จังหวะรัก นักบัลเลต์ 6-1 ปรัสเซียนบลู

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 6-1 ปรัสเซียนบลู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 6-1 ปรัสเซียนบลู

 

 

 

 

บรรยากาศเบลอๆ ที่ทำให้แยกไม่ออกว่านี่คือความฝันหรือเรื่องจริงยังคงดำเนินต่อไป ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา แล้วคิดว่าเหมือนกำลังจ้องเพดานห้องอยู่ ฉันก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง ระหว่างที่เป็นอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา สัมผัสเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันสามารถรับรู้ได้มีเพียงแต่ความร้อนนิดหน่อยเท่านั้น 

 

 

ฉันหลับไปได้สักพักใหญ่ๆ ราวกับคนที่ไม่ได้หลับมาหลายวัน ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นจางๆ ที่มาแตะเข้าที่ปลายจมูก ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ฉันเหมือนจะพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคว้ากลิ่นนั้นเอาไว้ ในตอนที่ภายในห้องที่ฉันเห็นค่อยๆ เริ่มมืดครึ้มลง ในที่สุดฉันก็พยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมาได้ 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทำไมผ้าขนหนูเปียกที่วางแปะอยู่ที่หน้าผากถึงยังอยู่ในสภาพเย็นเหมือนเดิม เครื่องดื่มเกลือแร่ในฉลากสีน้ำเงินยังวางเอาไว้อยู่บนโต๊ะเช่นเคย ฉันกะพริบตาหลังจากเริ่มมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว พอได้สติ แล้วลืมตาขึ้นมาอย่างเต็มที่ ภาพของสิ่งของต่างๆ ภายในห้องเริ่มปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัด 

 

 

ช่วงเวลาตะวันตกดินที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง จนเกิดเป็นเงาทอดยาว เสียงดนตรีเบาๆ ดังออกมาจากลำโพง ฉันนอนหันไปด้านข้าง ภาพของสิ่งต่างๆ ที่ได้เห็นในตอนที่ตื่นขึ้นมาสักพักเมื่อตอนกลางวันยังคงเป็นเหมือนเดิม ฉันจึงรู้สึกโล่งใจ 

 

 

แต่ในตอนที่ฉันพยายามจะลุกขึ้น แล้วหันหัวไปอย่างอ่อนแรง ฉันก็ต้องสะดุ้งตกใจ นั่นเป็นเพราะกลิ่นอาคาเซียจางๆ ที่ฉันรับรู้ในตอนที่กำลังหลับกับสัมผัสอุ่นๆ ที่กำลังกุมมือของฉันอยู่นั่นเอง 

 

 

“…!” 

 

 

คนที่กำลังจับมือฉันอยู่คือรุ่นพี่อีกง รุ่นพี่กำลังนั่งขดตัว พิงหัวลงที่ขอบเตียง ในท่าที่ดูแล้วไม่ค่อยจะสบายตัวสักเท่าไหร่ เมื่อฉันได้เห็นใบหน้าของรุ่นพี่ที่หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ฉันก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่ดูเหมือนรุ่นพี่จะตื่นขึ้นมาพอดี ตาที่กำลังหลับพริ้มอยู่จึงเบิกโพลงขึ้นมา 

 

 

รุ่นพี่จ้องฉันด้วยดวงตาที่ฉายเงาสีแดงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน พร้อมกับออกแรงบีบมือที่กำลังกุมเอาไว้ ก่อนจะส่งตายิ้มมาให้ อ้า รอยยิ้มนั้นอย่างกับจะพัดสติฉันให้ปลิวไปอย่างไรก็ไม่รู้แฮะ หรือว่านี่ฉันยังคงอยู่ในฝันงั้นเหรอ 

 

 

“หลับฝันดีไหม” 

 

 

ฉันที่ไม่อาจตอบคำถามของรุ่นพี่ที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแหบนิดๆ นั่นได้เลย จึงทำได้เพียงแค่พยุงตัวขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พลางกะพริบตาปริบๆ ผ้าขนหนูเปียกตกลงมาจากหน้าผากไปแปะอยู่ตรงแขน 

 

 

ตอนนั้นเอง ความทรงจำอันเลือนรางที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในหัวที่สับสนวุ่นวายก็ผุดขึ้นมา ใบหน้าของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ฝันหรอกเหรอ หรือว่าไม่ใช่ นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย 

 

 

ฉันที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้แต่ขยับปากขึ้นลงโดยไม่ส่งเสียงอะไรออกไป จนสุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไร ทำได้แค่พยักหน้า ส่วนรุ่นพี่ก็ยังคงยิ้มหน้าบาน ในขณะที่เอามืออีกข้างมาลูบหัวของฉัน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่มีเงาสีแดงตกกระทบนั้นอยู่ใกล้เหมือนกับในฝัน ฉันกลืนน้ำลายลงคอราวกับกระหายน้ำ 

 

 

“อยู่ดีๆ ก็ล้มลงไป รู้ไหมว่าพี่ตกใจขนาดไหน” 

 

 

“…” 

 

 

“แต่ก็โล่งอกไปทีนะที่ไข้ลดลงแล้ว” 

 

 

รุ่นพี่เอามือมาทาบลงที่หน้าผากของฉันก่อนจะลดมือลง พร้อมกับร้องโอดโอยว่าจะติดไข้ไหมเนี่ย ก่อนจะลุกขึ้น ภาพด้านข้างของรุ่นพี่ที่เทน้ำลงในแก้วด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้ายังคงถูกเงาสีแดงพาดผ่าน ทำไมความรู้สึกเหนื่อยนั้นถึงได้ให้ความรู้สึกสงบกันนะ 

 

 

ฉันรู้สึกผ่อนคลายที่สามารถกลับมาพูดคุยจ้องตากับรุ่นพี่ได้แบบนี้อีกครั้ง ดูท่าว่าหลังจากที่เปิดประตูให้รุ่นพี่แล้ว เรื่องหลังจากนั้นคงจะเป็นแค่ฝันสินะ 

 

 

อยู่ๆ รุ่นพี่ก็จ้องฉันเขม็ง จนเมื่อเราสบตากันอีกครั้ง ฉันก็รีบก้มหน้าก้มตาลงทันที ไม่รู้ทำไม แต่เหมือนว่ารุ่นพี่กำลังส่งยิ้มอันอ่อนโยนมาทางฉัน ตึกตัก ตึกตัก หัวใจมันเต้นแรงจนเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว 

 

 

เพื่อที่จะไม่ให้ถูกจับได้ว่าฉันกำลังมีท่าทีลนลานอยู่ ฉันจึงพยายามเค้นเสียงออกมา แล้วเริ่มบทสนทนาขึ้นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

“ฉันฝันน่ะค่ะ” 

 

 

“ฝันเหรอ” 

 

 

“มีรุ่นพี่อยู่ในฝันด้วยนะคะ” 

 

 

“…” 

 

 

“แต่พอเห็นว่ารุ่นพี่อยู่นี่จริงๆ ฉันก็เลยตกใจน่ะค่ะ” 

 

 

ฉันพยายามหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับได้เสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมาแทน รุ่นพี่เหมือนจะทำท่าทางลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบยาออกมาจากถุงยาที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ แล้วถามอย่างใจเย็น 

 

 

“แล้วฝันเรื่องอะไรล่ะ” 

 

 

“ก็แค่ แบบว่า… ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 

 

 

พอเอาเข้าจริง เมื่อนึกถึงความฝันนั้นขึ้นมา ใบหน้าก็แดงแจ๋ขึ้นมาอีกครั้ง ได้แต่พูดงึมๆ งำๆ จนจบประโยค รุ่นพี่รินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ฉันโดยไม่พูดอะไร ต่อจากนั้นเขาก็ดึงมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของฉันไป แล้ววางเม็ดยาหลากสีทั้งสามเม็ดลงบนฝ่ามือ 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

ฉันกรอกยาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามเข้าไป รุ่นพี่ที่เคยจ้องมองฉันอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็เรียกชื่อฉันขึ้นมา เสียงของรุ่นพี่อีกงที่ทำให้ทุกๆ ตัวอักษรแฝงไปด้วยความรู้สึกพิเศษนั่นทำให้ฉันรู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที ฉันกลืนยาลงไปอย่างฝืดคอ พร้อมกับหันไปสบตากับรุ่นพี่อย่างระแวดระวัง แล้วก็ได้เห็นว่ารุ่นพี่กำลังกัดริมฝีปากอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

เป็นเพราะเงาสีแดงนั่นเลยทำให้ฉันไม่อาจอ่านสีหน้าของรุ่นพี่ได้เลย เสื้อนักเรียนสีขาวของรุ่นพี่กำลังนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนขอบโต๊ะนั่นก็ถูกย้อมไปด้วยเงาสีแดงด้วย 

 

 

“ที่จริง…” 

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่อยู่ดีๆ หูก็รู้สึกเจ็บแปลบ และเกิดเป็นเสียงสะท้อนขึ้น ทำให้เสียงของรุ่นพี่ที่ได้ยินนั้น เหมือนกับเสียงกระซิบกระซาบเพราะถูกรบกวนด้วยเสียงที่ดังวิ้งๆ 

 

 

“พี่มีเรื่องอยากพูดกับเธอ” 

 

 

คำพูดที่ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ทำให้ฉันกระสับกระส่าย แม้ว่าจะพยายามโฟกัสไปที่เสียงของรุ่นพี่ แต่เสียงนั่นก็ค่อยๆ ดังยิ่งขึ้น ฉันไม่รู้เลยว่าหูข้างไหนกันแน่ที่กำลังปวดอย่างรุนแรงอยู่  

 

 

ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของฉันบิดเบี้ยว และเสียงดังกังวานที่ยังคงไม่หายไปไหนทำให้ฉันต้องสะบัดหัวไปมา ขณะที่ปากของรุ่นพี่ก็ค่อยๆ ขยับเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ 

 

 

รุ่นพี่พูดว่าอะไรกันนะ ได้ยินไม่ค่อยถนัดเลย เสียงที่ดังก้องอยู่นั้นค่อยๆ กลายมาเป็นเสียงที่ฉันไม่อาจเข้าใจได้ เมโลดี้ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย นี่มันคือทำนองเพลงรักที่ฟังบ่อยๆ นี่นา เสียงนั้นดังขึ้นอย่างกับว่าโสตประสาทของฉันหลอนไปเอง ก่อนที่มันจะขาดหายไป แล้วกลับมาเป็นเสียงสภาพแวดล้อมจริงที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ 

 

 

“…รับโทรศัพท์สิ” 

 

 

รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับทำหน้าเศร้า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่โทรศัพท์ร้องเสียงดังขนาดนี้ พอฉันรีบกดปุ่มรับสาย เสียงดังแสบแก้วหูของเซจินก็ดังพุ่งออกมาจากลำโพง 

 

 

[กยอมกยอม! ฉันออกมาแล้วนะ! เป็นยังไงบ้าง] 

 

 

“หือ อ๋อ… ดีขึ้นแล้วล่ะ” 

 

 

[งั้นเหรอ อยากได้อะไรไหม] 

 

 

“ไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ” 

 

 

[งั้นรอแป๊บนึงนะ! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ] 

 

 

“อือ…” 

 

 

ทันทีที่วางสาย ความเงียบที่แทบจะทำให้รู้สึกทรมานก็ต่อเนื่องขึ้นมาทันที รุ่นพี่ยังคงจ้องมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเศร้าๆ ริมฝีปากที่ปิดแน่นสนิทอยู่นั่น ไม่มีทีท่าว่าจะขยับอีกครั้ง ฉันจ้องมองไปยังดวงตาของรุ่นพี่อยู่สักพัก พลางนวดคลึงฝ่ามือไปมา ความรู้สึกประหม่าราวกับจะกระจายไปจนถึงปลายเส้นผม 

 

 

“คือ รุ่นพี่คะ เมื่อกี้ พูดอะไรงั้นเหรอคะ คือฉันไม่ค่อยได้ยิน…” 

 

 

รุ่นพี่ค่อยๆ หันมาหาฉันอย่างช้าๆ เพราะอารมณ์หรือเปล่านะที่ทำให้ดวงตาของรุ่นพี่ดูเศร้าๆ รุ่นพี่ส่งยิ้มบางๆ มาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเปลี่ยนจะลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งพิงอยู่ ฉันทำท่าทางลังเลก่อนจะลุกจากเตียง แต่รุ่นพี่ก็เอามือมาจับไหล่ของฉันเอาไว้ 

 

 

“นอนเถอะ” 

 

 

“…” 

 

 

“คราวหน้านะ ไว้คราวหน้าพี่ค่อยบอกอีกครั้งก็แล้วกัน” 

 

 

“…” 

 

 

“…ถ้าหายไข้แล้ว หยุดสุดสัปดาห์นี้เธอจะไปเที่ยวกับพี่ใช่ไหม” 

 

 

“นะ แน่นอนสิคะ!” 

 

 

ฉันพยักหน้าอย่างสุดแรง ตาของรุ่นพี่โค้งลงวาดเป็นรูปยิ้มเล็กๆ รุ่นพี่ยกมือข้างที่จับไหล่ขึ้นมา แล้วค่อยๆ ลูบหัวของฉัน ก่อนจะเขยิบหน้ามาข้างฉัน กระซิบเสียงแผ่วเบา 

 

 

“พี่ขโมยหวัดมาจากเธอแล้ว เพราะงั้นเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” 

 

 

ตามมาด้วยรอยยิ้มที่หยอกล้อเหมือนกับเด็กๆ 

 

 

“คงจะต้องรีบไปแล้วสินะ ก่อนที่เซจินจะมา” 

 

 

เพราะถ้ารู้ว่าโดดเรียนล่ะก็ ต้องโดนบ่นแน่ รุ่นพี่พูดเสริมพร้อมกับหัวเราะคิกคัก เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วส่ายหัว 

 

 

“ไปก่อนนะ ไม่ต้องออกมาล่ะ” 

 

 

“ค่ะ คือว่า…” 

 

 

“หือ” 

 

 

“วันนี้ขอบคุณนะคะที่มา” 

 

 

ฉันหันไปโค้งหัวให้ รุ่นพี่ส่งยิ้มบางๆ มาก่อนจะส่ายหัว แล้วจึงหันหลังกลับไป เขาปิดประตูไปพร้อมกับเอ่ยคำลาสั้นๆ ว่า บาย ฉันที่ถูกทิ้งไว้เพียงคนเดียวภายในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นของรุ่นพี่ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงของรุ่นพี่อย่างตั้งใจ 

 

 

เสียงเปิดปิดประตูทางเข้า เสียงล็อกประตูของเครื่องล็อกอัตโนมัติ และเสียงฝีเท้าของรุ่นพี่ที่เดินไปตามตรอก ฉันได้แต่นั่งงอตัวกอดเข่าอยู่บนเตียงแล้วเอียงหูฟังจนกว่าเสียงทั้งหมดนั่นจะหายไป 

 

 

จนเมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ฉันก็ทิ้งตัวล้มลงบนเตียงอย่างกับคนที่สูญสิ้นเรี่ยวแรง 

 

 

“…คิดถึงจัง” 

 

 

รู้สึกเสียใจหน่อยๆ แฮะ รู้งี้น่าจะขอร้องให้อยู่ด้วยกันต่อ น่าจะรั้งเขาไว้ แต่ฉันก็กลับทำแค่เพียงเงียบเฉย แถมยังได้แต่มองแผ่นหลังของเขาอีก ฉันค่อยๆ มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆ อย่างกับจะเห็นภาพลวงตาของรุ่นพี่อีกงอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ทำไมแต่ความเงียบงันสร้างเสียงดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ผ่านไปไม่นานนัก เสียงกดรหัสเครื่องล็อกประตูก็ดังขึ้นมา เกือบจะหลับแล้วแท้ๆ ฉันพยุงร่างที่ยังคงมีสติเลือนรางให้ลุกขึ้น พอได้ยินเสียงเท้าดังโครมครามแล้ว คงเป็นเซจินไม่ผิดแน่ เสียงเจี๊ยวจ๊าวสมกับเป็นเธอทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา 

 

 

“กยอมกยอม!” 

 

 

พอประตูห้องถูกเปิดออก ใบหน้าอันสดใสก็โผล่ขึ้นมา เซจินที่ทำหน้าประหลาด กึ่งหน้าบูด กึ่งยิ้มแย้ม พุ่งพรวดเข้ามากอดฉัน 

 

 

“มีแต่เหงื่อ อย่าเข้ามาใกล้เลย” 

 

 

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้ไม่ชอบสัมผัสนั้นหรอก ฉันลูบหัวของเซจินที่เอาแก้มมาถูไปมาตรงหน้าอกของฉัน ก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดัง ก๊อก ก๊อก ฉันจึงสะดุ้งพลางหันหน้าไปทางนั้น หน้าประตูที่เซจินเปิดอ้าเอาไว้ มีอีเซยืนอยู่ตรงนั้น 

 

 

“ฉันเข้าไปได้ไหม” 

 

 

“อีเซก็มาด้วยเหรอ เข้ามาสิ” 

 

 

อีเซที่เอามือข้างหนึ่งซุกอยู่ที่กระเป๋ากางเกงจ้องมองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม อ้า พอมองดูอีเซแล้วก็เผลอนึกถึงเงารางๆ ของรุ่นพี่ที่อยู่ข้างฉันจนถึงเมื่อกี้นี้ขึ้นมา ฉันกระแอมออกมา ก่อนที่จะแซะตัวเซจินที่ห้อยติดอยู่กับตัวฉันออก ก่อนเอ่ยถามขึ้น 

 

 

“แล้วข้าวเย็นพวกเธอล่ะ ไม่หิวกันเหรอ” 

 

 

“หิวสิ กินข้าวเที่ยงแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเนี่ย” 

 

 

“กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับสิ เดี๋ยวฉันทำให้” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด