้ผมยอมรับในตัวคุณอย่างงั้นน่ะเหรอ!?”

               เลวอนรีบซักถามยอกย้อน ทว่าวลาดได้สวนคำพูดกลับมาแบบฉับพลันโดยไม่สะทกสะท้านใจใด ๆ

               “สามหาว ข้าไม่เคยขอให้เจ้ายอมรับในตัวข้าเลยสักครั้ง เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อใจข้า เพราะข้าเองก็เคยทำเรื่องโหดร้ายกับผู้คนมามาก สมัยก่อนข้าเคยเย่อหยิ่งในความเก่งกาจของตน จนทำให้เหล่าศัตรูต่างหวาดกลัว แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้แคว้นวาลาเคียของข้ารอดพ้นจากการถูกทำลายแม้นว่าจะชนะในสงครามก็ตาม เจ้าก็รู้นี่ว่าในอดีตข้าเคยประสบกับอะไรมาบ้าง?”

               พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทอ้ำอึ้ง แน่นอนว่าเรื่องราวชีวประวัติของราชานักเสียบนั้นเป็นที่กล่าวขานกันมากในทวีปยุโรป ทั้งในเรื่องการถูกจับตัวเป็นเชลยภายใต้จักรวรรดิออตโตมันในช่วงวัยเยาว์ พระราชบิดาและพระเชษฐาถูกพวกขุนนางภายใต้สังกัดฮังการีปลงพระชนม์ หรือแม้กระทั่งถูกกองทัพต่างแดนส่งทหารเข้ามารุกรานแคว้นวาลาเคีย ไม่มีทางที่เลยตนจะไม่รู้

               ช่วงเวลาตลอดห้าร้อยกว่าปีที่วลาดเคยประสบพบเจอมา เมื่อเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดของเลวอนแล้ว ก็นับได้ว่ามีเหตุผลมากพอที่จะทำให้บุรุษแวมไพร์กลายเป็นบุคคลผู้มีนิสัยโหดร้ายและเผด็จการ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าความรักที่เขามีให้ต่อประชาชนในแคว้นวาลาเคีย รวมถึงความศรัทธาในคริสต์ศาสนานั้นเป็นของจริง

               วลาดสาธยายตัดพ้อตนเองสั้น ๆ ให้เจ้าของร่างสถิตสดับรับฟังอีกครั้ง

               “ปกป้องผู้คนในแคว้นตนเองไม่สำเร็จ แถมยังต้องเสียท่าให้กับคำสาปอันน่ารังเกียจจากไซตอนอีก น่าขำดีใช่ไหมล่ะ?”

               “ตอนที่ทุกอย่างจบสิ้นลง คุณเคยนึกเสียใจบ้างไหม?”

               “จนถึงทุกวันนี้ ข้าไม่เคยลืมความอัปยศในครั้งนั้นได้ลงเลยสักครั้ง”

               “ถ้างั้นคุณก็มาช่วยพวกเราปกป้องทุกคนในหมู่บ้านนี้ซะสิ!”

               “อะไรนะ!?”

               “ผมจะไม่ห้ามเรื่องการแก้แค้นของคุณหรอกนะ เพราะจอมมารไซตอนคือตัวต้นเหตุที่ทำให้ทั้งคุณและผมต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ขอเพียงอย่างเดียว อย่าให้ผู้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนจากการกระทำของคุณอีกเลย…! อีกอย่างนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของคุณ แต่มันเป็นปัญหาของพวกเรา ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ วลาดิสลาฟ ดรากูลา!”

               ดูเหมือนเจ้าชายแห่งวาลาเคียจะเป็นฝ่ายตะลึงพรึงเพริดบ้างแล้ว เขาชะงักบทสนทนาสักครู่ก่อนจะเกริ่นขึ้นอีกครั้ง

               “แล้วทำไมข้าต้องช่วยเจ้าปกป้องผู้คนในหมู่บ้านนี้ด้วย!?”

               “ก… กษัตริย์ดำรงอยู่ได้เพราะประชาชน ไม่เคยได้ยินคำนี้เหรอครับ องค์ราชา”

               เลวอนเผยรอยยิ้มมุมปากทั้งที่ตนเองรู้สึกเจ็บแปลบกลางหน้าอกจนแทบเจียนตาย น้ำเสียงฟังดูแผ่วเบาลง เรี่ยวแรงที่มีอยู่ก็เริ่มอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มยังคงใจแข็งและพูดคุยกับวิญญาณวีรชนต่อไปด้วยความมุ่งมั่น

               “ผ… ผมขอสัญญาในนามพระบิดา ถ้าหากโค่นล้มจอมมารไซตอนได้สำเร็จ สักวันหนึ่งผมจะพาคุณกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดเอง… เพราะงั้นขอร้องล่ะ ให้ผมได้ช่วยเติมเต็มความปรารถนาในใจคุณด้วยเถอะ… เชื่อผมสิ ถ้าหากว่าคุณสามารถปกป้องพวกเขาและช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้ได้ล่ะก็ ชีวิตของคุณจะต้องมีความหมายมากขึ้นอย่างแน่นอน…”

               “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าขอยอมรับในความตั้งใจของเจ้า เลวอน ทาวิเทียน!”

               เจ้าชายแห่งวาลาเคียประกาศกร้าว เลวอนแย้มสรวลครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลงทั้งสองข้างด้วยอาการสงบ สองมือที่กุมจี้สร้อยคอไม้กางเขนเริ่มคลายออกจากกันแล้วทรงตัวยืนอย่างมั่นคง ความเจ็บปวดค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าท่าทีของเขาพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน

               บุรุษจอมดาบเวทเบิกเนตรขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาฝั่งซ้ายของเขากลายเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ปลายเส้นผมถูกย้อมด้วยสีเทาเข้ม พร้อมเผยซี่ฟันแหลมคมประดุจผีดูดเลือด สภาพในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับแวมไพร์ หรือตอนที่วลาดได้สิงสถิตร่างของเลวอนเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวถ้อยคำสัตยาบันต่อหน้าทุกคนด้วยสีหน้าน้ำเสียงห้าวหาญ สื่อถึงความแน่วแน่ชัดเจน

               “ขอสาบานในนามพระบิดา ว่าจะช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากความหายนะนี้เอง!”

               ——ซูมมมม!!

               เกิดสายลมลูกใหญ่ซัดกระแทกใส่ จนสิ่งของภายในห้องเรียนต่างกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ แรงสั่นไหวพลันสงบนิ่งลง ทว่าสภาพแวดล้อมกลับไม่ใช่ผนังกำแพงหรือพื้นระเบียงอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นลวดลายบนท้องฟ้าหลากสีท่ามกลางหมู่เมฆและแสงจากดวงดาวนับล้านส่องระยิบระยิบ คล้ายกับปรากฏการณ์ “เจ็ดแสงอรุโณทัย” หรือเวทมนตร์โบราณขั้นสูงสุด กำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์

               สถานที่แลดูกว้างขวางแห่งนี้ถูกย้อมไปด้วยสีอำพันแก่ ฟ้าคราม น้ำเงิน ม่วงอ่อน ม่วงแก่ และม่วงเข้ม ดูผสมกลมกลืนกันอย่างงดงามตระการตา มองแล้วให้ความรู้สึกงดงาม อบอุ่น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์โดยปราศจากความชั่วร้ายเจือปน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดฝึกหัดเป็นอย่างมาก

               “ก… โกหกน่า ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของทาวิเทียนเหรอเนี่ย!?”

               “พ-พวกเราแพ้พนันซะแล้วลูกพี่!”

               “นี่มันใช่ปัญหาไหมฟะ!?”

               อัลเบิร์ต เบอร์นาร์ด และสลาโวมีร์ เกริ่นตามลำดับ ทั้งสามคนกวาดสายตามองทุกสรรพสิ่งโดยรอบด้วยความสะพรึง ขณะเดียวกันเอ็ดเวิร์ดได้อ่านข้อมูลบนภาพโฮโลแกรม แล้วรีบรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อนร่วมชมรมได้สดับรับฟัง ด้วยท่าทีและน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด

               “ค… ค่าสเตตัสของรุ่นพี่เลวอน ทั้งพลังเวทมนตร์ ความรู้พื้นฐาน ความรู้วิชาการเกี่ยวกับเวทมนตร์ ความสามารถในการใช้อาวุธ ความชำนาญ ความคล่องตัว และความต้านทานผิดปกติ กลายเป็นแรงค์ S ทั้งหมด!”

               “แถมตอนนี้เขายังยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวินาทีที่หกสิบแล้วล่ะนะ” ยาโรสลาฟรายงานด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

               “เอ๊ะ~!!?”

               เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร รวมไปถึงบรรดาพ่อมดแม่มดที่อยู่ภายในห้องนี้ทุกคนส่งเสียงประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ใช่เพราะตกตะลึงในค่าพลังความสามารถของเลวอนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะพ่อมดหนุ่มผู้กล้าหาญได้ทำลายสถิติตามที่ศาสตราจารย์เคยท้าทายเอาไว้สำเร็จ โดยที่ยังประคองสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้จนถึง ณ ตอนนี้

               รวมถึงปรากฏการณ์สุดมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถือเป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งได้ว่า เลวอนมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดิน แม้ความสำเร็จจากการทดสอบในครั้งนี้จะพึ่งพาพลังของวลาดที่สามไปด้วยก็ตาม

               ร่างกายของแวมไพร์หนุ่ม เบาหวิวเหมือนขนนกราวกับยกภูเขาออกจากอก พร้อมทั้งเผยออร่าละอองแสงระยิบระยับรอบ ๆ ตัว เขาถึงกับตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ แอบนึกสับสนไปพลางว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ ก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงสั่นเครืออย่างมีความหวัง

               “น-นี่เรา… ยังคู่ควรอยู่อีกเหรอ? แม้แต่คนบาปหนาอย่างเรายังได้รับการให้อภัยงั้นเหรอ?”

               โดยประโยคนี้ถือเป็นถ้อยคำที่เปล่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจเลวอนและวลาดร่วมกัน

               “สำเร็จแล้วนะคะ เลฟ”

               สเตฟาเนียกล่าวแสดงความยินดีต่อบุรุษจอมดาบเวทด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เธอทั้งรู้สึกโล่งอกและดีใจไปพร้อม ๆ กันที่ได้เห็นเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคร้ายแรงในครั้งนี้อย่างปลอดภัย จนไม่อาจอดกลั้นน้ำตาคลอตามได้ ส่วนโมนิก้าเองก็สะอึกสะอื้นด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน

               ความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นไม่อาจดำรงอยู่ได้นานตลอดไป เหล่าท้องฟ้าสรรพสีพลันอันตรธานจางหายไปเพียงชั่วพริบตา สภาพห้องในตอนนี้กลับคืนสู่สภาพปกติ ท่ามกลางซากปรักหักพังและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว ไม่นานนักเลวอนก็พลันหมดสติเซถลาหงายหลังลงไป โดยที่สีผมกลับกลายเป็นสีขาวโพลนเฉกเช่นเดิม

               โชคดีที่ยาโรสลาฟพลันเอาตัวเข้ารับไว้ได้ทันหวุดหวิด ลงมือร่ายคาถาเพื่อฟื้นฟูพละกำลังให้แก่ลูกศิษย์อย่างไม่รีรอช้า ก่อนจะกล่าวพึมพำต่อเด็กหนุ่มซึ่งนอนสลบไสลอยู่ในอ้อมแขนตนอย่างภาคภูมิใจ

               “เจ็ดสิบเจ็ดวินาที ถึงจะบอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะคู่ควรกับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านนี้ก็เถอะ แต่ทำได้ดีมาก เอาไว้ถึงคราวที่เธอสามารถยืนหยัดด้วยพลังของตนเองได้จริง ๆ เมื่อไหร่ แล้วค่อยมาสวมผ้าคลุมนี้อีกครั้งนะ”

               “เลวอน!”

               สเตฟาเนีย โมนิก้า เวสน่า คลาร่า ฮิคาริ อาเธอเรีย ออเดรย์ วัตสัน และอิทสึกิ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้วิ่งปรี่เข้าหาเลวอนด้วยความเป็นห่วง เอ็ดเวิร์ดยังคงตกตะลึงนั่งอ้าปากค้างตาโตต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนเซ็ทสึนะคิ้วขมวดเพ่งเล็งสายตาไปยังพ่อมดผู้อาวุโสผมหยักศกสีดำนิลอย่างเคลือบแคลงใจ ยาโรสลาฟกลายเป็นบุคคลผู้ไม่น่าไว้วางใจมากที่สุดสำหรับเธอไปแล้ว

               ในขณะที่เหล่าผองเพื่อนร่วมชมรมตั้งข้อกังขาในความสามารถที่แท้จริงของบุรุษหนุ่มจอมดาบเวท เด็กสาวองเมียวจินัยน์ตาสีชาดเองก็ได้แอบทบทวนคำพูดของยาโรสลาฟ ซึ่งทิ้งท้ายไว้ให้กับสเตฟาเนียก่อนหน้านี้ รวมถึงบทสนทนาประหลาดที่เลวอนได้เกริ่นออกมาในระหว่างบททดสอบ ก่อนจะกวาดสายตาไปยังภาพโฮโลแกรมของเอ็ดเวิร์ดที่ยังคงฉายข้อมูลอยู่

               “…!!”

               เซ็ทสึนะสังเกตได้ว่า ข้อความบนภาพโฮโลแกรมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนไปมา ชื่อของเลวอนจากเดิมที่ใช้ตัวอักษรอังกฤษ กลับกลายเป็นข้อความภาษาฮิบรูทั้งหมด รวมถึงเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งแม้แต่แหวนแปลภาษาเองก็ยังไม่สามารถตีความได้ชัดเจน

               มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้เป็นปริศนาด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว คือ S L M เท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด