จังหวะรัก นักบัลเลต์ 20-2 (2-1)พิเศษ

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 20-2 (2-1)พิเศษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<เซจิน>

 

 

 

 

ฉันชอบเจ้าหญิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่นั่นแหละ เส้นผมที่ยาวสลวย มงกุฎที่เป็นประกายระยิบระยับ และชุดกระโปรงแวววาว ด้วยความใฝ่ฝันในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันถึงกับเคยใช้ส้อมหวีผมตามแบบเจ้าหญิงเงือกน้อย แล้วก็เคยอ้อนวอนให้พ่อแม่ซื้อรองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่าให้

 

 

ใช่แล้ว ดูเหมือนฉันจะเคยเชื่อด้วยนะว่าเรื่องราวในเทพนิยายน่ะเคยเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหินก้อนเล็กๆ ที่มีสีสันจากสวนดอกไม้มาเก็บไว้ในกล่องอัญมณีของเล่นพลาสติก แล้วเชื่อว่ามันคือหินที่จะทำให้สมปรารถนา หรือการให้ความสำคัญกับแหวนพลาสติกที่ได้มาจากเครื่องหนีบของเล่น

 

 

สำหรับฉันที่ดูจะแปลกไปกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันเป็นพิเศษแล้ว บัลเลต์น่ะ คือการเต้นรำแห่งเวทมนตร์ที่เหมือนกับจะทำให้เหล่าความฝันสีชมพูนั้นเป็นจริง ได้แต่งตัวเหมือนเจ้าหญิง แล้วก็ได้เต้นเป็นเจ้าหญิง สิ่งเหล่านั้นสำหรับฉันในวัยเด็กแล้ว ก็เหมือนกับฝันอันสมบูรณ์แบบที่กลายเป็นจริงนั่นแหละ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเริ่มเต้นบัลเลต์ เหตุผลง๊าย ง่ายที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นเต้นบัลเลต์

 

 

“ได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง ผู้ชายที่ได้ที่หนึ่งน่ะ เป็นเด็กที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาน่ะ”

 

 

“ทำไงดีล่ะ”

 

 

ฉันอ้อนวอนพ่อแม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็ได้มาเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะเอกชน พอกลายมาเป็นนักเรียนมัธยมต้น แล้วก็ได้ลงแข่งขันในรายการแรก ฉันมักจะคิดอย่างนี้เสมอว่า ครั้งนี้ยังไงฉันก็จะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นที่อคาเดมี่ หรือว่าการแข่งขันที่ผ่านมา ฉันก็ไม่เคยพลาดที่หนึ่งเลยสักครั้งเดี่ยว

 

 

แต่ว่าคนที่พังทลายความภาคภูมิใจของฉันกลับไม่ใช่ผู้หญิง แต่ดันมาเป็นผู้ชายนี่สิ อีกทั้งยังเป็นเจ้าชายที่หล่อสุดๆ ไปเลยด้วย

 

 

“เรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ”

 

 

การเรียนแลกเปลี่ยนที่ฉันใฝ่ฝันมานานแสนนาน แต่ว่าฉันก็คิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไปที่จะฝันถึง ดังนั้นฉันจึงยังคงเต้นต่อไปอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม กับอีแค่เรียนแลกเปลี่ยน ถึงจะไม่ได้ไปมา ฉันก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันก็สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ ฉันเชื่อว่าต่อให้ฉันไม่ทำอย่างนั้นฉันก็ยังพิเศษ

 

 

แต่ว่าเจ้าหมอนั่นที่ทำลายความฝันของฉันในพริบตา ให้ตายสิ ดันเป็นไอ้คนที่เท่สุดๆ จนถึงขนาดที่ฉันไม่แม้แต่จะสามารถเกลียดได้อย่างสุดใจ

 

 

“ถ่ายรูปสักรูปดีไหมครับ”

 

 

ฉันยืนอยู่ข้างคนนั้น ในขณะที่กล้ำกลืนน้ำตาอย่างขมขื่น ความพ่ายแพ้ที่รู้สึกเป็นครั้งแรก และความเจ็บปวดหัวใจที่ร้อนขึ้นไปจนถึงจมูก ฉันยังไม่ลืมสัมผัสเมื่อครั้งที่ฉันจับมือของเจ้าหมอนั่นที่ยื่นมาอย่างไม่ใส่ใจ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือความโกรธหรือว่าเป็นความอิจฉากันแน่ แต่มือและหัวใจของฉันในตอนนั้นกำลังสั่นไหวไม่หยุดเลยจริงๆ

 

 

หลังจากเรื่องนั้น ตัวตนของหมอนั่นก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นของฉันซึ่งไม่เคยลบเลือนไป สำหรับฉันที่เต้นเป็นเจ้าหญิงแล้ว เจ้าหมอนั่นก็คือเจ้าชาย คือภูเขาที่ฉันจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้

 

 

แล้วเจ้านั่นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องโกหก กลายมาเป็นเจ้าชายที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม ไม่สิ กลายมาเป็นภูเขาที่ฉันคงจะไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้ต่างหาก

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

“เธอว่าใครหล่อที่สุดล่ะ”

 

 

“อุ๊ย ก็ต้องรุ่นพี่อีกงน่ะสิ!”

 

 

“อ๋อ รุ่นพี่ที่แสดงตอนงานปฐมนิเทศน่ะนะ ตอนนี้ก็อยู่แผนกมัธยมปลายสินะ”

 

 

“ไม่คิดว่าเขาหล่อสุดๆ ไปเลยเหรอ อย่างกับเจ้าชายแน่ะ”

 

 

“แต่ว่าชเวซูฮยอนก็หล่อออก ถ้าหน้าตา ฉันว่าชเวซูฮยอนดีกว่าหน่อยนะ”

 

 

“ก็จริง หมอนั่นดูจะหล่อเกินจริงไปหน่อย”

 

 

เวลาพักกลุ่มเพื่อนๆ ก็จะมานั่งล้อมวงกันพูดถึงเรื่องที่ไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่ ฉันที่อยู่แถวนั้นด้วยก็มักจะรู้สึกขัดๆ หูทุกครั้งที่มีชื่อของชเวซูฮยอนดังขึ้นมาในบทสนทนา ไอ้เจ้าคนเฮงซวยแบบนั้น มันมีอะไรดีกันนักกันหนา

 

 

ฉันนั่งเงียบๆ อย่างหงุดหงิด แต่แล้วหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็หันมาถามฮวีกยอมที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ฉัน

 

 

“ฮวีกยอมแล้วเธอล่ะ”

 

 

“หือ”

 

 

“เธอว่าใครหล่อสุด”

 

 

“…อืม”

 

 

ฉันที่กลัวว่าคำว่า ชเวซูฮยอน จะหลุดออกมาจากปากของฮวีกยอมที่ทำสีหน้าลำบากใจ

 

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นรุ่นพี่อีกงสิ! เนอะ ฮวีกยอม”

 

 

“เอ๋ อือ…”

 

 

ฉันรีบมาขวางข้างหน้าฮวีกยอมแล้วตะโกนเสียงดัง

 

 

“คนอย่างชเวซูฮยอนน่ะ เทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บของรุ่นพี่อีกงด้วยซ้ำ ในสายตาของฉันรุ่นพี่อีกงน่ะ ทั้งเท่กว่า แล้วก็น่าตาดีกว่าตั้งเยอะ อีกอย่างเขาก็เป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”

 

 

ฉันแกล้งตะโกนพูดชื่อรุ่นพี่อีกงออกมาเสียงดังๆ พลางเสริมด้วยถ้อยคำที่สละสลวยอีกมากมาย มันก็จริงอยู่หรอกที่ว่าฉันน่ะชอบรุ่นพี่อีกง แต่มันก็เพราะว่าฉันไม่อาจจะทนฟังคำวิจารณ์เรื่องของชเวซูฮยอนไปมากกว่านี้ได้น่ะสิ

 

 

“…นี่ เซจิน”

 

 

วินาทีนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ ฉันก็ทำสีหน้าลำบากใจพลางจับมือของฉันเอาไว้

 

 

“ทำไม ฉันพูดผิดหรือไงล่ะ”

 

 

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น…”

 

 

พอฉันแกล้งทำเป็นพูดจาห้วนๆ ขึ้นมา เพื่อนคนนั้นก็ส่ายหน้าเลิ่กลั่ก พลางผลักให้ฉันหันหลัง ฉันที่หันหลังไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก็พบว่าชเวซูฮยอนมายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าหมอนั่นที่ทอดสายตามองมาที่ฉันด้วยสีหน้านิ่งเฉยค่อยๆ นั่งลงกับที่แล้วหยิบตำราเรียนออกมาจากกระเป๋า

 

 

“…ก็แค่นี้เอง”

 

 

รู้สึกหน้าชาไปหมดเลยแฮะ ฉันเกลียดตัวเองที่มักจะดูตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นหมอนั่น แต่ว่าจะให้ทำไงได้ละ ต่อให้ร้องเพลง ไม่ชอบ ไม่ชอบ ยังไง ฉันก็ยังเกลียดหมอนั่นไม่ลง

 

 

ถึงฉันจะไม่ชอบหมอนั่นเข้าไส้ ที่เอาแต่ทำลายศักดิ์ศรีที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถเกลียดเขาได้ลง แต่หมอนั่นก็คงจะเกลียดฉันละสินะ บางทีน่ะนะ คงจะเป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่ๆ

 

 

รู้สึกเจ็บในใจยังไงบอกไม่ถูก

 

 

 

 

<ซูฮยอน>

 

 

 

 

หลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตสั้นๆ ในอเมริกา ในวันที่ผมกลับมาเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่เป็นวันแรก ผมก็ได้พบกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง ถึงจะเคยเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมก็สามารถจำเธอได้ เด็กผู้หญิงที่กัดริมฝีปากเพื่อที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ มันเป็นสีหน้าประหลาดที่กำลังฉีกยิ้มอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

สายตาของเด็กคนนั้นที่ได้บังเอิญเจอกันอีกครั้ง จ้องมองมาทางผมอย่างเย็นชา มันคือสิ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า และห้องเรียนที่ไม่คุ้นชิน ความรู้สึกเป็นศัตรู ผมเริ่มคุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

 

 

“นักเรียนใหม่ ไหนลองแนะนำตัวเองสิ”

 

 

“…ผมชื่อชเวซูฮยอนครับ”

 

 

ขณะที่ผมแนะนำตัวตามคำสั่งของอาจารย์ตามปกติ ผมก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากเด็กคนนั้นได้ หรือจะเป็นเพราะความรู้สึกเป็นศัตรูที่รุนแรงนั่น ซึ่งผมสัมผัสได้อย่างเด่นชัดแม้จะอยู่ภายในห้องเรียนที่มีเสียงดังอึกทึกกันนะ

 

 

“ซูฮยอนเพิ่งจะกลับมาจากอเมริกา เพราะงั้นพวกเธอก็ช่วยเหลือเขาให้มากๆ หน่อยละ”

 

 

“ครับ/ค่ะ”

 

 

“ไหนดูสิ ที่นั่งก็…”

 

 

แม้แต่ในระหว่างที่สายตาของอาจารย์สอดส่องไปทั่วห้องเรียน ผมก็ยังคงมองจ้องไปที่เด็กคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เด็กคนนั้นเองก็ไม่หลบสายตาของผมเช่นกัน ผมสงสัยจังว่าเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เด็กนั้นจะคิดยังไงกับผมกันนะ

 

 

“ให้นั่งข้างหลังเซจินก็แล้วกัน”

 

 

ผมเห็นเด็กคนนั้นสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เธอชื่อเซจินนี่เอง ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเด็กคนนั้นที่จ้องมองมาที่ผมดูจะแข็งทื่อไปในทันที

 

 

“ซวยชะมัด”

 

 

วินาทีที่ผมเดินผ่านข้างๆ เด็กคนนั้นเพื่อจะไปนั่งประจำที่ ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังเข้ามาในหู ถึงผมจะไม่ได้หันหลังไปดู ผมก็รู้ได้ว่ามันคือเสียงของเด็กคนนั้น

 

 

ซวยชะมัด บางทีในความคิดของเด็กคนนั้น ‘ผม’ คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ ผมคิดว่ามันก็ดูน่าสนุกดี ทั้งท่าทางตั้งแง่ใส่ผมจนเหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว แล้วก็เสียงน่ารักๆ ที่ต่างจากท่าทางขี้โมโหนั่นก็ด้วย แต่นั่นมันก็คือก่อนที่ผมจะชอบเด็กคนนั้นน่ะนะ

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

ผมเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่าการเต้นมันคืออะไร ภายใต้เงาของพ่อแม่ที่เป็นทั้งผู้ออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับศิลป์ ผมถึงกับเคยได้ยินว่า ตัวเองถูกเลี้ยงขึ้นมาเพียงเพื่อบัลเลต์เท่านั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรหรอก เพราะว่านอกจากการเต้นแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรแล้วนี่นา

 

 

พอมาคิดๆ ดูในตอนนี้แล้ว คงเป็นเพราะผมกลัวต่างหาก ถ้าแม้แต่สิ่งเดียวที่ผมมีอย่างบัลเลต์ ผมยังไม่สามารถทำมันให้ดีได้ ผมก็กลัวว่าแม้แต่พ่อแม่ก็คงจะทอดทิ้งผมไป

 

 

สำหรับผมที่เป็นอย่างนั้น คนที่ชื่อคิมเซจินนั้นเป็นเหมือนกับยากระตุ้นชั้นดีเลยละ สายตาของเด็กคนนั้นที่คอยระแวดระวังผม มันทำให้ผมรู้สึกถึงความโดดเด่นของตัวเอง ถึงแม้ว่าถ้าตอนนี้ผมมาคิดๆ ดูแล้ว มันจะเป็นความรู้สึกที่ปัญญาอ่อนก็เถอะ

 

 

ผมมักจะคุ้นเคยกับการรักษามนุษยสัมพันธ์ในแบบที่คลุมเครือ การเว้นระยะห่างพอประมาณ และการจัดการกับท่าทางที่แสดงออกมา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมจึงเข้ากันได้ดีกับผู้คนส่วนใหญ่ และผมก็คิดว่าอีกไม่นานผมก็จะเป็นอย่างนั้นกับคิมเซจินเช่นกัน

 

 

แต่เด็กคนนั้นแตกต่างออกไป จนจบการศึกษาในระดับมัธยมต้น ผมก็ยังไม่เคยได้คุยกับคิมเซจินเลยสักครั้ง เธอแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่แล้ว พอเวลาผ่านไปก็จะสามารถเข้ากันไปได้เอง เด็กคนนั้นแผ่รังสีความเป็นศัตรูออกมาจากทั่วทั้งตัว จนผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับมันยังไง

 

 

และแล้ววันหนึ่ง ผมบังเอิญเห็นคิมเซจินอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน วินาทีที่ผมเห็นเธอเดินเข้าไปในโรงหนังด้วยกันกับรุ่นพี่ลีอีกงที่เด็กคนนั้นดูจะใฝ่ฝันเป็นพิเศษ หน้าอกข้างหนึ่งของผมก็รู้สึกเหมือนจะพังทลายลงไป ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่า ผมน่ะ กำลังชอบเด็กคนนั้นอยู่ กำลังชอบคิมเซจิน

 

 

“พอซะทีเถอะ”

 

 

“…ว่าไงนะ?”

 

 

“บอกว่าให้พอไง”

 

 

มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจที่เจ็บแปลบ นอกจากนี่จะเป็นการแสดงร่วมกันกับคิมเซจินครั้งแรกแล้ว มันยังเป็นการแสดงปาเดอเดออีกด้วย ผมที่เคยคิดเองเออเองว่าคงจะสามารถเข้าใกล้เด็กคนนั้นได้อีกสักนิด กลับรู้สึกเกลียดชังเด็กคนนั้นที่คอยแต่จะปามีดมาทางผมโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน ผมพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ สีหน้าของคิมเซจินดูจะบึ้งตึงอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำที่ผมพูด

 

 

“แค่เวลาจะซ้อมยังไม่พอเลย อย่ามาเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้เลยนะ”

 

 

“…วะ ว่าไงนะ”

 

 

คิมเซจินขย้ำคอเสื้อของผมอย่างแรงด้วยมือที่เรียวเล็ก เสียงของเธอแหลมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

 

 

“ฉันเกลียดนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว แค่ไปเรียนแลกเปลี่ยนกลับมา มันมีอะไรน่าภูมิใจนักเหรอ”

 

 

 “…”

 

 

“ก็แค่มีเงิน กะอีแค่เรียนแลกเปลี่ยนน่ะเหรอ ใครก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ เลิกแสร้งทำเก่ง ทั้งที่หลบอยู่ข้างหลังพ่อแม่ซะทีเถอะ!”

 

 

อ้า เพราะอย่างนี้เองสินะ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกขมๆ ที่ปลายลิ้น

 

 

“คนอย่างนายน่ะ มันเฮงซวยที่สุดเลย”

 

 

“เซจิน พอเถอะน่า”

 

 

“พอนายกลับมา ทุกอย่างก็เพี้ยนไปหมด ทุนที่ตอนแรกฉันควรจะได้ นายก็มาแย่งไป”

 

 

“…”

 

 

“ก็แหงละ นายมันได้ท็อปอยู่ทุกวัน คงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้สินะ็แ”

 

 

ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียดแทงจิตใจของผมเข้ามาอย่างจัง

 

 

“ถ้าแข่งกันด้วยฝีมือ ฉันไม่มีทางแพ้คนอย่างนายหรอก”

 

 

“…”

 

 

“คนอย่างนาย ถ้าหายไปให้พ้นหน้าฉันได้ก็ดี”

 

 

ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเอามากๆ แต่ผมกลับเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคิมเซจิน

 

 

“เธอนี่มัน สร้างบาดแผลให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ”

 

 

คำพูดที่มาจากใจอันบอบช้ำของผม กลับเป็นฝ่ายทิ่มแทงหัวใจผมเสียเอง ใบหน้ากระวนกระวายใจของคิมเซจินวนเวียนอยู่ในตาของผม ผมควรจะทำยังไงกับเธอดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด