จังหวะรัก นักบัลเลต์ 16-2

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 16-2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตลอดเวลาที่เดินจับมือกับรุ่นพี่กลับมาด้วยกันจนถึงบ้าน หัวใจของฉันเอาแต่เต้นรัวไม่ยอมหยุด ฉันค่อยๆ ลูบคลำโทรศัพท์ที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างระวังมือ สัมผัสนูนๆ ของสติกเกอร์ทำให้ฉันฉีกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

ฉันพยายามกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่นเพื่อแอบซ่อนปากที่เอาแต่กระตุกยิกๆ ไม่หยุด แต่แล้วรุ่นพี่ที่เอาแต่มองตรงไปข้างหน้า ไม่ยอมพูดอะไรก็หันมามองฉัน พลางพูดขึ้น

 

 

“เสาร์อาทิตย์หน้า พวกเราจะไปออกทริปเลี้ยงฉลองเสร็จงานกัน รู้ใช่ไหม”

 

 

“อ๋อ ค่ะ”

 

 

ฉันพยักหน้าเบาๆ พลางตอบ เมื่อจบงานแสดงประจำฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับการแสดงที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี มันจึงเป็นธรรมเนียมของแผนกมัธยมปลาย ที่แต่ละทีมจะมีการไปเที่ยวด้วยกัน

 

 

ในกรณีที่ทีมแสดงหลักเป็นชั้นปีเดียวกัน จะถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ระดับทัศนศึกษา จึงต้องมีอาจารย์พาไป แต่ในกรณีที่เหมือนกับทีม Le Corsaires ที่เป็นทีมขนาดเล็ก อีกทั้งยังมีนักเรียนทั้งสามชั้นปี พวกเราจึงตัดสินใจจองบ้านพักด้วยตัวเอง

 

 

“อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง ก็มันเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ไปเที่ยวด้วยกันนี่นา”

 

 

“ฉันเองก็อยากให้ถึงเร็วๆ เหมือนกันค่ะ”

 

 

“…ไว้คราวหลัง พวกเรา”

 

 

รุ่นพี่ค่อยๆ ลดเสียงลง ก่อนจะหันมามองฉัน แล้วยิ้มบางๆ ให้

 

 

“ไว้วันหลัง พวกเราไปเที่ยวกันแค่สองคนนะ”

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่เหมือนกับเสียงกระซิบทำให้ฉันยิ้มไม่หุบ พลางพยักหน้า ต่อจากนั้นใบหน้าของรุ่นพี่ก็ดูจะแดงระเรื่ออย่างประหลาด เอ๋ รุ่นพี่ยิ้มกรุ้มกริ่มหลังจากที่ทอดสายตามองมาที่ฉัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

 

“นี่เธอตอบตกลงง่ายเกินไปหรือเปล่า?”

 

 

“…คะ?”

 

 

“ที่พี่พูดน่ะ มันมีเจตนาแอบแฝงอยู่นะ”

 

 

น้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยพอใจของรุ่นพี่ทำให้ฉันแสดงท่าทางประหม่าออกไป พร้อมกับรีบหันขวับไปมองข้างหน้า มือที่ถูกรุ่นพี่จับอยู่ก็เอาแต่รู้สึกจั๊กจี้

 

 

“ล้อเล่นน่า ไม่ต้องกลัวหรอก”

 

 

“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะคะ”

 

 

“ก็นะ ถ้าเธอจะกังวลสักหน่อยก็ดีแหละ กยอมกยอม ถึงเธอจะหัวช้าสุดๆ แต่เธอก็ต้องกังวลบ้างนะ”

 

 

คำพูดที่เหมือนเป็นการหยอกล้อของรุ่นพี่ ทำให้ฉันบ่นพึมพำออกมาด้วยท่าทางงอนๆ

 

 

“รุ่นพี่ เอาจริงๆ แล้ว หมู่นี้รุ่นพี่สนุกเวลาที่ได้แกล้งฉันสินะคะ”

 

 

“อือ รู้ได้ยังไงเนี่ย”

 

 

“รุ่นพี่!”

 

 

ฉันที่รู้สึกชังรุ่นพี่ที่คอยเอาแต่แกล้งอยู่เรื่อย จึงตวาดเสียงดังขึ้นมา แต่รุ่นพี่กลับหัวเราะเสียงดัง พลางขยี้ผมของฉันยกใหญ่อีกครั้ง

 

 

“เดี๋ยวนี้เธอดูฉุนเฉียวบ่อยนะ เมื่อก่อน แค่เจอหน้าพี่เธอก็เอาแต่ตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูกแท้ๆ”

 

 

“…นั่นเป็นเพราะเดี๋ยวนี้รุ่นพี่เอาแต่แกล้งฉัน…”

 

 

เสียงของฉันแผ่วในท้ายประโยค ก่อนจะแอบกัดริมฝีปากเบาๆ นั่นเป็นเพราะว่าฉันกังวลว่าจะถูกมองว่าเสียมารยาทน่ะสิ มันก็จริงนั่นแหละที่รุ่นพี่บอกว่าฉันดูสบายๆ กว่าเมื่อก่อน

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดว่าการทำตัวเหมือนเซจินหรืออีเซก็ดูจะไม่ควร ฉันจึงอึกอัก พลางจ้องมองไปที่ตาของรุ่นพี่

 

 

ทว่าตรงกันข้าม รุ่นพี่กลับยิ้มแฉ่งพลางจับให้ฉันหันมามองตัวเอง รุ่นพี่โค้งตัวเล็กน้อยมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับฉัน แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น

 

 

“คิมฮวีกยอม”

 

 

“…คะ”

 

 

ฉันที่ไม่รู้ควรจะทำตัวอย่างไรดี จึงก้มหน้ามองต่ำลง พลางเฝ้ารอคำพูดของรุ่นพี่ แต่แล้วอยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็หยิกแก้มของฉัน ฉันจึงรีบเอามือมาปิดใบหน้าที่ยืดออกจนดูน่าขำ ทันใดนั้น รุ่นพี่ก็ยิ้มกลับมาอย่างเบิกบาน อ๊ะ ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้าที่สว่างไสวของรุ่นพี่

 

 

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”

 

 

“…”

 

 

“อยากจะบ่น อยากจะหงุดหงิด หรืออยากจะโกรธก็ได้ ถ้าชอบก็บอกว่าชอบ หรือถ้าไม่ชอบจะบอกว่าไม่ชอบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบหรอก เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับพี่ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองด้วย หรือไม่จำเป็นจะต้องแต่งตัวสวยๆ ทุกวัน”

 

 

“…”

 

 

“อ่า ข้อสุดท้ายนี่คงจะไม่ได้หรอก เพราะเธอน่ะ สวยในสายตาพี่ทุกวันอยู่แล้ว”

 

 

เสียงอันอ่อนโยนของรุ่นพี่ทำให้ฉันพูดไม่ออก และได้แต่มองไปที่รุ่นพี่ รุ่นพี่ปล่อยแก้มของฉันที่ตัวเองดึงเอาไว้ออก และคราวนี้เขาใช้ฝ่ามือบีบแก้มของฉันไว้แน่น จุ๊บ ต่อจากนั้นเขาจึงเอาปากมาจุ๊บลงบนริมฝีปากของฉัน

 

 

“เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็ช่วยเกรี้ยวกราดบ่อยๆ ด้วยนะครับ”

 

 

“…”

 

 

“เพราะว่ามันน่ารักสุดๆ เลยล่ะ”

 

 

ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมรุ่นพี่ถึงได้พูดคำหวานๆ จนทำให้ฉันรู้สึกเบลอแบบนั้นออกมาได้กันนะ ถึงมันจะน่าอายที่ฉันเหมือนจะละลายทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นของรุ่นพี่ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็รู้สึกน่าขันที่ภายในใจของฉันก็มักจะรอคอยคำพูดเหล่านั้นเสมอ

 

 

ฉันจะไม่ถูกรุ่นพี่เกลียดเอางั้นเหรอ รุ่นพี่จะไม่ผิดหวังในตัวฉันเหรอ ความทรงจำมากมายที่มักทำให้ฉันหวาดกลัว และลังเลต่างผุดขึ้นมา ถึงฉันจะรู้สึกดีใจกับคำว่าชอบของรุ่นพี่ แต่ฉันก็ยังจำได้ดีถึงวันที่ฉันไม่อาจข่มตาหลับได้ลงด้วยความกลัวว่าสักวันหนึ่ง ความรู้สึกนั้นจะจางหายไป

 

 

หรือรุ่นพี่จะรู้ว่าในใจฉันคิดแบบนั้นกันนะ ความรู้สึกภายในใจที่กลัวว่าช่วงเวลาอันแสนหวานราวกับน้ำผึ้งนี้จะเป็นเพียงแค่ฝันไป กลัวว่าสักวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้จะสลายหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง ดังนั้นฉันจึงไม่อาจที่จะแสดงความกล้าออกมา และเอาแต่แสดงท่าทางลังเลแทน…

 

 

“ถึงแล้ว”

 

 

เรามาถึงหน้าบ้านกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือของรุ่นพี่ยังคงหลงเหลือสัมผัสอุ่นๆ อยู่ ก่อนที่เขาจะแยกจากฉัน ฉันแบมือที่ว่างเปล่า พลางก้มหน้า

 

 

“รีบเข้าไปสิ ดึกมาแล้ว”

 

 

“…ค่ะ”

 

 

ทำไมถึงมีแต่ความรู้สึกเสียดายที่มักหลงเหลืออยู่กันนะ ฉันสองจิตสองใจพลางจ้องมองไปที่รุ่นพี่ ท่าทางการทำมือของรุ่นพี่ที่สื่อว่าให้รีบเข้าไปสิทำให้ฉันลังเลอยู่สักพัก จนในที่สุดฉันก็ทำได้เพียงหันหลังกลับไปด้วยความรู้สึกเสียดาย

 

 

พอฉันเดินขึ้นบันไดไปยังทางเข้า ฉันก็หันขวับไปมองรุ่นพี่ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กระทบกับแสงไฟถนนที่กะพริบอยู่กลายเป็นสีส้มอมแดง

 

 

ดวงตาของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มเป็นทรงกลม จมูกที่ตรงและเกลี้ยงเกลา กับริมฝีปากที่กำลังฉีกยิ้ม ฉันมองจ้องสิ่งเหล่านั้น ก่อนที่จู่ๆ จะสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างคอยแต่จะพุ่งพรวดขึ้นมาภายในใจของฉัน

 

 

มันเป็นความรู้สึกที่ร้อนรุ่ม ฉันไม่อยากเลิกกับรุ่นพี่ ไม่อยากแยกจากกัน อยากจับมือ อยากกอด ฉันพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่ล้นเอ่อออกมาจนไม่สามารถควบคุมได้เอาไว้ พร้อมกับหันไปโค้งให้กับรุ่นพี่ ไม่เป็นไรน่า พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถสัมผัสกันได้ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายสักหน่อย

 

 

“กลับบ้านดีๆ นะคะ”

 

 

“ฝันดีนะ”

 

 

รอยยิ้มบางๆ ของรุ่นพี่ดูสวยจัง ฉันรีบหันกลับไปขึ้นบันได เปิดประตูใหญ่ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน หัวใจที่เริ่มกระโดดโลดเต้นขึ้นมาแล้ว ดูไม่มีท่าจะเพลาลงเลยสักนิด ฉันถอนหายใจออกอย่างไร้เสียง พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างมาวางไว้บนหน้าอกที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง

 

 

“…เป็นเรื่องซะแล้วสิ”

 

 

บางทีคืนนี้ฉันคงข่มตานอนไม่หลับแน่ๆ

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

โรงเรียนกลับเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่การจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องานแสดงที่ผ่านมา การแสดงที่เร่าร้อนขนาดนั้นของพวกเรากำลังจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำอันเลือนราง

 

 

และเหมือนกับทุกๆ ครั้ง เหล่านักเรียนที่มารวมกันอยู่ที่ห้องซ้อมเต้นเพื่อซ้อมในวิชาอิสระ เริ่มวอร์มอัพร่างกาย แต่เป็นเพราะอากาศที่เริ่มจะเย็นขึ้น ทุกคนจึงอยู่ในชุดกางเกงวอร์มกับเสื้อไหมพรม

 

 

“อะไรน่ะ นั่นมันยาอะไรน่ะ”

 

 

เซจินที่เห็นฉันใส่เม็ดยาสีขาวเข้าไปในปาก หยุดวอร์มร่างกายแล้วหันมามองฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฉันกลืนยาเข้าไปพร้อมกับน้ำ หลังจากนั้นจึงส่ายหัว

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ก็แค่ยาแก้ปวดหัว”

 

 

“ทำไมล่ะ ปวดหัวงั้นเหรอ”

 

 

“นิดหน่อย”

 

 

“ก็บอกว่าให้ลองไปโรงพยาบาลดูไงล่ะ ฉันเห็นทีไร รู้สึกอึดอัดทุกที”

 

 

“ก็คงแค่เครียดเท่านั้นแหละ ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วน่ะ”

 

 

ถึงเซจินหรืออีเซจะชอบล้อว่าฉันเป็นคนหัวช้า หรือไม่ค่อยระวังตัว แต่ความจริงแล้วฉันค่อนข้างจะอ่อนไหวง่าย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือร่างกายนั่นแหละ จะเป็นอุณหภูมิ หรืออากาศ หรือความเครียด ร่างกายก็จะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เด็กๆ ฉันจึงมักจะเหนื่อยง่าย และป่วยบ่อยกว่าคนอื่นๆ

 

 

ไม่สิ อันที่จริง สำหรับนักเต้นแล้ว ความเจ็บปวดคือความสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาดได้ มันเลยทำให้การอดทนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแทน และนั่นก็อาจจะเกิดขึ้นกับเซจินหรือคนอื่นๆ เช่นกัน

 

 

“ความเครียดน่ะ ถ้าสะสมเยอะๆ ก็ทำให้เกิดโรคร้ายได้นะ ดูแลร่างกายให้ดีๆ ก่อนจะถึงการแข่งดีกว่านะ”

 

 

“ไว้ค่อยมาห่วงหลังจากผ่านรอบคัดเลือกวิดีโอดีกว่าน่า”

 

 

“ทำไมเธอถึงได้ไม่เคยมีความมั่นใจกับอะไรสักอย่างเลยนะ ขนาดตอนงานที่ผ่านมาฉันว่าเธอก็ดูเท่จะตายไป ยังไงก็ผ่านอยู่แล้วล่ะ”

 

 

“ขอบใจนะ”

 

 

ฉันฉีกยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกขอบคุณเซจินที่ชูกำปั้นขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจฉัน

 

 

“เราไปทำบาร์เวิร์คกันเถอะ”

 

 

ฉันพูดพอดีกับที่ซูฮยอนซึ่งวอร์มร่างกายอยู่ตรงกลางห้องซ้อมลุกออกไปจากที่พอดี ฉันจึงรีบไปดึงบาร์ที่ถูกวางเรียงเอาไว้อยู่ตรงฝั่งกำแพงมาวางตรงกลางห้อง ใบหน้าของซูฮยอนที่เปิดดนตรีขึ้นมาด้วยสีหน้าเฉยเมย ดูจะซีดเผือดมากกว่าปกติ ฉันจึงเดินไปหาเซจินที่กำลังจับบาร์อยู่ แล้วกระซิบถามเบาๆ

 

 

“ซูฮยอนอาการไม่ค่อยดีเหรอ หรือแค่สีหน้าไม่ค่อยดี”

 

 

“ละ แล้วมาถามฉันทำไมเล่า”

 

 

ฉันถามต่อด้วยหน้าตางุนงง เมื่อเห็นเซจินที่ตีหน้าเคร่งขรึมสะดุ้งโหยงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

 

 

“พวกเธอคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

“…เอ๋”

 

 

เซจินทำตัวเลิ่กลั่ก แถมยังทำสีหน้ากระอักกระอ่วนหนักเข้าไปอีก พลางมองฉันและซูฮยอนสลับไปมา เซจินพุ่งตัวเขามาใกล้ฉันที่ทำท่าทางสงสัย เธอลังเลอยู่สักพักก่อนจะเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

 

 

“เธอรู้ได้ยังไงน่ะ”

 

 

“…ก็ตอนที่ไปเยี่ยมซูฮยอนเมื่อคราวที่แล้ว พวกเธอ…”

 

 

“ธะ เธอเห็นงั้นเหรอ!”

 

 

ฉันสองจิตสองใจว่าจะพูดดีไหม และทันทีที่กระซิบบอกออกไปเบาๆ เซจินก็สะดุ้งตกใจพร้อมกับแผดเสียงดังขึ้นมา นั่นเลยทำให้สายตาของทุกคนในห้องซ้อมเต้นมารวมเป็นจุดเดียวกันที่พวกเราในทันที พอแม้แต่ซูฮยอนก็มองพวกเราด้วยสีหน้างงๆ เซจินจึงร้องโอดครวญออกมา พร้อมกับเอามือก่ายหน้าผาก ก่อนจะสิ่งยิ้มแห้งๆ ให้กับทุกคน

 

 

“…เห็นเหรอ เห็นใช่ไหม”

 

 

เมื่อทุกคนหันกลับไปมองทางอื่น และเริ่มทำบาร์เวิร์ค เซจินก็รีบเอียงตัวมาทางฉัน แล้วกระซิบถามด้วยระดับเสียงที่เบาที่สุด พอฉันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เซจินก็ทำเสียงครวญครางออกมาอีกครั้งขณะทำพลีเอ้ให้เข้ากับจังหวะ

 

 

“ไม่ได้ตั้งใจจะมองหรอกนะ”

 

 

“ใครอีกที่เห็น มีแค่เธอที่เห็นเหรอ”

 

 

“…ไม่ใช่ รุ่นพี่อีกงกับอีเซก็เห็น”

 

 

“จะบ้าตาย”

 

 

เซจินพึมพำออกมาเบาๆ พลางกัดริมฝีปากไว้แน่น ขณะที่เริ่มทำทานดู[1]ประกอบกับจังหวะ ใบหน้าด้านข้างของเซจินแดงระเรื่อไปจนถึงใบหู ท่าทางแบบนั้นดูน่ารักจนฉันต้องขำออกมาโดยไม่มีเสียง ขณะที่ขยับเท้าไปด้วย

 

 

“ช่างเถอะ แล้วสรุปว่าหน้าของซูฮยอนทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”

 

 

“ไม่รู้สิ เขาไม่ยอมบอกฉันน่ะ เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรๆ”

 

 

“…งั้นเหรอ”

 

 

“ทั้งเธอ ทั้งซูฮยอนเลย พวกเธอนี่มันหัวแข็งสุดๆ ไปเลย”

 

 

โอ๊ย อึดอัดชะมัด เซจินยังคงต่อท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงโผงผาง ก่อนที่จะกัดปากแล้วหันไปมองกระจก ส่วนฉันก็หันไปชำเลืองมองดูภาพด้านหลังของซูฮยอนที่เริ่มทำท่าเดกาเซ่[2] ใบหน้าของซูฮยอนที่สะท้อนอยู่ในกระจกดูเครียดจนสังเกตได้

 

 

หรือเขาจะอาการไม่ค่อยดีกันแน่นะ ฉันที่จู่ๆ ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ไม่อาจจะละสายตาไปจากซูฮยอนได้เลย ท่ามกลางเสียงดนตรีที่สนุกสนาน มีเพียงแค่เสียงกระแทกของปลายหัวร้องเท้าบัลเลต์ที่ดังระงมอยู่ในห้องซ้อมเต้น

 

 

 

 

 

 

[1]ทานดู (Tendu) ขาทั้งสองข้างชิดกัน ก่อนจะแยกปลายเท้าออกจากกันให้มากที่สุด

 

 

[2]เดกาเซ่ (Degage) คล้ายกับท่าทานดู แต่ทำบนอากาศ ความหมายคือการยก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด