จังหวะรัก นักบัลเลต์ 1-1

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 1-1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 1-1 ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน

 

 

สิ่งนั้นนับว่าเป็นโชคลางอย่างหนึ่ง 

ถ้าหากอากาศไม่ดีในวันสอบ ก็จะได้ถือกระดาษข้อสอบที่มีแต่รอยกากบาทไล่ลงมากลับบ้านอย่างแน่นอน หรือหากมองนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นเวลาเจ็ดนาฬิกา เจ็ดนาทีพอดี วันนั้นก็จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น ความเชื่อเรื่องโชคลางเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ว่าใครก็คงจะมีอยู่บ้างอย่างสองอย่าง 

ครั้งแรกที่ฉันรับรู้ได้ถึงโชคลางนี้ คือวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนตอนอายุสิบสองปี ฤดูร้อนที่อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ มาพร้อมกับเสียงบอกลาของเพื่อนซี้ที่ดังขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะที่กำลังถูพื้นห้องเรียนด้วยผ้าขี้ริ้ว ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวที่ทำให้หายใจได้ลำบาก เพราะเพื่อนซี้ย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ เลยทำให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งด้วยความเสียใจอยู่เป็นสัปดาห์ 

พอมาลองคิดย้อนไปแล้ว เมื่อตอนที่พ่อออกจากบ้านไปตอนฉันอายุได้สิบขวบ ก็เป็นช่วงปลายๆ เดือนมิถุนายนของกลางฤดูร้อน วันที่คุณยายที่สนิทสนมเสียยิ่งกว่าแม่จากโลกนี้ไป ก็เป็นช่วงกลางฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวที่มันวาวจนเหมือนกับว่าความมันนั้นจะลอยเข้าไปในอากาศ และนั่นก็เป็นช่วงฤดูร้อนอีกเหมือนกันที่จู่ๆ แม่ก็แต่งงานกับผู้ชายที่ฉันไม่รู้จัก 

 

‘ขอโทษนะลูก ฮวีกยอม’ 

 

วินาทีที่มองดวงตาแสนเศร้าของแม่ ฉันตระหนักถึงความจริงที่ว่าตนเองคงไม่สามารถเกาะชายกระโปรงแต่งงานของแม่ แล้วก็เรียกร้องอะไรเป็นเด็กๆ อีกต่อไปได้แล้ว ฉันจะต้องเติบโตขึ้นเสียที 

สำหรับฉัน ฤดูร้อนเป็นเหมือนฤดูกาลที่มักจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันเป็นโชคลางที่หนักหนาสาหัสและมักจะบีบคั้นหัวใจอย่างรุนแรงเสียกว่าลางร้ายที่ทำให้สอบตกหรือว่าสุ่มเลือกของเล่นไม่ได้เสียอีก 

หลังจากที่สูญเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แล้วได้รับบางสิ่งบางอย่างมา ตอนนี้ฉันในวัยสิบเจ็ดปีก็กำลังจะเผชิญหน้ากับฤดูร้อนครั้งใหม่อีกครั้ง 

“โอ๊ย ร้อนชะมัด นี่เร่งแอร์ให้เย็นที่สุดแล้วใช่ไหมเนี่ย” 

“ถ้านั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่ร้อนหรอกน่า” 

“ให้ตายเหอะ ร้อนขนาดนี้จะไปหายใจได้ไงเล่า” 

เซจินใช้มือพัดด้วยความหงุดหงิด พลางบ่นไม่หยุด เธอกำลังนั่งวอร์มร่างกายอยู่ตรงกลางของห้องซ้อมเต้นห้องหนึ่งพร้อมกับบ่นพึมพำว่า ‘ร้อน ร้อน’ จนคำๆ นั้นแทบจะลอยแหวกอากาศขึ้นไปอยู่บนฟ้าอยู่แล้ว 

ท่าทางแบบนั้นดูน่ารักเหมือนกับนกตัวเล็กๆ เลยล่ะ ส่วนฉันก็กำลังหัวเราะจนท้องแข็งพลางกดไหล่ของเซจินลงเหมือนอย่างปกติที่เคยทำ 

ปีนี้อากาศร้อนเป็นพิเศษจนฉันคิดว่ามันน่าจะผิดปกติเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าห้องซ้อมเต้นห้องหมายเลขหนึ่งจะเป็นห้องที่มีสภาพแวดล้อมปลอดโปร่งโล่งสบายที่สุดในโรงเรียนก็ตาม แต่อากาศร้อนเหนอะหนะในฤดูร้อนที่ทำให้ผิวแทบไหม้นั่นก็เล่นเอาซะจนแอร์ที่กำลังขยันขันแข็งทำหน้าที่ของมันเองรู้สึกอับอาย 

“ว่าแต่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือเปล่า” 

“อะไรเหรอ” 

“เรื่องรุ่นพี่อีกงไง” 

รุ่นพี่อีกง วินาทีที่คำๆ นั้นออกมาจากปากของเซจิน มือของฉันที่กดอยู่ที่ไหล่ของเซจินก็หยุดลงในทันที  

ชื่อนั้นมีพลัง พลังที่จะทำให้หยุดทำทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อได้ยิน พลังที่เหมือนกับจะกระชากวิญญาณออกจากร่างอะไรทำนองนั้น 

หลังจากที่ฉันคว้าสติของตัวเองที่หลุดลอยไปที่อื่นสักพักกลับมาได้ ฉันก็เริ่มกดไหล่ของเซจินอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยถามราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“รุ่นพี่อีกงทำไมเหรอ” 

“เขาสละสิทธิ์การประกวดที่อาจารย์ใหญ่ยื่นจดหมายแนะนำตัวให้ โดยที่ไม่ปรึกษาใครเลยน่ะสิ” 

แม้ว่าจะอยู่ในท่าเอาฝ่าเท้าชนกัน แล้วก็หมอบราบลงไปกับพื้น แต่เสียงของเซจินก็ยังถือว่าค่อนข้างดังอยู่ดี เพราะงั้นสายตาของเด็กทุกคนที่อยู่ในห้องซ้อมเต้นจึงพุ่งมาที่พวกเราทันที 

รุ่นพี่อีกงเป็นคนแบบนั้นแหละ ในบรรดานักเรียนของโรงเรียนศิลปะเอกชนแห่งนี้ ที่แบ่งออกเป็นฝ่ายมัธยมต้น และฝ่ายมัธยมปลายนั้น น่าจะไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้จักชื่อสามพยางค์ที่ชื่อว่า ‘ลีอีกง’  

ทั้งๆ ที่อายุแค่สิบแปดปี แต่ด้วยประวัติดีเลิศจากการรับรางวัลต่างๆ ภายใต้ชื่อสามพยางค์นั่น ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้คน อีกทั้งนอกจากความสามารถแล้ว รุ่นพี่ก็ยังถือว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ค่อนข้างมากอีกด้วย 

“ก็คงจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไรสักอย่างแหละ” 

“แต่เหตุผลส่วนตัวที่ว่าน่ะ…” 

เป็นเพราะฉันกดไหล่ของเธอสุดแรง หน้าของเซจินจึงทิ่มลงกับพื้น เธอจึงพยายามออกเสียงพูดให้ดังขึ้น แต่เหมือนว่าเธอจะรู้แล้วว่าสายตาของคนอื่นๆ กำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง เธอจึงหยุดพูดแล้วปิดปากเงียบสนิท 

“อะไรล่ะ” 

“…ก็เขาบอกว่าเขาเลิกเต้นบัลเลต์ไปแล้วยังไงล่ะ” 

วินาทีนั้น ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด เสียงของเซจินเบาลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เธอรับรู้ถึงสถานการณ์รอบข้าง แต่ถึงจะเป็นเสียงที่ดังออกมาเหมือนกับเสียงกระซิบ แต่มันก็เป็นเสียงที่ดังมากจนก้องกังวานอยู่ในหูของฉัน 

ทันทีที่มือของฉันหยุดนิ่งอยู่กับที่ เซจินที่โค้งตัวอยู่อย่างเต็มที่ก็รีบลุกขึ้นแล้วหันมามองฉัน ‘ไม่ช็อกเหรอ’ เซจินขยับปากถามเบาๆ แต่ฉันไม่อาจจ้องตากลับไปได้ตรงๆ ไม่ใช่เป็นเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ถึงความรู้สึกข้างในใจหรอกนะ เพราะมันก็น่า ‘ช็อก’ อย่างที่เซจินพูดจริงๆ นั่นแหละ 

“เห็นบอกว่าจะไม่ต่อมหาลัยด้วยล่ะ” 

“…” 

“อีเซเป็นคนบอกเพราะงั้น น่าจะเป็นความจริงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเปอร์เซ็นต์” 

เซจินเอาแต่บ่นพึมพำว่าทำไมถึงจะพูดเรื่องสำคัญแบบนั้นออกมาไม่ได้ล่ะ แต่ฉันก็ดันตัวของเซจินกลับลงไปอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร แล้วก็เริ่มออกแรงกดลงไปที่ไหล่ 

“คนที่วอร์มเสร็จแล้ว ก็รีบเข้าแถวบาร์ซะ” 

คลาสอิสระเองก็มีขั้นตอนเหมือนกัน และการนำนั้นก็เป็นหน้าที่ของ ซูฮยอน หัวหน้าห้อง เหล่าเด็กๆ ที่วอร์มร่างกายกันอย่างเงียบๆ อยู่ตามมุมต่างๆ ของห้องซ้อม เริ่มย้ายบาร์มาตรงกลางห้องตามคำสั่งของซูฮยอน ฉันกับเซจินที่นั่งๆ ยืนๆ อยู่จึงต้องลุกจากที่ตรงนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้ 

ซูฮยอนกนั้นเป็นคนที่สูงที่สุด แม้ว่าจำนวนของนักเรียนชายฝ่ายมัธยมปลายจะน้อยก็ตาม แถมยังหน้าตาดีอีกด้วย มีพรสวรรค์แตกต่างจากคนอื่น และเป็นนักเรียนที่โดดเด่นถึงขนาดได้ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศด้วย 

มีข่าวลือว่าเขาเข้าตารุ่นพี่อีกง แต่ตามที่เซจินพูดเหมือนจะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ถึงงั้นพอถึงเวลาที่มีคลาสอิสระแบบนี้ ก็สามารถสัมผัสถึงความเป็นผู้นำที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของซูฮยอนได้ 

“นี่ ฮวีกยอม วันนี้พวกเรามาเริ่มจากเบอร์ห้ากันเถอะ” 

“เอ๊ะ แต่วันนี้ซูฮยอนบอกว่าจะเริ่มจากเบอร์หนึ่งนะ…” 

“ยังไงนี่ก็เป็นการฝึกซ้อมอิสระอยู่แล้ว จำเป็นต้องไปฟังคำพูดหมอนั่นด้วยหรือไง ยังไงฉันก็จะเริ่มด้วยเบอร์ห้า” 

‘เธอเองก็จะทำเหมือนกันใช่ไหม’ เพราะเธอมองมาที่ฉันด้วยแววตาแบบนั้น ฉันก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ฉันไปยืนอยู่ตรงปลายของบาร์ที่วางเรียงอยู่ตรงกลางห้องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วก็เริ่มทำพลีเอ้[1]เบอร์ห้าอย่างเงียบๆ ตามเซจิน แม้จะรู้สึกได้ว่าสายตาของซูฮยอนจ้องมาทางนี้แว่บๆ แต่พวกเราก็พยายามที่จะไม่หันกลับไปมอง 

มีแต่เสียงเพลงจังหวะสนุกๆ ดังอยู่เต็มห้องซ้อม บางครั้งบางคราวก็จะได้ยินเสียงจามดังออกมา เพราะไม่มีใครจับกลุ่มพูดคุยเรื่องไร้สาระกัน 

ขนาดคนขี้คุยอย่างเซจินก็ยังเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับการฝึกซ้อมเลย แล้วยิ่งบวกกับอากาศที่ร้อนและอึดอัดด้วยแล้ว ทำให้เหมือนกับว่าไหล่ได้ถูกกดให้หนักเข้าไปอีก 

ฉันทำแค่พลีเอ้ต่อเนื่องกันอย่างไร้สติซ้ำไปมา ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่เงียบๆ แล้วหันไปจ้องมองดูสภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก 

ทั้งที่ฉันใฝ่ฝันแล้วก็พยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อที่จะได้ไปยืนอยู่ข้างๆ รุ่นพี่อีกง แต่ว่า… ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่สามารถไล่ตามรุ่นพี่อีกงได้ทัน ตอนนี้กลายเป็นว่ายังไม่ทันจะคว้าเอาไว้ได้ เขาก็บินไปยังดาวดวงอื่นเสียแล้ว 

ไม่ยุติธรรมเลย รุ่นพี่ขี้โกงจริงๆ 

 

‘ฮวีกยอม พี่จะไปสายโมเดิร์นแล้วนะ’ 

 

ถึงจะไม่สามารถบอกกับเซจินได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันบังเอิญเจอกับรุ่นพี่ที่ห้องเรียนของนักเรียนชั้นปีที่สาม เขาพูดแบบนั้นกับฉัน พลางเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจคำพูดของรุ่นพี่ได้เลยสักนิด ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ฉันไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เขาพูดคำนั้นออกมาต่างหาก และเพราะอย่างนั้นฉันจึงได้แต่ยืนเหม่อจ้องมองไปยังรุ่นพี่ ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป รุ่นพี่จึงเดินเข้ามาใกล้ฉันช้าๆ แล้วฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ตบลงเบาๆ ที่หัวของฉัน ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้ 

 

‘เราคงจะไม่ค่อยได้เจอกันแล้วสินะ’ 

 

แม้แต่คำว่า ยิ้มนั้นดูแล้วเศร้าๆ ฉันก็ยังไม่ได้เขียนลงไปในไดอารี่ แต่ถึงอย่างนั้น ในใจฉันก็ยังคิดว่ารุ่นพี่ไม่มีทางทิ้งคลาสสิกไปหรอก 

แต่การที่ฉันไม่สามารถจินตนการถึงรุ่นพี่อีกงที่ไม่เต้นคลาสสิกคือเหตุผล มันก็คงเป็นเหตุผลจริงๆ นั่นแหละ ถึงมันจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ฉันก็ไม่สามารถคิดได้จริงๆ ว่ารุ่นพี่อีกงผู้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันเริ่มเต้นบัลเลต์นั้น จะทิ้งคลาสสิกไป 

ถ้าจะให้อวดต่ออีกสักหน่อยล่ะก็ ในบรรดานักเต้นทั้งหมดที่ฉันเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ รุ่นพี่อีกงคือคนที่มีร่างกายงดงามที่สุด เป็นคนที่อย่างกับหลุดออกมาจากแบบเรียนคลาสสิกเลยล่ะ 

คนที่เกิดมาเพื่อบัลเลต์ คนที่ทำให้ฉันต้องคิดแบบนั้น เรียกได้ว่าสำหรับฉันแล้ว บัลเลต์ก็คือรุ่นพี่อีกงยังไงล่ะ 

“นี่ คิมฮวีกยอม!” 

เสียงของเซจินที่ดังกระแทกหูขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว เพียงแวบเดียวก็ทำให้ฉันได้สติกลับคืนมา ฉันจึงรีบเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวเล็กของเซจินที่ยืนต่อแถวอยู่ตรงบาร์ขมวดเป็นปม เธอยื่นมือมาวางลงที่หน้าผากของฉัน 

“ไม่สบายเหรอ” 

“เปล่า ฉันไม่เป็นไร” 

คงเป็นเพราะแม้จะฉีกยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ แต่รอยยิ้มก็ยังดูเศร้าเสียเหลือเกิน เซจินจึงจ้องมองสีหน้าของฉันด้วยใบหน้าสงสัย  

ฉันส่งยิ้มกลับไปให้เซจินอีกครั้งอย่างสุขุมเยือกเย็น ก่อนจะปรับจังหวะให้เข้ากับดนตรีแล้วเริ่มทำกรอง แบทมัง[2]ช้าๆ 

ดูๆ ไปแล้ว ไอ้โชคลางเฮงซวยที่ตามหลอกตามหลอนฉันตลอดมา ดูท่าว่าฤดูร้อนปีนี้มันก็จะกลับมาหาฉันอย่างแน่นอน อากาศที่ร้อนอบอ้าว กลิ่นของเดือนมิถุนายนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ฉันกำลังจะสูญเสียบางอย่างไปอีกครั้ง 

 

* * * 

 

 

[1] Plie’ พลีเอ้ มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่าการย่อหัวเข่า ซึ่งในการเต้นบัลเลต์จะเป็นการงอหัวเข่าลงไปโดยที่ขายังอยู่ในตำแหน่ง Turn out ตั้งแต่สะโพกลงไป สังเกตจากการที่หัวเข่าต้องหันไปในทิศทางเดียวกับปลายเท้าเสมอ 

[2] grand battement การเตะขาขึ้นให้สูงที่สุด 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด